บอร์ดสำหรับหนุ่มสาวชาววายสาย Fiction แห่ง SM TOWN

Would you like to react to this message? Create an account in a few clicks or log in to continue.
บอร์ดสำหรับหนุ่มสาวชาววายสาย Fiction แห่ง SM TOWN

เป็นบอร์ดสำหรับให้ เหล่านักเขียนสายวายและไม่วายค่าย SM เน้น EXO, NCT มาลงงานเขียนโดยเฉพาะนะครัช 3


    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek

    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:23 pm

    จู่ๆ ก็ได้รับตำแหน่ง the lucky one อย่างไม่รู้ตัว

    พยอน แบคฮยอน เทวดาตัวน้อยอายุแค่ 107 ปีจะไปทำอะไรได้กันเล่า



    แต่เมื่อความจริงปรากฎ! ตำแหน่งของเขากลับเป็นเพียง...!!!

    ม่ายยยย ท่านตามาพาแบคกลับสวรรค์เดี๋ยวนี้ แบคไม่เอาแล้วววววว





    แบคฮยอน
    เผ่าพันธุ์ : เทวดา
    ตำแหน่ง : มัคคุเทศก์สวรรค์ และ ลัคกี้วันลำดับที่ 900
    อายุ : 107 ปี
    จำนวนปีก : ปัจจุบัน 3 คู่ (แท้จริง 8 คู่)


    ชานยอล
    เผ่าพันธุ์ : มาร
    ตำแหน่ง : พญามาร (สูงสุดในภพภูมินรก)
    อายุ : 19xx ปี
    จำนวนปีก : ปัจจุบัน 6 คู่


    เซฮุน
    เผ่าพันธุ์ : มาร
    ตำแหน่ง : มารมือขวา (รับบัญชาจากพญามารโดยตรง)
    อายุ : 15xx ปี
    จำนวนปีก : ปัจจุบัน 6 คู่









    fanfiction EXO

    main character Chanyeol x Baekhyun

    start from 3/6/2016
    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก บทนำ

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:24 pm

    Dear my lucky one เทวดาที่รัก บทนำ

    กล่าวถึงจักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้มีสามภพภูมิสำคัญคือ สวรรค์ โลก และนรก คงไม่ต้องบอกว่าเทวดานั้นอยู่บนสวรรค์ มนุษย์ก็อยู่บนโลก และนรกก็เต็มไปด้วยมารเช่นกัน แต่ขั้นตอนการเกิด แก่ เจ็บ ตายของแต่ละโลกนั้นหาได้เป็นไปตามที่ตำนานบางส่วนกล่าวอ้างไม่

    สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างเกิดขึ้นบนโลกด้วยกันทั้งสิ้น ได้แก่มนุษย์ สัตว์ต่างๆ และสัตว์วิเศษที่ไม่เคยมีมนุษย์ค้นพบ แต่สิ่งมีชีวิตสุดประเสริฐเท่านั้นที่พระเจ้าได้กำหนดให้ไปเกิดในภพภูมิที่เรียกว่าสวรรค์และนรกโดยยึดตามความดีงามที่เคยมียามอาศัยอยู่บนโลกตั้งแต่กำเนิดจนจบอายุขัย

    มนุษย์ผู้ประเสริฐ มีความดีในตัวมากมายรวมถึงกลุ่มที่ว่าในชีวิตนี้ทำความดีมากกว่าความเลวจะได้เกิดเป็นเทวดาทันที โดยพรสวรรค์ในการใช้พลังได้แก่พลังสว่างและสามารถใช้ชีวิตใหม่นี้บนสวรรค์ได้อย่างไม่จำกัด ตราบเท่าที่ความดีนั้นยังคงอยู่และผู้นั้นปรารถนาจะเป็นเทวดาผู้นั้นก็จะได้เป็นเทวดาตลอดไป แต่หากความดีที่เคยทำมาหมดไปและผู้นั้นตัดสินใจจะเข้าสู่วัฏสังสาร พระเจ้าก็จะไม่ขัด ผู้นั้นก็จะได้ไปกำเนิดใหม่ยังโลกมนุษย์ทันที


    ในอีกด้านหนึ่ง มนุษย์ที่เคยทำชั่วมากกว่าทำดีก็จะมาจุติเป็นเผ่ามารในนรก อันว่าความดีความชั่วนั้น พระเจ้ามีเกณฑ์กำหนดเอนเอียงไปหาความดีไม่น้อย ดังนั้นมนุษย์ผู้มีความชั่วมากกว่าความดีหากแต่ความดีนั้นยิ่งใหญ่กว่า ก็จะได้รับความกรุณาให้ได้รับพลังมืดเป็นพลังติดตัว ซึ่งพลังนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อทำความชั่วแต่เพื่อทำหน้าที่ที่พระเจ้ามอบหมายไว้

    เพราะมนุษย์ทุกคนไม่ได้ไปเกิดเป็นเทวดาและมารเสมอไป มีจำนวนไม่น้อยที่ความดีและความชั่วเท่ากันแบบไม่มีข้อแม้ จึงได้ไปกำเนิดใหม่เป็นมนุษย์อีกครั้ง และมนุษย์ที่ชั่วมาก เลวมากจนหาความดีไม่เจอก็จะไปเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตไร้ตัวตนและเป็นระดับต่ำล่างที่สุดในจักรวาลนี้ วิญญาณนั่นเอง

    หน้าที่ของมารจึงเป็นการใช้พลังมืดควบคุมวิญญาณทั้งหลายให้ได้รับกรรมเพื่อที่วันหนึ่งวิญญาณเหล่านั้นจะรู้สำนึกแล้วไปเกิดใหม่ได้ วิญญาณนั้นไม่มีความสามารถใดๆ มีเพียงความรู้สึกนึกคิดและการแก่งแย่งพลังผู้อื่นมาเท่านั้น พลังมืดเป็นสิ่งที่มันแย่งมาได้ยากที่สุดเพราะพลังมืดจะฟังเพียงเจ้านายของมันและเหตุนี้เองมารจึงมีได้รับหน้าที่ควบคุมวิญญาณในนรกเรื่อยมา


    แต่พระเจ้าก็ลืมนึกไปว่าการใช้งานเผ่ามารเยี่ยงทาสและการยกย่องเทวดาให้เหนือกว่าอาจจะทำให้เกิดอันตรายได้

    จึงมีบันทึกไว้ในสารานุกรมสวรรค์ว่าครั้งหนึ่งเมื่อหลายพันปีก่อนหน้านี้ มีพญามารผู้ปกครองนรกเกิดอารมณ์เบื่อการดูแลวิญญาณชั่ว จึงมาอาละวาดทำลายล้างดินแดนสวรรค์กว่าครึ่งโดยที่แม้แต่ราชาเทพผู้ปกครองสวรรค์ต้องยอมศิโรราบ

    หากแต่มีผู้ยับยั้งเหตุการณ์นั้นไม่ให้บานปลายจนเผ่ามารถึงกับอยู่เหนือสวรรค์ไปได้

    ผู้นั้นคือ The lucky one เทวดาผู้เก่งกล้าสามารถจนพญามารต้องยอมสยบ

    ข่าวลือหลังจากเหตุการณ์นั้นคือลัคกี้วันตามไปควบคุมพญามารถึงนรก เป็นวีรบุรุษที่ถูกกล่าวขานกันปากต่อปาก บ้างก็ว่าเขาใช้พลังสว่างกว่าห้าแสนล้านหน่วยในการสยบพญามาร บ้างก็ว่าพญามารหลงเสน่ห์ของเทวดารูปงามจึงตกหลุมพรางจนถูกกำจัด และบ้างก็ว่าเขาเป็นเทวดาที่เก่งที่สุดในรอบหลายพันปีผู้สามารถควบคุมได้ทั้งสวรรค์และนรก

    แต่ไม่ว่าข่าวลือจะเป็นเช่นไรกลับมีบันทึกในบทต่อมา ว่าทางผู้คุมกฎสวรรค์ต้องคัดเลือกเทวดาไปทำหน้าที่ลัคกี้วันทุกๆ ร้อยปี แม้จะไม่รู้ว่าลัคกี้วันนั้นทำหน้าที่อะไรบ้างแต่ก็เป็นเช่นนี้เรื่อยมาเป็นเวลากว่าหลายพันปีแล้ว

    ตอนนี้ก็ได้เวลาครบร้อยปีที่ว่านั่นแล้ว เทวดาตนใดจะถูกเลือกนั้นขั้นตอนการคัดเลือกมีเพียงราชาเทพและพญามารเท่านั้นที่รู้ หากแต่พวกเขาไม่รู้คือเรื่องราวต่อจากนี้จะทำให้สารานุกรมสวรรค์ต้องมีการบันทึกใหม่อย่างแน่นอน



    บทนำมาใหม่ ไฉไลแน่นอน
    #luckyonecb


    สวรรค์คือภพที่มีภูมิประเทศดีงาม พืชพรรณนานาชนิดขึ้นงอกงาม อาหารการกินสมบูรณ์ แม้แต่สัตว์ธรรมดาหรือสัตว์วิเศษก็ล้วนน่าดูชมและใช้งานได้อย่างดี เทวดาทั้งหลายต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติ หน้าที่ของเทวดาคือการดูแลมนุษย์ที่มีความดีให้พบกับความโชคดีเพื่อเป็นกำลังใจในการทำดีต่อไป รวมทั้งควบคุมสภาพโลกมนุษย์ให้พ้นจากภยันตรายต่างๆ กล่าวโดยสั้นก็คือเทวดาเป็นผู้ดูแลมนุษย์นั่นเอง
    นรกคือภพที่ภูมิประเทศไม่ค่อยดีนัก สามารถปลูกพืชผลเพื่อเลี้ยงปากท้องได้ไม่ลำบากหากแต่มองไปทางใดก็ไม่ใคร่จะสบายตาเพราะเหตุผลที่ว่ามารนั้นมีหน้าที่ต่างจากเทวดาผู้ดูแลมนุษย์นั่นเอง


    แก้ไขล่าสุดโดย noeybaekbd เมื่อ Mon Aug 15, 2016 8:29 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 1 มัคคุเทศก์สวรรค์

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:26 pm

    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 1
    มัคคุเทศก์สวรรค์



    “เพราะฉะนั้นนนนน” เสียงลากยาวดังขึ้นเมื่อเหล่าอาคันตุกะผู้นั่งรถม้าสวรรค์มาถึงสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นจุดเยี่ยมชมสุดท้ายของวันนี้ สวนกุหลาบแห่งอีเดนนั่นเอง

    “ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายกรุณาใช้เวลาในส่วนนี้สามสิบนาทีแล้วกลับมาที่รถม้าโดยพร้อมเพรียงกันด้วยนะขอรับ ขอบคุณ” กล่าวจบแล้วเขาซึ่งเป็นมัคคุเทศก์ก็ถอนหายใจยาวเลยทีเดียว

    แบคฮยอนก็หวังว่านักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะไม่เรื่องมากอย่างที่ท่านตาได้ขู่เขาไว้หรอกนะ

    อะไรนะ งงว่ามาถึงแบคฮยอนได้อย่างไรน่ะหรือ?

    ก็ต้องร่ายยาวเลยว่าแบคฮยอนเทวดาตนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือเทวดาผู้มีใบหน้ารูปไข่ ตาเรียวรีสองชั้น แก้มย้วยเล็กน้อยตามประสาเทวดายิ้มบ่อย(ไม่ได้อ้วน อย่ากล่าวหาเขาเชียว) และรูปร่างเล็กกว่าเทวดาเพศชายทั่วไปนั้นทำให้ผู้พบเห็นอมยิ้มได้ไม่น้อยเลยล่ะ แม้อายุในการเป็นเทวดาของเขาจะเข้าปีที่หนึ่งร้อยเจ็ดแล้ว หากแต่รูปลักษณ์ที่ค่อนข้าง ‘น่ารัก’ ก็ทำให้ดูน่าเอ็นดูเสียส่วนใหญ่ จนอาชีพมัคคุเทศก์ที่เขาทำอยู่นั้นรายได้ดีทีเดียว

    แต่ทำไมเขาจะต้องถอนหายใจยาวเนี่ยหรือ? ก็เพราะนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ค่อนข้างพิเศษน่ะสิ แต่อย่าถามว่าพิเศษขนาดไหนเพราะท่านตาบอกมาว่าพิเศษก็คือพิเศษ ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความ แค่รู้ว่าพิเศษก็พอ เป็นอันว่าพิเศษคืออย่าขัดใจ ไม่อย่างนั้นเขาอาจโดนท่านตาตัดเงินเดือนก็เป็นได้

    ซึ่งเขาไม่สนใจเท่าไหร่หรอก ว่ากันตามตรงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เขารับดูแลวันนี้แม้จะพิเศษขนาดไหนแต่ก็ไม่เท่ากับอีกกลุ่มที่ท่านตาของเขาไปรับรองด้วยตนเองหรอก

    กลุ่มผู้คัดสรร the lucky one นั่นไง

    ว่ายังไงนะ พวกเจ้ายังงงเหรอว่าเรื่องมันเป็นมายังไง โอเค ถือเสียว่าเทวดาแบคฮยอนกำลังว่างนะ อย่างที่ตอนบทนำเล่าไปไงว่าตำแหน่งงานอันหนึ่งซึ่งเหล่าเทวดาใฝ่ฝันเพื่อสร้างชื่อเสียงเกียรติยศน่ะ มีวีรบุรุษผู้กล้าอย่างลัคกี้วันด้วย เขาเองก็อยากจะเข้ากลุ่มผู้ถูกเลือกด้วยชะมัด หากแต่ฝีมือการควบคุมพลังสว่างที่ไม่ค่อยเอาอ่าวบวกกับความหน้าตาดีไม่ถึงครึ่งของพวกนั้น แบคฮยอนก็เลยต้องจำใจมาทำอาชีพนำเที่ยวอย่างนี้ไงเล่า

    หืม? แล้วงงอะไรอีก อ่อ...โอเค สวรรค์มีมัคคุเทศก์ได้ยังไงน่ะหรือ

    พวกเจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าจักรวาลนี้มีสวรรค์ โลก และนรก เป็นอันรู้กันมนุษย์นั้นตัดออกไปว่าไม่สามารถไปไหนได้นอกจากโลก แต่เผ่ามารและเผ่าเทวดานั้นต่างออกไป พวกเขาสามารถไปมาหาสู่กันได้! พูดไปอาจจะงง ก็ลองคิดภาพว่าสวรรค์กับนรกเหมือนกับประเทศหนึ่งๆ เพียงท่านมีพาสปอร์ตกับเงินจำนวนหนึ่ง ท่านก็สามารถไปเที่ยวต่างประเทศได้แล้วหรือไม่ ใช่! สวรรค์กับนรกเป็นแบบนั้นแหละ

    แล้วสวรรค์ก็ไม่ใช่สถานที่แบบในนิยายกล่าวว่าทุกคนอิ่มทิพย์ ดังนั้นเทวดาอย่างเขาจึงต้องทำงานงกๆ เพื่อหาเลี้ยงปากท้องให้มีพลังใช้งานเหลือเฟือแบบนี้ไงล่ะ

    ว่าไงนะฟังดูไม่เท่พอ เป็นเทวดาทำไมต้องมานำเที่ยวเป็นอย่างอื่นได้ไหม คำตอบคือได้ พวกเราเทวดาน่ะนอกจากดูแลสวรรค์ด้วยตนเองแล้วก็ยังได้รับมอบหมายจากพระเจ้าให้ดูแลมนุษย์ด้วย ไอ้การให้พรกับมนุษย์เพื่อพวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์น่ะก็มีเทวดาทำหน้าที่แบบนี้อยู่แล้ว ใครเก่งๆ หน่อยก็จะถูกพาไปกำจัดภัยพิบัติ ส่วนใครที่รองลงมาก็จะไปควบคุมสภาพอากาศบ้าง

    ใช่เลย ที่พวกเจ้าแห่นางแมวขอฝนน่ะ เทวดาก็มอบฝนให้พวกเจ้าตามนั้นไง สงสัยอะไรอีก

    เทวดาดูแลมนุษย์ ส่วนมารก็ดูแลวิญญาณ

    ได้ยินมาว่ามารบางส่วนจะต้องกำกับดูแลวิญญาณในนรกให้โดนชดใช้กรรมตามที่ทำมา ซึ่งบางส่วนก็ต้องทำหน้าที่ตราบจนสิ้นอายุขัยมาร บางส่วนก็ต้องไปกำจัดมารที่หลบหนีไปยังโลกบ้าง และบางส่วนก็ต้องควบคุมให้ผลกรรมชั่วในโลกมนุษย์ได้ตามทันบางคนเพื่อลดปริมาณการเกิดของวิญญาณด้วย ช่างเป็นงานที่ค่อนข้างน่าเบื่อเลยล่ะ

    ดังนั้นพวกมารที่ทำงานมานานมีเงินหนาและหน้าหนาพอก็จะมาเที่ยวสวรรค์ตามโปรแกรมทัวร์ที่เขาไปแจกไว้ และหลังจากนั้น ใช่... เขามีหน้าที่พาลูกทัวร์มารมาเยี่ยมชมความสวยงามของสวรรค์ไงล่ะ นี่แหละสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ พวกมารแม้จะไม่สามารถอยู่บนสวรรค์ได้แต่ก็สามารถจองทัวร์เพื่อมาเยี่ยมชมสวรรค์ได้ ตราบเท่าที่พวกเขามีเงิน!

    เอาล่ะ พล่ามมานาน แบคฮยอนกลับมาดูแลลูกทัวร์ต่อก่อนนะ

    “ไม่ทราบว่าเทวดาตัวน้อยจะตอบคำถามของข้าได้หรือยัง” จู่ๆ เสียงทุ้มก็ดังขึ้นข้างหูแบคฮยอนแบบแปลกๆ

    นี่มันใกล้ไป พอหันไปดูเลยเห็นชัดเจนเลย

    ไอ้มารบ้านี่มันเกือบจะกินหูเขาอยู่แล้ว!

    เทวดาตัวน้อยสะดุ้งโหยงแล้วขยับออกมาห่างจากมารตัวใหญ่ทันที เขาเคยฝึกมาแล้วนะว่าจะรับมือกับพวกมารยังไง แถมยังเคยไปเที่ยวนรกมาแล้วด้วย หากแต่มารตัวใหญ่นี่ก็เหมือนจะมีรังสีอะไรบางอย่างที่เขาไม่ค่อยคุ้นชิน เรียกให้ขนในกายลุกชันนิดนึงเลยล่ะ

    ว่าแต่มารตนนี้ถามเขาว่ายังไงนะ

    “ข้าถามว่าชากุหลาบพันปียังมีจำหน่ายอยู่ไหม ข้าอยากซื้อเป็นของฝากหน่อย” มารหนุ่มหัวเราะในลำคอเยาะเย้ยที่แบคฮยอนตกใจกับการกระซิบของเขาแล้วก็ย้ำถามอีกครั้ง คราวนี้เลยทำให้เทวดาแบคหน้าม้านจากนั้นก็ก้าวฉับๆ พาเขาไปร้านขายของที่ระลึกของสวนกุหลาบอีเดนทันที

    มือเรียวสวยของมัคคุเทศก์วาดไปทางชั้นวางชั้นหนึ่งซึ่งเขียนว่า ‘ชากุหลาบพันปีของแท้ ราคา 10 ล้านเหรียญ จ่ายสด งดเชื่อ เบื่อทวง’ พร้อมกับใบหน้าเยาะเย้ยนิดหน่อย ชากุหลาบราคาแพงหูฉีกขนาดนี้ เจ้ามารหนุ่มนี่จะมีปัญญาจ่ายเรอะ

    “ขอบคุณ เทวดาสุดสวย” แต่ผิดคาดเมื่อมารตัวใหญ่กวาดชาไปเกือบสิบกระป๋องและยังชมเขาว่าสวยอีก ถึงเทวดาจะหน้าตาค่อนข้างดีแต่นี่เขาเป็นผู้ชายนะเว้ย

    เล่นเอาแบคฮยอนหน้าม้านไปอีกรอบพร้อมก่นด่านักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักคนนี้ในใจ “ไอ้บ้านี่เป็นเศรษฐีมาจากไหนวะ” บ่นนิดหน่อย หวังว่าจะไม่ได้ยินแล้วลดทิปให้เขาละกันนะ

    “เปล่า ไม่ใช่เศรษฐี แค่มีเงินมากไปหน่อย ฮ่าๆ” ดันอ่านใจได้อีก แบคฮยอนอยากจะจบทริปของอีตานี่ตอนนี้เลยจริงๆ


    หลังจากพาเที่ยวชมสวนกุหลาบแห่งอีเดน ก็ได้เวลาพาแขกมารไปเหวี่ยงทิ้งไว้โรงแรมแล้ว แบคฮยอนอยากจะกรีดร้องเสียงดังเลยว่าผ่านไปสักที เพราะขนาดมัคคุเทศก์ที่เคยรับนักท่องเที่ยวมาหลายสิบปีอย่างเขายังเหนื่อยจะแย่ บอกเลยว่าเกร็งเพราะท่านตาบอกว่าแขกชุดพิเศษไม่พอ ยังมีนายมารหนุ่มนั่นกวนตีนและแกล้งอีก

    “โอ๊ะโอ๋ ใครกันมาทำให้เทวดาน้อยแบคฮยอนหงุดหงิดล่ะนี่” แบคฮยอนเพิ่งเดินยืดเส้นยืดสายออกมาจากโรงแรมได้ไม่นานก็มีเสียงทักมาจากผู้หนึ่ง เขาไม่ต้องหันไปดูก็รู้เลยว่านี่เสียงใคร

    “ไม่สำคัญหรอกน่า ว่าไหม ท่านลอร์ดเซฮุน” ว่าพลางรออีกคนเดินมาจากมุมมืดที่ยืนอยู่ ซึ่งก็แน่นอนว่าพอเซฮุนออกมาจากมุมนั้นก็เข้ามาขยี้หัวแบคฮยอนเป็นอย่างแรกเลย ทำเอาหัวเขายุ่งไปหมด

    “อะไรเล่า หัวข้าเสียทรงไปแล้ว หมดหล่อเลยอ่ะ” บ่นเล็กน้อยให้มือใหญ่นั่นออกจากหัวเขาเสียที คนทักเลยกล่าวขำๆ

    “ก็บอกว่าไม่ให้เรียกท่านลอร์ด เรียกเซฮุนเฉยๆ ไง เจ้าเด็กบ้าเอ๊ย”

    “เอ้า! ก็ท่านเป็นถึงลอร์ด จะมาเรียกธรรมดาได้ไง ใช่มั้ยท่านลอร์ดมารที่รัก” เอ่ยย้ำตำแหน่งของอีกฝ่ายแล้วถึงจะเห็นว่าเซฮุนถอนหายใจหนึ่งรอบ จากนั้นเขาโง้งและหางของอีกฝ่ายก็เผยออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบังแล้ว

    “เจ้านี่มันจริงๆ เลยนะ ตกลงวันนี้มีอะไรให้หงุดหงิดล่ะ แขกมารนิสัยไม่ดีคนไหนมากวนเดี๋ยวข้าจัดการให้ไหม”

    “ไม่หรอกขอรับ แค่แขกอวดรวยและกวนตีนหนักมากตนเดียวเอง ว่าแต่ท่านเถอะ วันนี้พาท่านพญามารไปสำรวจกลุ่มผู้ถูกเลือก ทุกอย่างโอเคไหม” แบคฮยอนตอบเรื่องของเขาไปอย่างไม่คิดมากและถือโอกาสถามเรื่องที่เขาอยากเผือกพอดี ก็เซฮุนน่ะเป็นถึงมารระดับลอร์ด ดังนั้นวันนี้เขาจึงไปคณะเดียวกับพญามารซึ่งมาสำรวจกลุ่มผู้เข้ารับการทดสอบปฏิบัติภารกิจ the lucky one หรือเรียกสั้นๆ ว่าผู้ถูกเลือกนั่นเอง

    อันที่จริงพญามารจะมาคัดสรรผู้ถูกเลือกด้วยตนเองทุกๆ หนึ่งร้อยปี เมื่อร้อยปีก่อนเขาเพิ่งมาเกิดเป็นเทวดาแค่เจ็ดปีเท่านั้น ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่เลย แม้ตอนนั้นจะรู้จักกับเซฮุนผู้อายุกว่าหนึ่งพันห้าร้อยปีแล้วแต่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเท่าไหร่ มาตอนนี้เขารู้ความมากกว่าเดิมแล้ว ก็เลยถามไปซะ ข่าวของกลุ่มผู้ถูกเลือกน่ะ ขายได้ราคางามมากๆ เลยล่ะ

    “ไม่ยังไง ยังไม่มีใครถูกเลือกเพราะพญามารหายไป” เซฮุนตอบพลางเอามือไปเด็ดดอกไม้ข้างทางเล่น น้ำเสียงเหมือนเล่าเรื่องว่าทำการบ้านไม่ได้ ไม่ส่งละ กลับบ้านไปนอนละกัน

    “อืมๆ ก็ตามคาด เอ๊ะ!” แบคฮยอนคิดว่าวันแรกก็ไม่น่ามีใครถูกเลือกแต่ประโยคหลังคืออะไรน่ะ!! “ว่าไงนะ พญามารหายไป!” พูดจบก็ดึงคอเสื้อลอร์ดมารขึ้นมาเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กซะแล้ว

    “โว้วๆ เจ้าเทวดาน้อย หายไปแล้วยังไงล่ะ พญามารไม่ใช่เด็กสามขวบนะจะได้ออกตามหาที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์งี้” เซฮุนพยายามดึงมือน้อยๆ ออกจากคอตัวเอง เห็นตัวเล็กนิดเดียวไม่น่ามีแรงเยอะ ทำเอาเขาตกใจตามไปด้วยเลย

    “ท่านเป็นมารท่านก็ไม่เดือดร้อนสิ เห็นท่านตาบอกว่าพญามารมีพลังเยอะมาก จะทำลายล้างสวรรค์สักครึ่งหนึ่งก็มีแรงเหลือ อย่างนี้ไม่เท่ากับว่าพวกมารปล่อยระเบิดเวลามาเดินเล่นเหรอ ห๊ะ!” แบคฮยอนกล่าวอย่างเดือดดาล เขายังจำนิทานที่ท่านตาเล่าให้ฟังตอนยังเล็กได้ เมื่อหลายพันปีก่อนพญามารอยากทดสอบพลังของตนเองเลยมาปล่อยพลังบนสวรรค์นี่ ผลก็คือพื้นที่กว่าครึ่งราบเป็นหน้ากลองเลยทีเดียว

    “ใจเย็นน่า นั่นมันเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อน นายก็รู้ว่าตอนนี้พญามารน่ะเปลี่ยนมาหลายรุ่นแล้วนะ แล้วพญามารที่มาวันนี้ก็ว่าง่ายด้วย เขาคงหนีไปเที่ยวเดี๋ยวก็กลับ” เซฮุนกล่าวสบายๆ แล้วหันไปให้ความสนใจกับมดสวรรค์ซึ่งกำลังสร้างรังใกล้กับดอกไม้ที่เขาเด็ดเล่นเมื่อกี้ สีหน้าไม่อาทรร้อนใจใดใดแทบทำให้แบคฮยอนอยากตั๊นหน้าลอร์ดมารดูสักตั้ง ถ้าไม่ติดว่าเขาจะเจ็บตัวมากกว่าน่ะนะ ผิวหนังพวกมารมันหนายิ่งกว่าฟุตบาทสวรรค์เสียอีก

    “โอเค ท่านว่าอย่างไรก็อย่างนั้น และถึงจะมีอะไร ท่านตาของข้าก็น่าจะเอาอยู่” พูดจบก็ทำท่าเดินต่อไป โดยไม่สนใจลอร์ดมารที่นั่งเล่นกับมดข้างๆ

    “อ้าว! เทวดาน้อย ไปไหนซะล่ะ เดี๋ยวไปกินข้าวกัน ข้าเลี้ยง!” มารเซฮุนเลยได้แต่ละความสนใจจากมดสวรรค์แล้วรีบเดินไปให้ทันคนตัวเล็ก ปากก็เรียกให้ไปกินข้าวด้วยกันหน่อย เขาไม่ได้ขึ้นมาบนสวรรค์นานแล้ว อยากจะคุยกับเจ้าตัวเล็กไม่น้อย

    แบคฮยอนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแต่ก็ยอมเดินช้าลง เขาเดินมาหาของกินนั่นแหละ ดีเหมือนกันที่เซฮุนเลี้ยง งั้นมื้อนี้ฟรี!

    “เห็นแก่ที่ท่านเลี้ยงงั้นจะเลือกร้านให้ อืม...เอาร้านนั้น!” ว่าแล้วก็ชี้ไปยังร้านหม้อไฟเลื่องชื่อของสวรรค์ แน่นอนว่าราคาก็ขึ้นชื่อ(ว่าแพง) ด้วย

    “จิ๊ๆ ยังงกไม่เปลี่ยนเลยนะเด็กน้อย ได้ๆ น้องแบคจะกินอะไรดีหืม?” บ่นแล้วก็ประชดไปหนึ่งดอก เรียกสายตาค้อนขวับจาก ‘น้องแบค’ ได้ชะงัก เกือบโดนเทวดาน้อยต่อยเข้าให้หากแต่อีกคนคิดได้ว่าต่อยไปก็เจ็บตัวเลยยั้งมือแล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถลึงตาใส่แทน เล่นเอาเซฮุนขำไปหนึ่งยกก่อนจะเดินตามเข้าไปในร้านอย่างว่าง่าย

    “ไม่ใช่น้องแบคแล้ว ข้าอายุร้อยเจ็ดปีแล้วนะ”
    “จ้าๆ พี่ก็หนึ่งพันหกร้อยปีเท่านั้นเอง ฮ่าๆ”
    “สั่งอาหารขอรับ หม้อไฟชุดใหญ่!”
    “เฮ้ยๆ เล่นชุดใหญ่เลยเรอะ!”

    สุดท้ายคนตัวเล็กเถียงไม่ได้เลยสั่งอาหารประชดแทน เล่นเอาเซฮุนถึงกับตรวจกระเป๋าว่าพกเงินมาพอรึเปล่า เหมือนเขาจะไม่ได้เอาบัตรเครดิตนรก-สวรรค์มาด้วยสิ เกิดเจ้าเด็กนี่ผลาญเขาจนไม่มีปัญญาจ่ายล่ะก็หน้าแตกยับโดนหัวเราะใส่แน่ๆ เจ้าแสบเอ๊ย


    นึกถึงเจ้าตัวเล็กตอนที่เจอกันครั้งแรกแล้วน่ารักกว่าตอนนี้ตั้งเยอะ

    หนึ่งร้อยปีก่อน...

    “ฮ้าววววว นี่พวกท่านคิดว่าจะเสร็จพิธีนี่กันเมื่อไหร่เหรอ?” เสียงกวนตีนจากมารผู้ไม่สนใจพิธีการดังขึ้น เทวดาพิธีการเลยกระแอมหนึ่งทีแล้วเริ่มการเยี่ยมชมการฝึกของเหล่าผู้ถูกเลือกอย่างไม่รอช้า

    เซฮุนบ่นพึมพำ “ก็เท่านั้น” แล้วก็ตามกลุ่มเทวดาอาวุโสและเทวดาพิธีการออกไป เขามาเข้าร่วมพิธีการคัดเลือกนี่เป็นครั้งที่แปดแล้ว ด้วยอายุมารหนึ่งพันห้าร้อยปีถือว่าเขาอายุน้อยที่สุด หากแต่ความอดทนน้อยที่สุดเช่นกัน การอยู่ในพิธีมากไปก็ทำให้หงุดหงิดไม่น้อย เลยแอบใช้ตำแหน่งลอร์ดที่เพิ่งได้มาไม่นานสำแดงฤทธิ์เสียหน่อย แล้วก็เป็นตามนั้น เทวดาพิธีการหรือกระทั่งราชาแห่งเทพก็ไม่มีใครกล้าหือเขาสักคน

    ก็ขนาดพญามารที่นั่งข้างๆ ยังแอบขยิบตาให้หนึ่งครั้งเลย เจ้านั่นก็เบื่อพิธีการเหมือนเขานั่นแหละ

    “ท่านตา... หิว...” คณะคัดสรรผู้ถูกเลือกกำลังเดินไปพบเหล่าผู้ถูกเลือกกันหมดแล้ว เหลือแต่เซฮุนซึ่งแกล้งเดินเอื่อยรั้งท้ายสุดไว้ คิดไม่ถึงว่าขณะที่เขากำลังจะออกจากปราสาทอีเดน เด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งก็โผล่มาจากข้างเสาแล้วเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาออดอ้อน

    ดวงหน้ารูปไข่กับหางตาตกดูน่าสงสารอยู่ไม่น้อย หากแต่แววตาวาววับ จมูกโด่ง ริมฝีปากเชิดขึ้นก็ทำให้เด็กคนนี้ดูดีไม่หยอก ไม่ใช่สิ เซฮุนคิดว่าเด็กน้อยคนนี้น่ารักมากทีเดียว!

    “เจ้าหนู มาทำอะไรตรงนี้” เขารั้งเด็กตัวเล็กที่พยายามเดินตามคณะผู้คัดสรรไว้ ท่านตาของเจ้าหนูนี่น่าจะเป็นเทวดาอาวุโสตนใดตนหนึ่งนี่แหละ แต่พวกเขากำลังทำงานกันอยู่ เดี๋ยวเจ้าเด็กนี่เข้าไปก็มีหวังได้โดนไล่ออกมาแน่ๆ

    “นายเป็นใครเหรอ?” เด็กน้อยยกนิ้วชี้แตะปากแล้วเอียงคอมองเขาด้วยความสงสัย โอ้โห น่ารักว่ะ เซฮุนคิดในใจ เขาว่าไอ้การคัดสรรผู้ถูกเลือกนั่นมันน่าเบื่อออก สู้เขาพาเจ้าหนูที่กำลังหิวนี่ไปหาอะไรกินยังดีกว่าเยอะ อย่างน้อยความน่ารักของเทวดาเด็กก็ทำให้เขาสามารถนั่งมองได้ทั้งวันแน่ๆ

    “ฉันชื่อเซฮุน เป็นมาร...มารระดับลอร์ด” พูดจบก็ข่มขวัญด้วยการปลดปล่อยพลังมืดที่ปิดไว้พร้อมเขาโง้งและหางปลายแหลม รูปลักษณ์มารของเขานี่แกล้งให้เด็กร้องไห้มาเยอะละ ลองกับเด็กคนนี้ดูหน่อยเป็นไร

    “ว้าว! เขานายสวยจัง หางก็สวย” แต่ผิดคาดเมื่อเจ้าหนูไม่กลัวสักนิด แถมยังเข้ามาจับหางเขาไว้อีก “นายมีปีกมั้ย เรามีนะ เรามีตั้งแปดคู่แน่ะ ท่านตาบอกว่าปีกเราไม่แข็งแรง เรายังบินไม่ได้ แต่ว่าปีกเราสวยมากนะ” เจ้าตัวเล็กไม่กลัวไม่ว่า ยังมีการโม้ถึงปีกของเขาอีกแน่ะ

    เซฮุนเผยปีกออกมาเพื่ออวดเด็กสักหน่อย เขาเองมีปีหกคู่สวยไม่แพ้กัน แม้จะไม่ใช่ปีกที่เป็นขนสีขาวแบบปีกเทวดา แต่ปีกมารหนังสีดำมันเมื่อมมีเขี้ยวตรงปลายน่ะ ไม่ใช่ใครๆ ก็จะมีปีกสวยแบบเขาหรอกนะ

    เซฮุนในตอนนั้นไม่รู้สักนิดว่า ‘ปีก’ ถือเป็นสิ่งแสดงพลังของเทวดาบนสวรรค์เหมือนกัน แล้วปีกแปดคู่นั้นก็ถือว่าเหนือชั้นกว่าปีกหกคู่ของเขามากขนาดไหน มารู้เอาตอนเล่าให้พญามารฟังทีหลัง เขาก็แทบจะน้ำพุ่งเลย เด็กนี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

    เซฮุนเก็บเขา หางและปีกอันแสดงถึงพลังอำนาจของมารระดับลอร์ดลงไปแล้วอุ้มเทวดาตัวน้อยแนบอก เขาไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเด็กเทวดาอายุประมาณเจ็ดปีตนนี้มีอะไรน่าสนใจนักหนาถึงกับทำให้เขาละทิ้งหน้าที่ในกลุ่มผู้คัดสรร แต่เขาคิดว่าพาเด็กหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้ไปกินข้าวน่าสนใจกว่าการไปดูเหล่าผู้ถูกเลือกกล้ามโตเป็นไหนๆ


    วันนั้นทั้งวันมารหนุ่มและเทวดาน้อยต่างก็เข้ากันได้ดี เซฮุนพบว่าเทวดาตัวเล็กๆ นี่รู้จักที่ทางบนสวรรค์ไม่น้อย ทั้งพาเขาไปกินข้าวร้านอร่อยในสวรรค์สตรีท พาไปดูสาวสวยในงานแฟชั่นสวรรค์วีค แถมสุดท้ายยังพาไปถึงแหล่งผับสวรรค์ซึ่งเด็กไม่ควรเข้าไปอีก ถึงกับทำให้เซฮุนอ้าปากค้างหนึ่งทีสำหรับความก๋ากั่นนี้แล้วรีบลากเจ้าตัวเล็กออกจากแหล่งอโคจรเลยทันที แม้ว่าเขาจะไม่ได้อ่อนขนาดไม่เคยเข้าผับแต่เด็กเจ็ดขวบจะเข้าไปกับเขาไม่ได้เด็ดขาด!

    เหนื่อยพอสมควรกว่าจะลากอีกฝ่ายมารอ ‘ท่านตา’ ที่ปราสาทอีเดนอีกครั้ง ซึ่งเป็นเพราะเซฮุนโดนพญามารเรียกไปพบฐานโดดงานโดยไม่บอกทันทีที่เท้าแตะปราสาทอีเดน เขาจึงได้แต่ฝากแบคฮยอนไว้กับสาวใช้แล้วออกไปหาเจ้านายก่อนจะถูกทำโทษเลยไม่รู้ว่าท่านตาของเด็กคนนี้เป็นใครกันแน่

    ซึ่งก็ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ว่าตัวเองไม่ควรรู้จักเจ้าเด็กนี่จริงๆ

    แต่ก็แค่คิดว่าไม่ควรรู้จักเท่านั้นแหละ หลังจากเมื่อร้อยปีก่อน เซฮุนผู้มีเงินเยอะเนื่องจากตำแหน่งลอร์ดก็มักจะเอามาถลุงด้วยการมาเที่ยวสวรรค์นี้เสมอๆ แม้ว่ามารทั่วไปจะมีปัญญามาเที่ยวสวรรค์ได้แค่หนึ่งครั้งในรอบพันปีหรือห้าร้อยปีอะไรก็ว่าไป เพราะสภาพแวดล้อมสวรรค์ไม่เหมาะกับพลังมืดในตัวพวกเขาและอีกอย่างการเก็บเขา หางและปีกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

    แต่เขาเป็นถึงลอร์ดผู้เก่งกาจซึ่งการเก็บพลังนั้นง่ายยิ่งปอกกล้วย แถมเขาเอาแต่ทำงานให้พญามารจนไม่ค่อยได้ใช้เงินเท่าไหร่ ดังนั้นทุกๆ สิบปีเซฮุนจึงขึ้นมาท่องเที่ยวสวรรค์โดยการนำทัวร์ของมัคคุเทศก์ตัวน้อย ยิ่งเขารู้ว่าแบคฮยอนนำเที่ยวด้วยตนเองยิ่งอยากมาหาใจจะขาด ทั้งติดใจในความน่ารักและความช่างพูดแถมไม่กลัวมารอย่างเขาด้วย

    กลับมาที่ปัจจุบันเด็กน้อยเทวดาตนนั้นกำลังนั่งผึ่งพุงอยู่ข้างๆ เขา เกือบไม่มีเงินจ่าย ดีนะเขาพกมาเยอะอยู่ แต่สภาพเทวดาผู้เคยน่ารักในอดีตกลายเป็นเทวดาอ้วนเอวหนานอนแผ่หลารอให้เขาลากกลับไปนอนที่บ้านนี่มันดูไม่จืดจริงๆ

    เฮ้อ ทำไมมาเจอรอบนี้กลายเป็นเด็กกวนตีนไปซะได้ เซฮุนรำพันในใจ

    หลังจากส่งแบคฮยอนกลับ ‘บ้าน’ เรียบร้อยพร้อมกำชับสาวใช้ว่าเอายาช่วยย่อยให้เทวดาหมูตัวนั้นแล้วเซฮุนก็ได้รับสัญญาณให้ไปหาเจ้านายทันที

    พญามารรอเขาอยู่ แถมยังบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกด้วย

    “มาแล้วหรือเซฮุน” เจ้านายเอ่ยพลางยิ้มเมื่อเห็นหน้าเขา หมอนั่นพยายามจะสบตาเขาให้ได้ซึ่งพญามารแม้จะหน้าตาหล่อกว่ามารทั่วไปหากแต่เขาก็ไม่นิยมจะมองหน้านักหรอก ให้มองเด็กอ้วนน่ารักแบบแบคฮยอนยังน่ามองกว่าอีก

    สายตาเลยเหลือบไปเห็นชากุหลาบพันปีของชอบของเจ้านายที่กองเป็นตั้งในห้องพัก แล้วจู่ๆ เจ้านายและเพื่อนของเขาก็พูดคำที่ค่อนข้างจะแปลไม่ได้ศัพท์ออกมา

    “เลือกได้แล้วล่ะ”
    “หมายถึงอะไร?”
    “ลัคกี้วันน่ะ ข้าเลือกไว้แล้ว ทำเครื่องหมายไว้แล้วด้วย” พญามารกล่าวย้ำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เขารอให้เซฮุนทำหน้าหงุดหงิดก่อน แล้วค่อยรอคำถามอีกฝ่าย

    “เจ้าเลือกไปตอนไหน แล้วทำไมวันนี้ปล่อยข้ารับมือกับเจ้าพวกเทวดาพิธีการ หา!” เซฮุนกล่าวด้วยอารมณ์เดือด เขากำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงให้เจ้าบ้าพญามารนี่ทำหน้าที่เลือกลัคกี้วันให้เสร็จแล้วเขาจะได้หมดหน้าที่ แต่กลายเป็นวันนี้เขากลับโดนทิ้งแล้วเพื่อนเลวนี่ยังไปเลือกเอาใครไม่รู้มาเป็นผู้ถูกเลือกอีก

    “อย่าเพิ่งโมโหน่า เทวดาที่ข้าเลือกน่ะ เจ้าก็รู้จัก มัคคุเทศก์ตัวน้อยน่ารักนั่นยังไง” พูดจบก็อมยิ้มเหมือนทำความดีความชอบ หากแต่เซฮุนกลับรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงมาหนึ่งเปรี้ยง! ว่ายังไงนะ มัคคุเทศก์?

    “เจ้าคงไม่ได้หมายถึงแบคฮยอนใช่มั้ย” เซฮุนกล่าวเสียงสั่นเล็กน้อย เขาจำได้ว่าแบคฮยอนบ่นเรื่องลูกค้าที่ซื้อชากุหลาบพันปีไปหลายกระป๋องนั้น ทั้งกวนตีนและชอบมาอยู่ใกล้ๆ หากลูกค้าตนนั้นคือชานยอลล่ะก็...

    “ใช่! เด็กนั่นแหละ น่ารักดีใช่มั้ยล่ะ เจ้าต้องขอบคุณข้าแน่ๆ เซฮุน” อีกฝ่ายกล่าวออกมาราวกับเพิ่งสั่งอาหารกลางวันจานที่เซฮุนชอบไปให้ แต่เหมือนเขาจะไม่ชอบใจเลยสักนิด แบคฮยอนไม่ควรเป็นลัคกี้วันเพราะตำแหน่งนั้นมัน...

    “เจ้าโกหก! ข้าจะไปดูว่าเด็กนั่นเป็นอะไรรึเปล่า อย่าเพิ่งไปไหนล่ะชานยอล แล้วข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า!”

    แล้วเซฮุนก็พุ่งออกจากห้องไปด้วยใจที่ว้าวุ่น เขาไม่ทันเห็นเลยว่ามุมมืดอีกด้านในห้องจะมีคนแอบหัวเราะและปรากฏกายออกมาไม่นานจากนั้น

    “เป็นยังไง แผนของข้า บอกแล้วว่าเขาจะต้องโมโห”
    “เจ๋งที่สุดเลยล่ะ ข้าว่าเขาต้องเดือดปุดๆ ระหว่างทางแล้วระเบิดเป็นโกโก้ครั้นช์ตอนเห็นชื่อข้าบนตัวเด็กนั่นแน่ๆ”
    “ดี ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอลาก่อน ยังมีงานอีกมากต้องดูแล”
    “ได้เลย ขอบใจมาก”

    จากนั้นเงาร่างสีดำก็สะบัดผ้าคลุมหนึ่งครั้งก่อนจะหายไปอย่างไร่ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงพญามารที่กำลังจิบชากุหลาบพันปีถ้วยโปรดพร้อมกับกล่าวกับตนเองอีกครั้ง

    “หวังว่าเจ้าจะไม่โมโหเกินไปนะเซฮุน”




    รีไรท์ใหม่ ไฉไลหรือแป๊กกว่าเดิมอ่ะเตง
    แท็ก #luckyonecb จ๊ะ


    แก้ไขล่าสุดโดย noeybaekbd เมื่อ Mon Aug 15, 2016 8:28 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 2 ลัคกี้วันลำดับที่เก้าร้อย

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:28 pm

    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 2
    ลัคกี้วันลำดับที่เก้าร้อย


    มือขาวปรากฏรูปร่างของวงเวทออกมากลุ่มหนึ่ง เซฮุนพยายามให้แสงจากวงเวทออกมาน้อยที่สุด จากนั้นเขาก็ขยับเข้าไปใกล้เป้าหมายอีกเล็กน้อย ตอนนี้แบคฮยอนหลับสนิท การจะเข้าไปใกล้ถึงข้างเตียงไม่ใช่เรื่องยาก หากแต่เขากลัวว่า ‘เทวดาองค์นั้น’ จะรู้ว่าเขากำลังทำอะไรต่างหาก

    พลันบริเวณหลังคอของแบคฮยอนก็ปรากฏแสงสีเดียวกับมือของเขามาแว่บหนึ่ง แว่บเดียวก็ทำให้เขาใจร้อนรนไม่ใช่น้อย เขาจึงต้องทำอะไรที่เสี่ยงอีกอย่างเช่นเข้าไปใกล้คนตัวเล็กอีกนิด จากนั้นทุกอย่างก็เหมือนฝันร้าย หลังคอแบคฮยอนส่งแสงเรืองรองออกมาจนเห็นเป็นอักษรซึ่งเขานั้นรู้จักดี

    มันเป็นชื่อของมารตนหนึ่งที่เขาเพิ่งโมโหใส่เมื่อกี้... ชานยอล เจ้าบ้านั่นทำเครื่องหมายไว้บนตัวแบคฮยอนจริงๆ ด้วย!

    “เขาทำเครื่องหมายเรียบร้อยแล้วสินะ” พลันเสียงหนึ่งก็เรียกสติให้เซฮุนต้องหยุดใช้เวท จากนั้นก็กระโดดไปด้านหลังหนึ่งเมตรทันที

    เทวดาองค์นั้นที่เซฮุนไม่อยากยุ่งด้วยสักเท่าไหร่... ราชาเทพ ซูโฮ

    “เจ้ารู้แล้ว?” ลอร์ดมารกล่าวกับอีกฝ่ายอย่างไม่ใส่ใจจะเคารพนัก ซูโฮไม่ใช่เจ้านายของเขา แต่ถึงจะเป็นเจ้านายอย่างชานยอล เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงอย่างนี้แหละ ยกเว้นเวลามีพิธีการถึงจะเพราะกว่านี้หน่อย

    “ใช่ ตั้งแต่เขากลับมาจากกินข้าวกับเจ้า ข้าก็สัมผัสถึงเครื่องหมายได้ทันที แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะถูก ‘ค้นพบ’ เร็วขนาดนี้” อีกฝ่ายหลุบตาลงต่ำยามลูบศีรษะหลานรัก แม้จะไม่ได้เกี่ยวโยงทางสายเลือดเพราะการกำเนิดของเทวดานั้นไม่ได้ใช้การสืบพันธุ์แบบมนุษย์ แต่เด็กคนนี้ก็ถูกเขาเลี้ยงมาได้กว่าร้อยปีแล้ว ความผูกพันย่อมมากกว่าใคร

    “เจ้าว่าเขาจะรู้รึเปล่าว่าแบคฮยอนเป็น...” เซฮุนกล่าวออกมาเบาๆ แต่ยังไม่จบประโยคก็โดนขัดขึ้นก่อน

    “ไม่ เซฮุน มีแค่เราที่รู้เรื่องนี้ แม้พญามารจะสามารถสัมผัสถึงพลังของเด็กคนนี้แต่เขาไม่มีทางรู้เด็ดขาดว่าแบคฮยอนเป็นใคร” ผู้อาวุโสกว่ากล่าวพลางส่ายหน้าเบาๆ เหงื่อที่ไหลลงขมับของเซฮุนจึงลดลงบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่วางใจได้เลย

    “แล้วท่านว่าเราสามารถยับยั้งการเลือกครั้งนี้...” มารหนุ่มเอ่ยออกมาอีกครั้ง ชานยอลทำเครื่องหมายไปแล้วเขาไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เขาคิดว่าเทวดาตรงหน้าอาจจะทำการยกเลิกอะไรบางอย่างได้ เซฮุนถึงกับเรียกอีกฝ่ายว่าท่านอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่ต้องการให้แบคฮยอนเป็นผู้ถูกเลือกจริงๆ

    “ไม่ เซฮุน ข้าทำอะไรไม่ได้ ตามพันธะสัญญาไม่มีการกำหนดว่าผู้ถูกเลือกจะต้องอยู่ในกลุ่มที่ผู้คุมกฎทำการคัดสรร พญามารสามารถเลือกใครก็ได้ตราบเท่าที่เทวดาตนนั้นสามารถ ‘รับมือ’ กับเรื่องนี้ไหว” ซูโฮส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความจนใจ อันที่จริงตอนพบว่าแบคฮยอนถูกทำเครื่องหมายไว้ เขาก็ทำอะไรไม่ถูกแบบเซฮุนนั่นแหละ

    แต่พอคิดได้ว่ามันเป็นไปแล้วเปลี่ยนไม่ได้ เขาก็ได้แต่ทำใจ

    พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแก้ไขได้ หากแต่พระองค์ไม่เคยปรากฏกายในจักรวาลนี้นานแล้ว ทรงทำให้จักรวาลนี้สมดุลด้วยตัวมันเองและพันธะสัญญานั่นก็เกิดจากราชาเทพองค์ก่อนๆ เป็นผู้ยินยอมเอง เขาทำอะไรไม่ได้จริงๆ

    ก็หวังแค่ว่าหลังจากนี้เขาจะยังมีชีวิตอยู่บนสวรรค์นานพอที่จะหาตัวแทนของแบคฮยอนได้ หรือก็คือตัวแทนของเขานั่นเอง

    “บัดซบ! ไอ้พญามารบัดซบ! ข้าจะไปต่อยมันเดี๋ยวนี้แหละ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมให้แบคฮยอนต้องโดนแบบผู้ถูกเลือกตนก่อนแน่ๆ” เซฮุนโพล่งออกมาด้วยความแค้นใจ เรื่องมาถึงจุดนี้แล้วยังไงเขาก็ต้องยอมรับตามซูโฮ เพราะผู้อาวุโสนั้นแสดงออกแต่แรกแล้วว่าถึงเขาดิ้นไปก็ไม่ได้อะไร

    ทำได้แต่ไปต่อยเจ้างั่งพญามารนั่น บังอาจมาทำเครื่องหมายกับเด็กของเขา!

    “เซฮุน ยังจำที่เราเคยคุยกันได้ไหม?” จู่ๆ ซูโฮก็เอ่ยถาม แน่นอนว่าเซฮุนต้องจำได้อยู่แล้ว

    “เจ้าเห็นข้าทำอะไรล่ะทุกวันนี้” เมื่อเห็นอีกคนทวงสัญญา เซฮุนก็หงุดหงิดบอกไม่ถูก ซูโฮเคยให้เขาสัญญาว่าจะปกป้องแบคฮยอนเป็นอย่างดี แล้วตอนนี้เขาก็กำลังปกป้องอยู่ไง แต่ใครจะคิดว่าคลาดกับเจ้าตัวเล็กแค่ไม่กี่ชั่วโมงจะเกิดเรื่องยุ่งซะจนได้

    “จะเป็นไรไหม ถ้าข้าจะขอให้เจ้าดูแลเขาต่อ แม้ว่าเขาจะกลายเป็นผู้ถูกเลือกไปแล้วก็ตาม” ขณะที่พูดซูโฮก็ลูบหัวหลานด้วยความรัก การแสดงออกของเขานั้นไม่ใช่แบบราชาเทพผู้เอ็นดูเด็กน้อยเทวดาทั่วไป แต่หากเป็นการแสดงความรักกับคนสำคัญอย่างสุดซึ้ง ทำเอาเซฮุนที่พอมองออกระงับอารมณ์โกรธได้ชั่วขณะ

    เขาเองก็รักเจ้าตัวเล็กนี่ไม่น้อย เขาเข้าใจดีว่าซูโฮต้องการอะไร พันธะสัญญาที่ดำเนินมากว่าหลายพันปีไม่ใช่ว่าจะยกเลิกได้ง่ายๆ แต่ความปลอดภัยของเทวดาน้อยนี้ก็สำคัญไม่ต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทั้งสองทำได้ก็คือเซฮุนต้องดูแลเด็กคนนี้ต่อไป

    เพราะผู้ถูกเลือกจะต้องไปจากสวรรค์... ไปอยู่ในนรกกับพวกมารนั่นเอง

    “ข้าจะดูแลเด็กคนนี้อย่างดี จะไม่ให้เขาตายง่ายๆ ข้าสัญญา”

    คำสัญญาสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความจริงจังของเซฮุนทำให้ซูโฮยิ้มอย่างวางใจ แม้เขาจะไม่สามารถคุ้มครองแบคฮยอนได้ดั่งเดิมอีกแล้ว แต่เขาก็มีมือเท้าที่คอยช่วยเหลืออย่างวางใจ แค่นี้ก็พอแล้ว

    “งั้นก็เตรียมตัวเถอะ ตามกฎคือพรุ่งนี้แบคฮยอนต้องไปแล้ว ข้ากับเจ้าต้องร่วมมือกันปกป้องเด็กคนนี้” จบประโยคหนึ่งลอร์ดมารกับหนึ่งราชาเทพก็ออกจากห้องไป ทิ้งให้เทวดาตัวน้อยอายุร้อยกว่าปีนอนหลับอย่างสงบ อย่างน้อยเขาก็จะได้พักผ่อนก่อนจะเจอเรื่องเหนือความคาดหมายในวันพรุ่งนี้


    ****lucky one and monster****


    แบคฮยอนตื่นนอนด้วยอารมณ์แจ่มใสตามประสาเทวดานอนอิ่ม แม้จะจำไม่ได้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน แต่พอตื่นมาเห็นว่าอยู่ในห้องนอนตัวเอง เอาเป็นว่าเขาก็คงไม่ได้เผลอไปนอนข้างถนนหรอกน่า แม้ถนนของสวรรค์จะสวยงามสะอาดตาด้วยมนตร์โบราณของเหล่าเทพเทวดา อันที่จริงลูกทัวร์มารบางตนกล่าวว่าสะอาดกว่าที่นอนบ้านเขาเสียอีก หากแต่แบคฮยอนกลัวว่านอนกลางถนนแล้วท่านตาจะดุเอาเนี่ยสิ

    “แบคฮยอนอ่า ตื่นได้แล้วเจ้าหลานขี้เซา” นั่นไงพูดถึงผี เอร๊ย พูดถึงตา ตาก็มา ดีนะที่เขาตื่นเสียก่อนเลยพอจะจัดหน้าตาท่าทางให้ดูอิดโรยนิดๆ ท่านตาจะได้ไม่ดุที่เขาตื่นสาย

    “อืม ท่านตามีอะไรขอรับ” แล้วก็แสร้งทำเป็นเหนื่อยหน่อย ค่อยๆ ลุกเตียงจากนั้นก็โซเซเล็กน้อย ฮิๆ

    “แบคฮยอน! หลานไม่สบายเหรอ!?” แต่กลายเป็นว่าท่านตาเดินเข้ามาประคองเขาแล้วทำหน้าตาตื่นตระหนกกว่าที่ควรจนแบคฮยอนเริ่มตกใจแทน

    “ปะ เปล่าขอรับท่านตา ข้าแค่เพิ่งตื่นเลยงัวเงีย ข้าสบายดีขอรับ”
    “อ้อ แล้วไป ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ไหวเสียแล้ว” คนแก่บ่นพึมพำเหมือนว่าแบคฮยอนจะไม่ได้ยิน แต่ความสามารถในการดักฟัง แค่กๆ ไม่ใช่สักหน่อย หมายถึงประสาทหูของแบคฮยอนนั้นดีไม่น้อย ดังนั้นจึงขมวดคิ้วเข้าให้กับการพึมพำนี้ เขาจะไม่ไหวอะไร เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เมื่อวานก็แค่รับแขกทัวร์

    เดี๋ยวนะ ทัวร์งั้นเหรอ?

    “อ๊ากกกกก ท่านตา นี่มันกี่โมงขอรับ!” แบคฮยอนโหยหวนเสียงดังเมื่อจำอะไรได้ เขาลืมไปเลยว่าแขกทัวร์มารของเขายังรอเขาไปรับที่โรงแรม เขาก็ตั้งนาฬิกาปลุกแล้วนี่นา ทำไมถึงได้ลืมแบบนี้

    “เจ้าเป็นอะไร บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?” ซูโฮพูดตะกุกตะกักแล้วจับตัวแบคฮยอนหมุนไปมา สร้างความงุนงงให้หลานไม่น้อยแต่เทวดาอ่อนวัยก็ยังมีสติพอจะบอกสาเหตุการว้ากเมื่อกี้

    “ก็วันนี้ข้าต้องไปรับแขกที่โรงแรมไงขอรับ สายแล้วใช่ไหม ข้าจะไปยังไงดี ปีกงี่เง่าก็บินไม่ไวพอด้วย แง” โวยวายพอประมาณแต่สีหน้าคนฟังกลับอ่อนลงแล้วยิ้มกว้าง เทวดาตัวน้อยที่กำลังรีบร้อนอยากรู้เวลาเลยงงเป็นไก่ตาแตกแล้วถามท่านตาอีกครั้ง

    “ท่านตาทำไมยิ้มอย่างนั้น ท่านบอกข้าเองว่าแขกกลุ่มนี้สำคัญ งั้น...งั้นท่านคงโกรธข้ามากจนคิดว่าจะลงโทษข้ายังไงดีถึงยิ้มใช่มั้ย ว้ากก ท่านตา ข้าผิดไปแล้ว”

    โป๊ก!

    “ท่านตาเขกหัวข้าทำไมขอรับ” แบคฮยอนเอามือกุมหัวแล้วลูบป้อยๆ นัยน์ตาเรียวมีหยาดน้ำตาคลออยู่ไม่น้อยเพราะท่านตาของเขามือหนักไม่เบา เห็นหลานสงบลง ซูโฮก็เอ่ยปาก

    “เจ้านี่พูดมากซะจริง กรุ๊ปทัวร์นั่นน่ะข้าให้เทวดาตนอื่นจัดการไปนานแล้ว วันนี้เจ้าต้องไปกับข้า” พูดรวดเดียวจบแล้วมองเจ้าหลานตัวดีรักษาด้วยตัวเองด้วยพลังแสงฟื้นฟูที่เจ้าตัวถนัดสักครู่ ซูโฮก็ลากแบคฮยอนไปที่ที่ต้องไปทันที แม้ว่าใบหน้าจะไม่ระรื่นเหมือนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนเลยก็ตาม

    (โถงหลวงแห่งสวรรค์)

    ปกติโถงแห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับทำพิธีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น น้อยนักจะเจอเทวดาอายุแค่ร้อยกว่าปีอย่างแบคฮยอนจะเข้ามานั่งอยู่ได้ แต่เพราะเขารู้สึกผิดที่ทำให้ท่านตาโกรธ จึงยอมเข้ามานั่งแบบไม่อิดออดนักแม้จะไม่รู้ว่าตำแหน่งเก้าอี้ที่นั่งจะเป็นตำแหน่งสำคัญสุดยอดก็ตาม

    พอเขานั่งลงเรียบร้อย ดวงตาเรียวก็ลอบมองไปรอบห้องทันที ท่านตาของเขาบอกแค่ว่าให้นั่งรออยู่ตรงนี้ แต่ท่านก็ไม่ได้บอกว่าห้ามมองไปรอบๆ สักหน่อย เขาก็เลยมองนั่นมองนี่มองไปรอบด้านอย่างสนใจ ความจริงแบคฮยอนไม่ใช่ว่าไม่เคยมาโถงสวรรค์แห่งนี้หรอก เพราะอย่างไรวังแห่งอีเดนก็คือบ้านของเขา แต่ที่เขาสนใจคือผู้คนมากมายที่มาร่วมพิธีนี้ต่างหาก

    หากข่าวสารของเขาไม่พลาด พิธีนี้น่าจะเป็นพิธีส่งตัวผู้ถูกเลือกให้กับพญามารสินะ มองไปทางซ้ายก็คิดว่าน่าจะถูกเพราะตาลุงหนวดขาวซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คุมกฎสวรรค์นั่งสัปหงกอยู่ไม่ไกล มองไปทางขวานั้น เขาเห็นบัลลังก์ว่างเปล่าพร้อมเก้าอี้หรูหราอีกจำนวนหนึ่ง คงไม่ต้องบอกว่าบัลลังก์นั่นของใครเพราะบัลลังก์แห่งสวรรค์ก็เป็นที่นั่งของเทวดาตนเดียวเท่านั้น ราชาเทพซูโฮ หรือท่านตาของเขานั่นเอง

    พูดก็พูดเถอะ แบคฮยอนอยากอวดเพื่อนจะตายอยู่แล้วว่าเขาเป็นถึงหลานคนโปรดของราชาเทพ หากแต่พิธีการหรือกระทั่งการออกนอกวังที่ผ่านมาท่านตาของเขาไม่แม้แต่จะเข้าใกล้เขาด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้เขาจะเอาหลักฐานที่ไหนไปอวดว่าเป็นหลานท่านกันเล่า วันนี้แหละเขาได้มาเข้าร่วมพิธีแล้ว เขาจะเอาไปยืดอกอวดเจ้าจงแดให้ได้เชียว รอเจอเจ้านั่นก่อนเถอะ

    มองไปด้านหลังผู้คุมกฎ แบคฮยอนก็พบกับกลุ่มผู้ถูกเลือกอันโด่งดังทันที พวกนั้นยืนอย่างสงบเรียบร้อย ดูแตกต่างจากเทวดาธรรมดาๆ อย่างเขาเสียจริง หน้าตาท่าทางรึก็โดดเด่น บางคนนี่ดังขนาดมีแฟนคลับด้วยนะ นั่นไงมีป้ายไฟของแฟนคลับอยู่ตรงปากประตูของโถงสวรรค์ด้วย เท่ใช่หยอก เขาเองก็เคยอยากเข้ากลุ่มนะ แต่แค่จำนวนปีกยังไม่ผ่านเลย จะเข้ากลุ่มต้องมีปีกอย่างน้อยหกคู่ สามคู่ของเขาน่ะหลบไปเลย

    มองไปจนเบื่อเขาก็นั่งคิดถึงเรื่องหนึ่ง ได้ข่าวว่ากลุ่มผู้คัดสรรมาเมื่อวานเองนี่นา แล้วลอร์ดมารเซฮุนก็บอกว่าเจ้าพญามารนั่นหนีการคัดเลือกไปเที่ยวเล่นด้วย แล้วตกลงว่าพวกเขาไปคัดสรรผู้ถูกเลือกกันตอนไหนกันเนี่ย คิดแล้วงงจริงๆ หรือว่าเขาหลับไปสามวัน ถึงได้ตื่นขึ้นมาแล้วเจอกับพิธีนี้เข้าเนี่ย

    ว่าแล้วก็ส่งพลังไป ‘มอง’ ปฏิทินข้างห้องโถงสักครู่ เอ๋ วันนี้ก็ห่างจากเมื่อวานแค่วันเดียวนี่นา ตกลงว่าพญามารนี่เลือกผู้ถูกเลือกได้ไวจริง สงสัยเช้านี้ถูกเซฮุนจับมาแล้วก็ทำการเลือกเลยมั้ง

    คิดไปสักพักเสียงประกาศของเทวดาพิธีการก็ดังขึ้น

    “เนื่องจากพญามารแจ้งว่าจะมาสายแต่เพราะเวลาล่วงเลยมามากแล้ว ทางราชาเทพจึงได้สั่งให้เริ่มพิธีได้ ขอเชิญทุกท่านนั่งลงขอรับ”

    เอ๋ ตกลงพญามารนั่นมันไปไหนมันหว่า แล้วตกลงพิธีนี้คือพิธีมอบลัคกี้วันจริงไหมเนี่ย แบคฮยอนคิดยังไม่ทันจบ เทวดาพิธีการก็กล่าวคำร่ายยืดยาวออกมา

    “นับตั้งแต่เก้าพันปีก่อน กาลนั้นพญามาร...”

    “ท่านตาขอรับๆ” แบคฮยอนแอบกระซิบข้างๆ บัลลังก์อย่างไม่เกรงใจ ที่นั่งของเขาค่อนข้างพิเศษตรงที่อยู่เยื้องบัลลังก์ราชาเทพมาทางซ้ายและหลบอยู่ด้านหลัง ดังนั้นเขาจึงสามารถส่งเสียงกระซิบเพื่อถามความในใจตอนนี้ได้

    “มีอะไร” และซูโฮก็ตอบมาด้วยเสียงอันเบาและกระชับเพราะราชาเป็นผู้ถูกจับตามองอยู่ในขณะนี้
    “นี่มันพิธีมอบตัวลัคกี้วันใช่ไหมขอรับ”
    “ใช่” ตอบกลับเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
    “แล้วข้ามานั่งทำอะไรที่นี่ขอรับ” แบคฮยอนก็พุ่งเข้าใส่ประเด็นทันที แม้จะเป็นหลานราชาเทพแต่เขาก็อายุแค่ร้อยกว่าปี แม้เขาจะอยากอวดเพื่อนว่าเคยออกงานกับท่านตา แต่ไม่น่าได้มาเร็วขนาดนี้นี่นา
    “เพราะเจ้า...” ซูโฮพูดยังไม่ทันจบก็มีเสียงหนึ่งดังขัดเทวดาพิธีการ

    “ข้ามาแล้ว!” เสียงทุ้มดังขึ้นหน้าประตูโถงสวรรค์แล้วจากนั้นใบหน้าที่แบคฮยอนเหมือนจะจำได้ก็เข้ามาในครรลองสายตาพอดี

    “ขออภัยที่สาย กรุณาเริ่มพิธีต่อ” เจ้านั่นเดินอาดๆ เข้ามาในโถงสวรรค์แล้วจากนั้นก็นั่งแหมะลงเก้าอี้ข้างๆ ท่านตาของเขาอย่างถือดี แม้แบคฮยอนจะไม่เคยเข้าพิธีการแต่เพราะเขาเหลือบเห็นเซฮุนลอร์ดมารที่รู้จักตามคนคนนั้นมานั่งเก้าอี้ข้างๆ เทวดาอายุน้อยก็กลอกตามองบนไปหนึ่งที

    “อ้า ท่านพญามารมาแล้ว งั้นเริ่มพิธีมอบลัคกี้วันได้” เทวดาพิธีการประกาศเสียงที่ทำให้แบคฮยอนหงุดหงิดไปไม่น้อยเลยทีเดียว

    ก็เจ้าพญามารตัวปัญหากับนักท่องเที่ยวมารที่กวนตีนเขาเมื่อวานนี้ดันเป็นคนเดียวกันน่ะสิ!

    เขาก็สงสัยอยู่แล้วเชียวว่ามารบ้าที่ไหนจะมีเงินเป็นสิบๆ ล้านเหรียญพอจะเหมาชากุหลาบพันปีได้ ที่แท้ตัวเอ้ของนรกนี่เอง แต่เดี๋ยวนะ แสดงว่าเมื่อวานนี้ เจ้านั่นไม่เข้าพิธีคัดสรรแต่มาเดินเล่นและก่อกวนแก๊งทัวร์ของเขาน่ะสิ

    รอจบพิธีก่อน เขาจะให้ลอร์ดมารเซฮุนไปจัดการเจ้านี่ให้หายแค้น (แบคฮยอนลืมไปเลยว่านั่นมันเจ้านายเซฮุนน่ะ)

    “และบัดนี้ขอทุกท่านพบกับลัคกี้วันลำดับที่เก้าร้อย พยอน แบคฮยอน” กล่าวจบแบคฮยอนก็ปรบมือดังๆ ให้กับลัคกี้วันคนใหม่ โอ้โห หน้าตาเป็นยังไงเนี่ย ทำไมชื่อเหมือนเขาทั้งชื่อและนามสกุลเลย สงสัยต้องสมัครเป็นแฟนคลับเสียหน่อยแล้ว

    แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีเทวดาตนไหนข้างหลังผู้คุมกฎที่ขยับเขยื้อน และหลังจากชะเง้อชะแง้คอหาอยู่นาน แบคฮยอนก็เริ่มรู้สึกว่ามีสายตาจ้องมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว ไม่เว้นแม้แต่ท่านตาของเขาด้วย

    เดี๋ยวนะ เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า?

    “ไปสิ แบคฮยอน เจ้าอย่าทำให้เทวดาพิธีการต้องคอย” ไม่ต้องงงอะไรแล้วเมื่อซูโฮราชาเทพลุกขึ้นมาจับมือเขาพาให้เดินไปตรงกลางโถง หลังจากนั้นเขาก็ได้ยินแค่เสียงโห่ร้องยินดีของเทวดากลุ่มหนึ่ง และเสียงพูดคุยของเทวดาขี้นินทากลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ทำไมกลุ่มหลังถึงได้เสียงดังกว่านัก

    “เจ้าเนี่ยเรอะ?”
    “เขาไม่ได้เข้ากลุ่มผู้ถูกเลือกเลยด้วยซ้ำ”
    “แต่ข่าวลือว่าพญามารน่ะถูกใจเด็กนี่มากนะ”
    “เอ้อ ข้าว่าเจ้านี่ก็หน้าตาน่ารักดี พญามารน่าจะชอบมาก”
    “ข้าก็ว่างั้น...”

    และอื่นๆ อีกมากมายจนฟังไม่ได้ศัพท์อีกต่อไป รู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกท่านตายัดเข้ามาในรถไฟขนส่งพิเศษสำหรับนรก-สวรรค์พร้อมกับพญามารชานยอลที่ตลกหน้าตาเขาไม่เลิก รวมถึงลอร์ดมารเซฮุนที่ลูบหัวปลอบเขาพลางบอกว่าไม่เป็นไรๆ ซ้ำๆ เสียแล้ว

    นี่เขากลายเป็นลัคกี้วันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วได้ยินว่าตำแหน่งนี้แม้จะมีชื่อเสียงแต่ก็ทำงานอันตรายมากไม่ใช่เรอะ ท่านตากลับมาก่อน มารับข้ากลับวังอีเดนเถอะ แบคฮยอนสัญญาว่าจะไม่ดื้อไม่ซน จะเป็นเด็กดีของท่านตานะขอรับ ช่วยฝึกให้ข้าเก่งกว่านี้ก่อนค่อยให้ข้าไปเป็นลัคกี้วันได้ม้ายยยย

    “พาข้ากลับไปก่อน ข้ายังไม่อยากเป็น ม่ายยยยยยย” ว่ากันว่านั่นเป็นประโยคสั่งลาของลัคกี้วันลำดับที่เก้าร้อยซึ่งถูกบันทึกไว้ในสารานุกรมสวรรค์และเทวดารุ่นหลังต่างก็งุนงงในประโยคนี้ไม่น้อย

    ****lucky one and monster****

    “ฮ่าๆ เจ้าตลกชะมัด คิดไม่ผิดที่เลือกเจ้า” พอสติเริ่มมาปัญญาก็เริ่มเกิด แบคฮยอนเพิ่งรู้ว่ารถไฟพิเศษนี่ถูกพัฒนาให้เดินทางจากสวรรค์มานรกได้เพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น เรียกว่าสะดวกกว่าเดินทางไปโลกที่ต้องใช้รถไฟขนส่งหลายชั่วโมงแถมยังต้องบินต่ออีกต่างหาก

    ซึ่งก็เป็นหนึ่งชั่วโมงที่เขานั่งทำหน้าเอ๋อมาตลอดทาง แต่ในใจกลับคิดไปต่างๆ นานาว่าชีวิตหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร นี่เขาต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในนรกอันแห้งแล้งนี่จริงๆ เหรอ ม่าย สวนสวรรค์จ๋า สาวๆ เทพธิดาจ๋า ข้าคิดถึงเจ้าแล้วเนี่ย ฮือๆ ข้ายังไม่พร้อมจะเป็นลัคกี้วัน ข้าต้องหนีไป เอ๋ ว่าแต่ข้าเป็นลัคกี้วันได้ยังไงเนี่ย  

    แบคฮยอนรำพันกับตัวเองเสร็จก็คิดได้ว่าเขายังไม่เคยถามพญามารเรื่องนี้ พอรถม้านรกมารับพวกเขาที่สถานีรถไฟและรถม้านี้มีเพียงเขาและพญามารนั่งด้วยกันเท่านั้น ปากน้อยเลยอ้าถามอีกฝ่ายทันที

    “เจ้าคือพญามารจริงๆ เหรอ” คำถามแรกที่แบคฮยอนอยากเอามะกอกเขกหัวตัวเอง ถ้าเขาไม่ใช่จริงๆ เซฮุนคงท้วงไปนานแล้วสิ บ้าเอ๊ย

    “ใช่ ข้าชื่อชานยอล เป็นเพื่อนของเซฮุนและเป็นพญามารด้วย เจ้าคือแบคฮยอนลัคกี้วันของข้า งงอะไรอีกไหม” อีกฝ่ายตอบอย่างใจดีแต่ลำดับที่บอกว่าเป็นเพื่อนเซฮุนก่อนจะบอกว่าเป็นพญามารนี่ทำให้เขางงชอบกล

    “เจ้าทำไมถึงเลือกข้าเป็น...” ...ลัคกี้วัน แบคฮยอนยังงงไม่หายกับตำแหน่งที่ได้รับ ทำไมนอนไปวันเดียวถึงได้พลิกจากมัคคุเทศก์ต๊อกต๋อยเป็นลัคกี้วันคนสำคัญของทั้งสวรรค์และนรกกันได้ล่ะเนี่ย

    “เจ้าไม่ชอบอยู่ข้างกายข้าหรือ?” พญามารกลับใช้คำถามตอบคำถามแล้วก็ขมวดคิ้ว พอได้มาอยู่ใกล้ๆ นั่งชิดกันแบบไหล่ชนไหล่แบบนี้แบคฮยอนก็เกิดอาการประหลาด หัวใจของเขาเต้นตึกตักยามเห็นใบหน้าตัดพ้อและเสียงทุ้มนุ่มๆ ของอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น เดี๋ยวนะเขาเป็นเทวดาเพศชาย อีกฝ่ายก็มารเพศชาย จะใจเต้นได้ไงกันเล่า

    เจ้านั่น...พญามารชานยอลยังคิดว่าเขาไม่เข้าใจคำถามงั้นเหรอ ถึงได้ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนจะชนกันอยู่แล้ว พอรู้สึกหน้าร้อนผ่าวก็สะบัดหัวหนึ่งทีแล้วตวาดเข้าให้

    “เจ้า! จะทำอะไรน่ะ” แบคฮยอนตวาดและดันอีกฝ่ายออกห่างอย่างไม่เกรงใจ แรงจนเกือบลืมไปว่าอีกฝ่ายเป็นถึงพญามาร ใบหน้าหล่อเหลาของพญามารถึงได้ผงะไปด้านหลังหนึ่งจังหวะ แล้วสักพักที่ความเงียบกลืนกินบรรยากาศไป รถม้านรกก็หยุดลงพร้อมเสียงประกาศ

    “พญามารและสนมองค์ใหม่มาแล้ว!” พร้อมกับการเปิดประตูรถม้าของสารถีหน้าตาแบบมารบ้านๆ ตนหนึ่ง การกระทำฉีกยิ้มเอาใจคนสำคัญของพญามารไม่ได้ทำให้แบคฮยอนแปลกใจนัก แต่คำพูดที่บอกตำแหน่งของเขานี่สิทำให้แบคฮยอนงงหนัก

    อะไรนะ? สนมองค์ใหม่?





    talk

    ยินดีด้วยเพคะพระสนม อิ_อิ
    #luckyonecb


    แก้ไขล่าสุดโดย noeybaekbd เมื่อ Mon Aug 15, 2016 8:30 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 3 ตำนานที่แท้จริง

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:30 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 3
    ตำนานที่แท้จริง



    “เจ้าจะต้องชอบวังของเราแน่ สนมลำดับเก้าร้อย เอ่อ แต่ที่จริงก็ลำดับสิบห้าของข้าเองนะ เจ้าไม่ต้องน้อยใจไปหรอก” ชานยอลตีสีหน้าความรู้สึกที่เหมือนจะว่างเปล่าแต่ไม่ใช่ของแบคฮยอนว่าอาจจะน้อยใจ เขาเองก็ทำตัวไม่ถูกสักเท่าไหร่ หลังจากรู้ความจริงเมื่อเช้าว่าแบคฮยอนสำคัญกับเซฮุนขนาดไหน

    งานนี้ต้องโทษลอร์ดมารมือซ้ายของเขาคนเดียวเท่านั้น เจ้านั่นบอกแค่ว่าเทวดาเด็กน้อยนี่เป็นมัคคุเทศก์ที่เซฮุนถูกใจ ถ้าเลือกเด็กนี่เป็นสนม เจ้าเซฮุนที่ชอบทำหน้าตายจะต้องโมโหมากแน่ๆ แล้วอีกอย่างที่ผ่านมาเขาไม่เคยใช้งานสนมอย่างหนักเหมือนพญามารองค์ก่อนๆ ด้วย งานนี้จะเลือกใครก็ไม่น่าสนุกเท่ากับเด็กของเซฮุนหรอก

    ใช่ มันจะสนุกกว่านี้ถ้าไม่ใช่ว่าเซฮุนมาบอกเขาเมื่อเช้าว่าเด็กนี่คือเด็กในปกครองที่เขาตามคุ้มครองมากว่าร้อยปี หาใช่เด็กที่เซฮุนแอบปิ๊งเฉยๆ ไม่ เพราะอย่างนี้เมื่อเช้าลอร์ดมารมือขวาถึงได้มาตั๊นหน้าเขาถึงเตียงนอนแต่เช้าไปเกือบสามสิบหมัด ต่อยจนใบหน้าหนังหนาของพญามารเกิดความหมดหล่ออย่างไม่น่าให้อภัย เดือดร้อนเขาต้องใช้พลังมืดมารักษาตัวเองให้ดูดีเหมือนเดิมไป พลางฟังเจ้าหมอนั่นอธิบายว่าแบคฮยอนจริงๆ แล้วเป็นใคร ใช้เวลานานจนไปเข้าพิธีสายเสียด้วย

    ด้วยความที่มารใช้เป็นแต่พลังมืดและพลังมืดเดิมทีไม่ใช่พลังรักษาแต่เป็นพลังกัดกร่อน ชานยอลจึงต้องใช้เวลานานมากกว่าใบหน้าจะหล่อเหลาเหมือนเดิมได้ ระหว่างนั้นเซฮุนก็อธิบายจนหมดว่าเด็กที่เขาเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนซึ่งเขาทำการคุ้มครองอยู่ลับๆ คือแบคฮยอนนั่นเอง แต่เพราะเซฮุนไม่อยากบอกว่าแบคฮยอนเป็นหลานของราชาเทพซูโฮ เขาเลยไม่บอกพญามารว่าเด็กคนนั้นชื่ออะไร

    ฝ่ายชานยอลก็อ้ำอึ้งไป ใครจะคิดว่าคนที่เซฮุนพูดถึงบ่อยๆ คือเด็กนี่ เขานึกว่าแบคฮยอนคือคนที่เซฮุนเพิ่งมาปิ๊งเลยหวังจะแกล้งให้หงุดหงิดเสียหน่อย อย่างไรเสียเซฮุนก็เป็นถึงลอร์ดมารแค่เด็กที่ชอบคนใหม่ย่อมหาได้ไม่ยาก แต่กลายเป็นเด็กนี่คือหัวแก้วหัวแหวนของซูโฮด้วย เรียกว่าการเข้าใจผิดครั้งนี้สร้างเรื่องสนุกให้ชานยอลของจริงเพราะจากการยั่วโมโหเซฮุนก็กลายเป็นไปยุ่งคนที่ไม่ควรยุ่งเสียแล้ว

    เดี๋ยวค่อยให้ลอร์ดมารมือซ้ายมาช่วยอีกทีละกัน ชานยอลคิดได้แค่นั้น ถึงอย่างไรกฎก็ต้องเป็นกฎ เขาเลือกอีกฝ่ายเป็นสนมแล้ว แถมยังทำเครื่องหมายไว้เพื่อไม่ให้ใครมายุ่งด้วย แม้แต่ราชาเทพยังแก้ไขเรื่องนี้ไม่ได้ ยังไงก็ลอยตามน้ำไปก่อน ถือเสียว่าทำตามประเพณีให้ถูกต้องก็เท่านั้น

    “เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนรึเปล่า” หลังจากคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าเสร็จ ชานยอลก็พาตัวเองกับสนมองค์ใหม่มาที่ห้องโถงวังลูซิเฟอร์ เขารู้สึกผิดอยู่นิดๆ ที่ทำเครื่องหมายตรงจุดอ่อนของเทวดาซึ่งก็คือหลังคอแบคฮยอนไปเมื่อวาน เพราะจังหวะที่ได้เข้าใกล้แบคฮยอนมีน้อยในตอนนำเที่ยวเมื่อวานเลยไม่ได้เล็งไว้ตรงหน้าอก ผลเสียคือหากเทวดาที่มีพลังไม่มากพอได้รับเวทเครื่องหมายจากพลังมืดมากไป อาจจะรู้สึกไม่สบายได้

    แบคฮยอนกลับส่ายหัว แต่ใบหน้างุนงงนั้นกลับทำให้ชานยอลกลุ้มใจไปใหญ่ เอาล่ะที่จริงอาการของลัคกี้วันลำดับล่าสุดก็ไม่ได้ทำให้พญามารงงเท่าไหร่เพราะใครๆ ที่ได้เป็นลัคกี้วันพอมาถึงที่ได้ยินคำว่า ‘สนม’ ก็ทำหน้าเลื่อนลอยอย่างนี้ทุกตน

    “ท่านพญามาร ได้โปรดให้ข้าจัดการเถิด” เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของพญามารและใบหน้าว่างเปล่าของลัคกี้วันหรือสนมองค์ใหม่แล้ว สนมลำดับหนึ่งของชานยอลก็กล่าวขึ้น หลังจากผู้เป็นใหญ่ในนรกพยักหน้ายินยอม เด็กรับใช้สองสามคนก็มาพาตัวแบคฮยอนไปยังที่พักแล้วชานยอลก็ฟังรายงานจากลอร์ดมารตนอื่นๆ ต่อไป

    “หวังว่าเจ้าจะไม่เป็นไร” ชานยอลพึมพำชั่วครู่ก่อนสะสางงานต่อ เขาไม่ได้พูดถึงแค่แบคฮยอนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเซฮุนที่โกรธเขาจนตอนนี้หลบไปไหนแล้วไม่รู้ กับตัวเขาเองที่ดันทำเรื่องให้บานปลายอีกด้วย


    ****lucky one and monster****

    “สวัสดี เจ้าชื่ออะไรหรือเด็กน้อย?” น้ำเสียงนุ่มพร้อมใบหน้าใจดีของเทวดาตรงหน้าทำให้แบคฮยอนสลัดภาพตัวเองเป็นสนมผู้นุ่งน้อยห่มน้อยข้างกายพญามารในหัวออกไป กลิ่นอายของสนมลำดับที่หนึ่งของชานยอลช่างอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ปะทะยอดหญ้ายิ่งนัก พาให้รู้สึกเหมือนตัวเองได้รับการรักษาอาการเอ๋อชั่วคราว แล้วมืออบอุ่นยังจับลงบนไหล่ของแบคฮยอนอย่างเป็นมิตรอีกด้วย

    “แบคฮยอนขอรับ” สติมาปัญญาเกิดอีกรอบ พอหาเสียงตัวเองเจอ แบคฮยอนก็ตอบไปตามตรง

    “เจ้าคงตกใจใช่ไหมที่รู้ว่าตำแหน่งลัคกี้วันอันทรงเกียรติของสวรรค์ แท้จริงแล้วเป็นเพียงตำแหน่งสนมของพญามารเท่านั้น” ไม่รู้อีกคนมองออกว่าเขาไม่ได้โง่หรือไม่อยากพูดเยิ่นเย้อน่ารำคาญหรือไม่ แต่เทวดาสูงอายุกว่าตนพูดประโยคถัดมาได้ตรงใจแบคฮยอนมากๆ

    มากจนเขาทนไม่ไหว บ่อน้ำตาแตกซะอย่างนั้น

    แล้วแบคฮยอนก็ทำตัวเหมือนเด็กอนุบาลกระโดดเข้ากอดอีกคนแล้วรำพึงรำพันทันที “พาข้ากลับสวรรค์ทีข้าไม่อยากเป็นลัคกี้วันแล้ว ข้าจะกลับบ้าน แงงงงงง”

    แบคฮยอนร้องไห้จนตัวโยน ร่างเล็กๆ สั่นระริกในอ้อมกอดของเทวดาผู้มีประสบการณ์มากกว่า จนรู้สึกว่าร้องไห้ไปนานมากพอแล้ว เจ้าตัวเล็กจึงได้โงหัวออกมาพร้อมใบหน้าที่คนมองพร้อมจะเอ็นดูไปตลอด ตาออกจะแดงๆ จมูกโด่งรั้นรวมถึงปากเชิดเป็นเอกลักษณ์นั่นค่อนข้างจะบวมเป่งเพราะเพิ่งร้องไห้เสร็จใหม่ๆ เขาขอบคุณสนมลำดับหนึ่งที่หน้าตายิ้มแย้มไม่ต่างจากแม่นมของเขาตอนยังเป็นเทวดาตัวน้อย และนั่นก็ทำให้แบคฮยอนยิ้มกว้างตอบทันที

    “เหมือนว่าเจ้าจะเริ่มทำใจได้แล้วสินะ ไหนลองเล่าเรื่องของเจ้ามาสิ แล้วข้าจะเล่าเรื่องของข้าให้ฟังบ้าง" น้ำเสียงนุ่มทุ้มน่าฟังออกจากปากเทวดาสูงอายุพาให้หัวใจแบคฮยอนสงบลงอย่างน่าประหลาด จึงเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างไม่อ้อมค้อม ทั้งเรื่องที่เขาเป็นหลานของราชาเทพอายุแค่ร้อยเจ็ดปี เคยเป็นมัคคุเทศก์ต๊อกต๋อยในสวรรค์มาจนถึงไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็กลายเป็นลัคกี้วันผู้ยิ่งใหญ่และถูกท่านตาของตัวเองจับยัดรถไฟด่วนนรกมาถึงที่นี่เพื่อมารับรู้ว่าต้องเป็นเพียงสนมของพญามารบ้านั่น

    “ตอนนี้เจ้าอาจจะกำลังเสียใจใช่ไหมที่ต้องมาอยู่ในสถานะคนใต้อาณัติของชานยอล” พอฟังเรื่องราวจบ อีกฝ่ายก็ถามแบคฮยอนด้วยคำถามที่เลี่ยงคำว่าสนมไป แบคฮยอนค่อนข้างสบายใจที่จะตอบเลยพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย

    “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกับเจ้ามาก่อน แบคฮยอน เจ้าอยากรู้รึเปล่าว่าข้าทำอย่างไร” อา... แบคฮยอนคิดในใจ เขาก็ลืมไปเลยว่าเทวดาตนนี้เคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อน หากความอบอุ่นที่เขาได้รับไม่ใช่ของหลอกลวงอย่างตำแหน่งนั่น งั้นแบคฮยอนขอฟังเรื่องราวได้ไหมละว่าท่านสนมลำดับหนึ่งทำอย่างไร

    “ข้าก็อยากฟังเรื่องของท่าน ท่าน เอ่อ ท่านชื่ออะไร” จะขอฟังเรื่องของเขาแต่กลับลืมถามชื่อเขาซะงั้น แบคฮยอนล่ะอยากเขกหัวตัวเองจริงๆ

    “อี้ชิง เจ้าเรียกข้าว่าอี้ชิงเฉยๆ ก็ได้ ข้าอายุสองพันปีแล้ว อายุมากกว่าชานยอลไปเกือบสองร้อยปี แต่เจ้าไม่ต้องจำเป็นต้องเรียกข้าว่าท่านตาหรืออะไรเทือกนั้นหรอกนะ” กล่าวจบก็หัวเราะในมุกตัวเองด้วย แบคฮยอนมองอย่างไม่เชื่อสายตา ทำไมเทวดาอบอุ่นอย่างอี้ชิงถึงได้เล่นมุกแป้กต่อหน้าเขาด้วยล่ะเนี่ย

    “หนึ่งพันห้าร้อยปีก่อนข้าได้รับเลือกเป็นลัคกี้วันลำดับที่แปดร้อยแปดสิบหก แต่ในตอนนั้นชานยอลเพิ่งจะเข้ารับตำแหน่งพญามาร ข้าจึงเป็นสนมลำดับแรกของเขา ตอนนั้นเจ้าต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าชานยอลน่ะน่ารักมากๆ เลยล่ะ...” อี้ชิงกล่าวติดตลกพลางมองไปยังนอกหน้าต่าง

    แบคฮยอนเพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าวังลูซิเฟอร์แห่งนรกที่เขาอยู่ในตอนนี้น่าอยู่มากขนาดไหน อาจจะไม่สวยเท่าวังอีเดนแห่งสวรรค์ที่ปลูกอะไรก็ขึ้นงอกงาม แต่วังของพญามารนี่ตกแต่งสวยด้วยโทนออกสีสบายตาแถมยังมีสวนด้านนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยกุหลาบหลากสีซึ่งไม่เคยเห็นในส่วนอื่นของนรกมาก่อน บอกแล้วว่าแบคฮยอนเคยมาเที่ยวนรก แต่ก็ไม่เคยเห็นว่านรกจะมีสถานที่สวยขนาดนี้

    ตอนนี้แบคฮยอนทั้งอ้ำอึ้งและค่อนข้างพอใจในความสวยของวังลูซิเฟอร์ เขาสงสัยไม่น้อยว่าทำอย่างไรถึงได้ปลูกกุหลาบในพื้นที่แห้งแล้งของนรกได้สวยขนาดนี้ แต่ก็รอบคำตอบไม่นานเมื่ออี้ชิงลูบหัวเทวดาน้อยก่อนจะเฉลย “สวยใช่ไหมล่ะ สวนนี้ชานยอลลงทุนใช้พลังของเขาทำให้ดินสามารถปลูกกุหลาบได้หลายพันชนิดเลยนะ เพราะเขารู้ว่าข้าชอบกุหลาบน่ะ”

    “ห๊ะ พญามารหน้าด้านตนนั้นน่ะนะ อุปส์” แบคฮยอนโพล่งด่าตัวต้นเหตุที่ทำให้เขามาลำบากอยู่นี่แล้วก็รีบปิดปากตนเอง เกือบลืมไปว่าพญามารนั่นเป็นนายใหญ่ของนรก โพล่งด่าขนาดนั้นจะมีใครไปฟ้องเจ้านั่นไหม เขายังไม่อยากตายโดยอยู่ในตำแหน่งแค่วันเดียวหรอกนะ

    หรือตายซะจะยังดีกว่าเป็นสนมของเจ้านั่น...

    เอ๊ะ? เป็นสนมแสดงว่าต้องโดน... ต้องโดนทำไอ้นั่นใช่มั้ย ว๊ากกกกกกกก

    สนมองค์ใหม่ของชานยอลทำตัวน่าตลกและน่าเอ็นดูในสายตาของสนมลำดับหนึ่งมากเลยทีเดียว อี้ชิงมองเด็กใหม่ที่เดี๋ยวก็ทำหน้าเคียดแค้น เดี๋ยวก็ทำหน้าผิดหวังแล้วตะโกนเสียงดังออกมาด้วยความงุนงง สงสัยคำว่าพญามารจะทำให้เด็กนี่เป็นบ้าได้ งั้นครั้งต่อไปจะพยายามเลี่ยงๆ ก็แล้วกัน

    ปากสวยอวบอิ่มของเทวดาสูงอายุเป่าลมอุ่นออกมาครั้งหนึ่ง พลังฟื้นฟูจิตใจที่อี้ชิงแอบท่องเวทในใจก็พ่นออกมาอีกครั้ง คราวนี้ทำให้แบคฮยอนสงบลงได้เร็วกว่าเดิมเพราะเคยได้รับเวทนี้แล้ว ร่างของอีกฝ่ายจึงไม่ต่อต้านอีก เมื่อเทวดาน้อยดูมีสติขึ้นอีกครั้ง อี้ชิงจึงกล่าวช้าๆ ด้วยเสียงนุ่มทุ้มอีกครั้ง

    “ตำแหน่งที่เจ้าได้รับไม่ใช่ว่าไม่มีเกียรติหรอกนะ แต่หากข้าไม่เล่าให้เจ้าฟังว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรเมื่อเก้าหมื่นปีก่อน ข้าว่าเจ้าคงจะไม่สามารถสงบจิตใจได้ใช่หรือไม่”

    แบคฮยอนพยักหน้า

    “งั้นตั้งใจฟังให้ดี ฟังแล้วเจ้าอาจจะมีความคิดต่อพญามารเปลี่ยนไปก็เป็นได้...”

    เรื่องราวนั้นเริ่มต้นจากชีวิตของราชินีเทพองค์หนึ่ง

    นานะเป็นราชินีเทพมาได้หลายพันปีแล้ว หากรวมนับปีนี้ด้วยก็สี่พันสามร้อยเก้าสิบเจ็ดปีพอดี เธอพอใจมากที่สวรรค์ในการปกครองของเธอสงบเรียบร้อยมาก เช้านี้นานะตรวจตราความเรียบร้อยของงานส่วนใหญ่ไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะมีปัญหาภัยพิบัติในโลกเกิดขึ้นต่อเนื่องและข่าววิญญาณหลุดจากการควบคุมของเผ่ามารซึ่งเหนือความคาดหมายนิดหน่อย แต่นานะคิดว่าเธอน่าจะจัดการเรื่องราวได้ไม่ยากเย็น

    นานะจึงส่งเวทสื่อสารไปยังพญามารตนใหม่ ตั้งแต่พญามารตนนี้ดำรงตำแหน่งมาก็ไม่เคยได้สื่อสารไปบ้างเลย คงต้องเสียเวลาแนะนำตัวสักหน่อยแล้ว

    “ข้าคือนานะ ราชินีเทพ ขอติดต่อกับอาเดล พญามาร” หลังจากบอกขุนนางเทพว่าเธอจะติดต่อพญามารสักครู่ นานะก็ร่ายเวทสื่อสารแล้วติดต่อทันทีที่ห้องหนังสือ เสียงตอบรับก็ดังในไม่ช้า

    “ข้าอาเดล ไม่ทราบว่าราชินีเทพมีอะไร?” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นมาจากนั้นเธอก็กล่าวตอบไป

    “เนื่องจากข่าววิญญาณร้ายหลุดไปยังโลกมนุษย์มีเยอะมาก ขอรบกวนอาเดลดูแลเรื่องนี้ด้วย ทางสวรรค์จะช่วยจัดการช่วยเหลือมนุษย์ผู้โชคร้ายเอง ส่วนนรกให้ส่งมารไปติดตามวิญญาณกลับด้วย” กล่าวจนจบงานแล้วนานะก็โล่งใจที่พูดจบ ทุกครั้งที่ติดต่อกับพญามารมักจะมีปัญหาต้องถกเถียงกันไม่น้อย หากคราวนี้อาเดลเข้าใจที่เธอพูดก็น่าจะดี

    “ทำไมล่ะ”

    ...แต่เหมือนจะไม่ดีสินะเนี่ย นานะคิดในใจ

    “ได้โปรดอาเดล เจ้าต้องทำหน้าที่ที่พระเจ้ากำหนดไว้ มารดูแลวิญญาณ ส่วนเทวดาดูแลมนุษย์ สิ่งนี้กำหนด...” นานะกำลังอธิบายย้ำอีกครั้งก็รู้สึกถึงพลังงานคลื่นใหญ่ผ่านทางเวทสื่อสาร เธอจึงหยุดพูดชั่วครู่ แต่กลายเป็นจังหวะนี้เองทำให้มีบางสิ่งแทรกมาทางเวทสื่อสารทันที

    เปรี๊ยะ!!

    เสียงแตกหักของช่องทางเวทสื่อสารมาพร้อมกับเสียงตวาดที่ไม่คาดคิด

    “ทำไมเผ่ามารของข้าต้องเชื่อฟังเจ้าด้วย!” และใบหน้าถมึงทึงของพญามารก็ปรากฏขึ้นมาห่างจากใบหน้านานะแค่ไม่กี่นิ้ว แถมปีกแปดคู่ เขาโง้งใหญ่และหางแหลมตะปุ่มตะป่ำยังกวาดเอกสารบนโต๊ะทำงานที่หักครึ่งของนานะตกลงไปทั้งหมดด้วย

    ราชินีสาวตกใจผงะถอยหลังและทำสัญญาณให้ทุกคนออกไปจากห้องทำงานทันที การรับมือกับพญามารนั้นไม่ใช่อะไรที่เทวดาทั่วไปจะมายุ่งได้ เธอต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

    “ท่าน...อาเดล ใจเย็นก่อน” เสียงนุ่มพร้อมมนตร์ปลอบขวัญถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อทำให้มารหนุ่มหายใจร้อน ซึ่งก็ได้ผลนิดหน่อยเมื่อพญามารถอยหลังไปนิด สร้างพื้นที่ให้นานะได้หายใจหายคอบ้าง

    “หวังว่าเจ้าจะมีเหตุผลที่กล้าสั่งข้า เทพตัวจ้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือพญามารที่มีพลังมืดถึงเก้าแสนล้านหน่วย จะทำอะไรก็เกรงใจกันหน่อย” มารตัวเอ้กล่าวอย่างวางก้ามไม่ใส่ใจว่าที่ตนยืนอยู่คือสวรรค์ถิ่นเทวดา หาใช่ถิ่นของเขา

    “ข้าไม่ได้มีเจตนาสั่งท่าน ที่ทำไปคือการขอความร่วมมือเท่านั้น อย่างที่ข้าพูด พระเจ้ากำหนดให้มารดูแลวิญญาณ ส่วนเทวดาดูแลมนุษย์...” นานะอธิบายอย่างใจเย็นอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พญามารบุกมาห้องเธอ และครั้งที่ผ่านมาเธอจัดการได้ ครั้งนี้ก็ต้องจัดการได้

    “การที่วิญญาณหลุดไปยังโลกมนุษย์ก็ถือว่าเผ่ามารเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนผลการกระทำก็หมายถึงความเสียหายของมนุษย์ เทวดาอย่างเราจะจัดการเอง” จบประโยคแล้วนานะก็มองหน้าเทวดาหนุ่มอีกครั้ง ครานี้เธอกลับต้องพบอาการประหลาดของคนตรงหน้า

    เริ่มด้วยพญามารจ้องหน้าเธอตรงๆ แล้วลอบมองกิริยาอีกฝ่ายจากนั้นเขาก็มองเธออีกครั้งด้วยใบหน้าสงสัย และลงท้ายเขาทำหน้าเหมือนตะลึงอะไรสักอย่าง เธอยังมองเห็นหยาดน้ำตาในตาของเขาด้วย

    “เจ้า... เป็นอะไร?” เทวดาสาวอดไม่ไหวจึงกล่าวถาม แล้วก็ผิดคาดเมื่อจู่ๆ อาเดลก็รั้งตัวเธอไปกอด จากนั้นก็รำพันไม่หยุด

    “เป็นเจ้าเองนานะ เจ้าจำอากิระได้หรือไม่?” ตอนแรกนานะก็ขัดขืน แต่พอได้ยินคำว่าอากิระ หัวสมองของเธอก็ว่างเปล่าทันที อากิระ...งั้นเหรอ

    อากิระคือคนรักของเธอในชาติก่อน หมายถึงตอนที่เธอเป็นมนุษย์ เธอจำอากิระได้ แต่คนตรงหน้าไม่ใช่อากิระแน่ๆ หน้าตาของอาเดลไม่เหมือนอากิระสักนิด

    “เจ้าโกหก...” ราชินีเทพกล่าว เธอไม่เข้าใจเลยว่าพญามารต้องการอะไร

    “ข้าไม่ได้โกหก เจ้าลืมข้าไปแล้วใช่ไหม นานะ เจ้าจำได้ไหมว่าข้านัดเจ้าไปเจอที่สะพานคิซุนะโนะฮาชิ(สะพานแห่งสายสัมพันธ์) แต่แล้วเจ้าก็ไม่มา...” คำพูดต่อมาของพญามารกลับทำให้นานะต้องคิดถึงอดีตชาติของตนเองอีกรอบ สะพานที่อาเดลพูดถึงมีอยู่จริงเมื่อหลายพันปีก่อนและตอนนี้มันพังลงจากสงครามไปแล้ว และเธอก็เคยนัดคนรักไปที่นั่น แต่ไม่ได้ไปเพราะอุบัติเหตุ...

    “เจ้า...คืออากิระจริงหรือ ข้าเคยตรวจดูแล้ว อากิระเหมือน... เหมือนจะเป็นวิญญาณไปแล้วนี่!” นานะทบทวนความทรงจำอีกครั้ง เพราะจากคนรักมาด้วยอุบัติเหตุกะทันหัน เมื่อเธอใช้พลังสว่างได้จนถึงขั้นระลึกชาติได้ จึงพยายามตามหาอากิระ แต่ก็กลายเป็นว่าอากิระนั้นผิดหวังจากความรักและกลายเป็นคนชั่ว เมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณ

    “ข้ากลายเป็นวิญญาณอยู่ช่วงหนึ่ง และช่วงนั้นคือเวลาที่ทรมานชั่วกัปชั่วกัลป์” อาเดลถอยหลังไปจากนานะแล้วเดินไปเพื่อหลบหน้าพลางกล่าวถึงช่วงเวลานั้นด้วยใจขมขื่น

    “เจ้ารู้รึเปล่าว่ากว่าข้าจะรู้สำนึก ตอนนั้นเวลาได้ผ่านมานานแล้ว และข้าก็กลับไปเกิดมนุษย์อีกรอบ รอบนี้ข้าใช้ชื่อว่าอาเดล นึกไม่ถึงว่าพอข้าตาย ผลของความดีความชั่วครั้งนี้จะทำให้ข้ากลายเป็นพญามาร เพราะพลังของข้ามีมากมาย ไม่นานหลังจากได้ตำแหน่งข้าจึงได้ความทรงจำชาติก่อนมาทั้งหมด และหลังจากได้มองหน้าเจ้าชัดๆ” อาเดลขยับตัวมาอีกครั้ง นานะสังเกตว่านัยน์ตามีน้ำตารื้น “ข้าก็จำเจ้าได้!”

    ราชินีเทพตื่นตระหนกกับข้อมูลที่ได้รับไม่น้อย ด้วยว่าพลังสว่างของเทวดาและพลังมืดของมารนั้นมีหลักการพื้นฐานเดียวกันนั่นคือผู้ที่ฝึกฝนจนเก่งกล้าจะได้รับความทรงจำในชาติก่อนหรือก่อนหน้านั้นกลับมาเพื่อทบทวนตัวเอง หากแต่อาเดลกลับได้รับความทรงจำมาอย่างรวดเร็วเพราะเขามีพลังมืดมากมายกว่าเก้าแสนล้านหน่วย นั่นจึงทำให้การยั้งคิดของเขาหายไป

    ธรรมดาพระเจ้าจะประทานพรในด้านความทรงจำในชาติก่อนให้กับเทวดาหรือมารผู้เก่งกล้าเท่านั้น ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาว่าเทวดาหรือมารตนไหนนำเอาไปใช้ผิดๆ แต่ว่าเกณฑ์ในการกำหนดความเก่งคือความสามารถในการใช้พลัง หากมากกว่าสามแสนล้านหน่วยก็สามารถใช้เวทเรียกความทรงจำชาติก่อนได้ทันที

    กาลก่อนนั้นเทวดาหรือมารตนไหนที่ใช้พลังมากกว่าสามแสนล้านหน่วยมักจะมีระดับอายุมากกว่าหนึ่งพันปีขึ้นไป ด้วยเวลาขนาดนั้นคนรักหรือคนที่พวกเขาคั่งแค้นก็ไม่อยู่ให้รู้สึกอะไรแล้ว แต่นี่กลับเป็นข้อยกเว้นเพราะเธอเองคือคนรักที่ถูกแค้น นานะเองอายุหลายพันปีแล้วและอาเดลนั้นเหมือนจะอายุไม่ถึงห้าร้อยปีด้วยซ้ำ แต่กลับใช้พลังได้มากกว่าตัวเธออีก นี่เป็นความผิดพลาดของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?

    “ไปด้วยกันเถอะนานะ” จู่ๆ อาเดลก็กล่าวขึ้น สายตาของเขามองนานะอย่างลึกซึ้ง แต่สายตาแบบนั้นกลับไม่ปรากฏบนใบหน้านานะแล้ว เวลาหลายพันปีสร้างความสัมพันธ์ของเธอกับสวรรค์และเหล่าเทวดาอย่างเหนียวแน่น แต่อากิระนั้นตายจากห่วงโซ่ความสัมพันธ์นี้นานแล้ว ประกอบกับอาเดลตรงหน้าไม่ได้หน้าตาเหมือนอากิระด้วยแล้ว เทวดาสาวจึงส่ายหน้าและทำแววตาเยียบเย็นแทน

    “ไม่ อาเดล ข้าไม่ใช่นานะของเจ้า ข้าคือราชินีเทพนานะ ข้าต้องอยู่บนสวรรค์” คำพูดตัดสัมพันธ์ผ่าลงกลางใจพญามาร เขาโกรธจนเผลอปล่อยพลังมืดออกมา ซึ่งมันก็ทำลายวังแห่งสวรรค์ไปเกือบครึ่งทันที

    เปรี๊ยง!

    นานะตกใจเมื่อวังของเธอกลายเป็นซากปรักหักพังครึ่งหนึ่ง ด้วยความโกรธจึงกล่าวตวาดใส่มารหนุ่ม “เจ้าทำอะไรลงไป!”

    “ข้ารักเจ้า ข้าต้องการอยู่กับเจ้า แต่ทำไมเจ้าถึงบอกว่าจะอยู่ที่นี่ งั้นข้าจะทำลายที่นี่เสีย!” มารหนุ่มไม่สนใจสีหน้าซีดลงของเทวดาสาวสักน้อย มือของเขารวบรวมพลังมืดเตรียมทำลายล้างวังนี้อีกรอบ แต่คราวนี้เทวดาสาวไหวตัวทัน เธอรีบเสกวงเวทเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาขึ้นมา จากนั้นก็จับมือพญามารแล้วทั้งคู่ก็หายวับไปจากวังแห่งสวรรค์ทันที

    เมื่ออาเดลรู้สึกตัวอีกที เขากับราชินีเทพก็มาอยู่กลางทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งแล้ว จากนั้นนานะก็เอ่ยปาก “หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะไปอยู่กับเจ้า แต่ถ้าข้าชนะเจ้า เจ้าก็อย่ามาก่อเรื่องที่นี่อีก”

    “ได้!” อาเดลเผยสีหน้าเกรี้ยวกราด จากนั้นก็เรียกพลังมืดออกมาจู่โจมใส่นานะทันที

    เวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่มีใครทราบ จนเมื่อเกิดแสงสีแดงเพลิงขึ้นมาลูกใหญ่ ทุกอย่างในรัศมีกว่าร้อยไมล์รอบทุ่งหญ้านั้นก็ถูกเผาจนเป็นผุยผง เทวดาอาวุโสจำนวนหนึ่งรีบรุดไปยังใจกลางหลุมก็พบกับนานะในสภาพร่อแร่เต็มที ข้างๆ นั้นก็เป็นอาเดลในสภาพที่ดีกว่านิดหน่อยแต่น้ำตานองท่วมหน้า

    ที่แท้อาเดลนั้นหน้ามืดจากการมีพลังมืดสะสมในตัวมากมายนั่นเอง หลังจากเขาเรียกเวทฟื้นความทรงจำขึ้นมา จึงเกิดอาการคั่งแค้นจากชาติเก่า พอเขาได้ใช้พลังออกไปเสียหน่อยจึงค่อยมีสติและรับรู้ว่าพญามารไม่ควรทำเช่นนี้ แต่ก็เกือบจะสายไปเสียแล้ว เพราะตอนนี้นานะอาการค่อนข้างสาหัสจนเทวดาอาวุโสต้องใช้หลังสว่างฟื้นพลังให้หลายรอบ

    หลังจากนั้นนานะจึงขอยอมแพ้และยอมมาอยู่ในนรกในฐานะลัคกี้วันลำดับที่หนึ่งเป็นต้นมา หน้าที่ของเธอคือการคอยช่วยให้พญามารได้ปลดปล่อยพลังมืดออกมาบ้าง แต่เพราะเธอสูญเสียพลังไปมากหลังจากต่อสู้ครั้งนั้น ดังนั้นหนึ่งร้อยปีต่อมาจึงตายไป ซึ่งก่อนที่เธอจะมาอยู่ในนรกก็ได้กำชับและให้ผู้คุมกฎสวรรค์ทำสัญญากับพญามารแล้วว่า หากทางสวรรค์ส่งผู้มีฝีมือมาช่วยให้พญามารใช้พลังมืดในตำแหน่งลัคกี้วัน พญามารจะต้องไม่ไปรุกรานและทำลายสวรรค์อีกต่อไป ดังนั้นเมื่อนานะตาย ทางสวรรค์จึงต้องส่งลัคกี้วันตนใหม่มาให้พญามารใช้งาน ซึ่งก็กลายเป็นธรรมเนียมและกฎสวรรค์ทีทำกันอย่างเคร่งครัดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

    “เดี๋ยวนะ ตอนต้นก็ดูเหมือนจะเป็นตำแหน่งอันทรงเกียรติและเสียสละนี่ขอรับ” แบคฮยอนเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ ดูจากที่อี้ชิงเล่ามา นานะเสียสละตนเองเพื่อให้พญามารไม่ไปอาละวาดที่สวรรค์อีก แต่เขาไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับ ‘สนม’ ที่พ่วงท้ายตำแหน่งเขาตอนนี้เลยนี่นา

    “ฮ่าๆ โทษทีๆ ข้าลืมเล่าไปว่า ท่านนานะเข้ามาอยู่ในนรกนี่เพื่อจุดประสงค์ช่วยท่านอาเดลก็จริง แต่ท่านอาเดลกลับยังรักท่านนานะอยู่ และยกย่องให้ท่านเป็นสนมเอก ซึ่งท่านนานะก็โดนจีบจนใจอ่อนและกลับมารักกันอีกครั้ง พวกมารเลยเข้าใจว่าลัคกี้วันคือสนมอย่างไรเล่า” อี้ชิงอธิบายไปก็หัวเราะไป

    “นี่มันน่าหัวเราะตรงไหนไม่ทราบขอรับ ข้าไม่เห็นจะวางใจได้เลยว่าพญามารจะไม่ทำอะไรข้า” แบคฮยอนขัดขึ้น ตกลงอี้ชิงพยายามปลอบเขาใช่หรือไม่?

    “เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอกแบคฮยอน นั่นเป็นสิ่งทีท่านนานะบันทึกไว้ และลัคกี้วันสมัยนี้น่ะไม่ทำอย่างนั้นแล้วไงเล่า ตอนนี้พญามารมีพลังไม่กี่แสนล้านหน่วยเท่านั้น ไม่ต้องกำจัดบ่อยๆ ส่วนการเป็นคนรักหรือสนมของพญามารที่แท้จริงนั้น ข้าก็ยังไม่เคยเห็นชานยอลข่มเหงรังแกใครสักที เขาเป็นมารที่ดีมากนะ” สุดท้ายอี้ชิงก็กล่าวกลั้วหัวเราะอีกครั้ง ก็ไม่ได้ช่วยให้แบคฮยอนคลายความสงสัยไปเลย ตกลงเขามาทำอะไรอยู่ที่นี่กันเนี่ย

    เอ๋? อี้ชิงบอกว่าชานยอลไม่เคยข่มเหงรังแกใครหรอกเหรอ
    งั้นก้นน้อยๆ ของเขาก็รอดน่ะสิ เย้!

    แบคฮยอนยิ้มกว้างดีใจไม่นาน อี้ชิงก็กล่าวเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

    “แต่ถ้าเขาถูกใจใครก็สามารถเอาลัคกี้วันคนนั้นมาเป็นเมียได้ตามใจชอบนะ เห็นว่าบันทึกเขียนไว้แบบนี้” ประโยคนั้นพุ่งเข้าสู่หัวแบคฮยอนอย่างจัง

    เขาไม่อยากเป็นลัคกี้วันแล้ว ม่ายยยยยยยยยยย




    talk

    โถ ก้นน้อยๆ ของแบคฮยอนจะรอดไหม?
    #luckyonecb นะจ๊ะ
    @noeybaekbd
    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 4 หลงทางในสวนกุหลาบ

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:31 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 4
    หลงทางในสวนกุหลาบ


    แบคฮยอนฟังเรื่องราวลัคกี้วันลำดับแรกจากอี้ชิงจนเพลิน แม้ว่าจะตื่นตกใจตอนท้ายที่ว่าหากชานยอลถูกใจก็สามารถทำอะไรกับเขาก็ได้ แต่ไม่ถึงกับหวาดกลัวชานยอลเหมือนในตอนแรกแล้ว เทวดาน้อยได้กำลังใจจากอี้ชิงว่าไม่เคยโดนทำ ‘แบบนั้น’ จากชานยอลเลย ทำให้ตอนนี้เขายังไม่คิดหนีไปไหนแถมท่านตายังส่งข่าวมาว่าเงินเดือนของลัคกี้วันจะเข้าบัญชีเดือนหน้าด้วยจำนวนสูงอีก แบคฮยอนก็เลยจำต้องเป็นลัคกี้วันต่อไป

    หวังว่าเขาจะรักษาก้นน้อยๆ ให้ได้จนครบวาระร้อยปีล่ะนะ

    อี้ชิงกล่าวเสริมว่าตอนแรกนั้นลัคกี้วันต้องสับเปลี่ยนทุกหนึ่งร้อยปีเนื่องจากพญามารองค์ก่อนๆ ใช้งานอย่างหนัก ไหนจะทำเรื่องอย่างว่า (แบคฮยอนฟังไปก็ลูบก้นป้อยๆ) หรือส่งไปทำภารกิจยากๆ บางอย่าง บางครั้งก็ระบายอารมณ์ใส่บ้าง ดังนั้นลัคกี้วันรุ่นก่อนๆ จึงอายุไม่ยืนสักราย บางรายเก่งกาจจนอยู่รอดเกินร้อยปีแต่ก็เหนื่อยเกินไปจึงตัดสินใจไปเกิดเป็นมนุษย์กันเกือบหมด

    ด้วยความโชคดี อี้ชิงพบว่าชานยอลไม่เหมือนพญามารรุ่นก่อนๆ แม้จะได้รับการสั่งสอนว่าทำอะไรกับลัคกี้วันก็ได้หากแต่เจ้าตัวไม่ได้ต้องการแบบนั้น ชานยอลจึงปฏิบัติกับเทวดาป็นอย่างดี เห็นได้จากการตกแต่งวังให้น่าอยู่และการที่เขาไม่มายุ่งกับแบคฮยอนตั้งแต่อี้ชิงพามาที่ตำหนักสนมนี่แล้ว แบคฮยอนก็ค่อนข้างเห็นด้วย

    แต่พอแบคฮยอนถามหาลัคกี้วันลำดับอื่นๆ บ้าง อี้ชิงก็บอกว่าบางส่วนรู้สึกบรรลุหน้าที่จึงไปเกิดเป็นมนุษย์ บางส่วนก็อยู่ที่นี่ต่อเหมือนอี้ชิงเพราะปรับตัวได้แล้ว ซึ่งแบคฮยอนกำลังจะถามว่าเทวดาปลดระวางตนอื่นๆ อยู่ที่ไหน ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

    “ท่านแม่เจ้าขา ให้พวกข้าเข้าไปหน่อย” เสียงหญิงสาวมากกว่าหนึ่งตนดังขึ้น แบคฮยอนงงมากๆ กับสรรพนามนั้น ในห้องมีเพียงเขากับอี้ชิงและเขาก็ไม่เคยมีลูก แต่มีหญิงสาวมาเรียกอี้ชิงว่าแม่เนี่ยนะ เทวดาไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้อย่างมนุษย์สักหน่อย แล้วพวกนั้นเป็นใครเนี่ย

    “พวกเขามาละ” อี้ชิงหันหน้ามายิ้มให้เขาหนึ่งที ห๊ะ พวกเขาไหน แบคฮยอนงงไม่นาน อี้ชิงก็เอ่ยอีกครั้ง “เข้ามาสิ” แล้วปริศนาของแบคฮยอนก็ได้รับการเฉลย

    หญิงสาวรูปร่างอวบอัดหน้าตาดีจำนวนหนึ่งมากอดรัดฟัดเหวี่ยงกับอี้ชิงแบบที่หนังเอวีของมนุษย์ยังต้องยอมแพ้ ใบหน้าของเทวดาสูงอายุ(แต่หน้าเด็ก)นั้นยิ้มให้ทั้งหมดอย่างอบอุ่นและได้รับการจูบทั้งปากจมูกแก้มเป็นการตอบแทน แบคฮยอนมองไปหน้าม้านไปสองสามรอบ อะไรคือพวกนี้มาทำบัดสีต่อหน้าเขา ไหนว่าเป็นท่านแม่อ่ะทำไมกอดจูบลูบคลำกันขนาดนั้น ถึงเขาจะไม่เด็กแล้วแต่ก็ไม่ใช่จะหน้าด้านอยู่ต่อได้นะ พอคิดได้ว่าอาจจะมีหนังสดให้ดู แบคฮยอนก็ชิงลุกขึ้นไปก่อน

    “ถ้าท่านไม่สะดวกคุยต่อแล้ว ข้าขอไปพักผ่อนก่อน” เทวดาอายุน้อยก้มหน้าเพื่อปกปิดแก้มแดงจัดของตัวเองแล้วพยายามเดินออกจากห้องไป แต่ทันใดนั้นหนึ่งในหญิงสาวก็เข้ามาจับใบหน้าเขาไว้ หืม?

    “เจ้าเป็นใครเหรอ?” หญิงสาวผมยาวสีแดงตาสีน้ำตาลปากนิดจมูกหน่อย เข้ามาจับหน้าแบคฮยอนไว้ด้วยมือข้างหนึ่งและอีกข้างก็จับแขนเขาไว้ด้วยแรงที่ไม่จัดว่าน่าเอ็นดูตามหน้าตาสักนิด

    “ขะ ข้า...” แบคฮยอนไม่กล้าบอกตำแหน่ง และถึงจะบอกไปว่าชื่อแบคฮยอนก็ไม่น่ามีใครรู้จัก เขาไม่ใช่เทวดาชื่อเสียงโด่งดังที่ไหน แถมตำแหน่งตอนนี้ก็...จะให้บอกว่าเป็นสนมของชานยอลเนี่ยนะ โอ๊ยยยย รับไม่ได้

    “ซาร่าปล่อยเขาก่อน เขามีตำแหน่งเดียวกับข้า” อี้ชิงเป็นดั่งผู้ช่วยชีวิตเมื่อแบคฮยอนกำลังโดนก้ามปูสาวสวยหนีบไว้อย่างนี้ การบอกว่าตำแหน่งเดียวกันนั้นช่วยให้เขาไม่ต้องเอ่ยคำว่าสนมออกมา “แล้วก็เหมือนพวกเจ้านั่นแหละ” เดี๋ยวนะ ประโยคถัดมาคืออะไร สาวๆ พวกนี้คือลัคกี้วันคนก่อนงั้นเหรอ หื้มมมมม

    แบคฮยอนทำหน้าประหลาดใจและเต็มไปด้วยคำถามส่งให้อี้ชิงอย่างไม่หยุดยั้งหลังจากคนสูงอายุกว่าเรียกให้กลับมานั่ง พร้อมกันนั้นก็ให้สาวๆ ทั้งสามนั่งลงข้างกาย เทวดาตัวน้อยเกิดความสงสัยไม่หาย ในเมื่อตอนแรกเข้าใจว่าอี้ชิ้งและสามสาวคือความสัมพันธ์ทางด้านชู้รัก แต่พอคำอธิบายตำแหน่งแบคฮยอนออกจากปากกลับกลายว่าเป็นตำแหน่งเดียวกันเสียนี่ แล้วไอ้ ‘ท่านแม่’ ที่ได้ยินจากสาวๆ นี่มันหมายความว่ายังไงเนี่ย

    “แนะนำทางนี้ก่อน นี่ซาร่า” มือขาวอบอุ่นยื่นไปทางสาวสวยผมแดงหน้าตาจิ้มลิ้มที่หนีบแบคฮยอนไว้ในตอนแรก เขายังเจ็บแขนไม่หายเลยให้ตายสิแรงเยอะชะมัด “เธอเป็นลัคกี้วันลำดับที่สิบของชานยอล” แล้วแบคฮยอนก็เบิกตากว้าง หญิงสาวตรงหน้าคือเทวดาจริงหรือนี่ แรงเยอะขนาดนี้นึกว่ามารเสียอีก

    “ส่วนคนนี้ นาอึน” สาวสวยคนที่สองถัดจากซาร่ามีผมสีน้ำตาลทองหน้าตาค่อนข้างไปทางเรียบร้อย แต่แบคฮยอนก็รู้ว่าหน้าตาเท่านั้นที่เรียบร้อย เพราะท่าทางที่เธอเล้าโลมอี้ชิงเมื่อกี้ยังติดตาอยู่เลย “ลัคกี้วันลำดับที่สิบสองของชานยอล” อื้อหือ งั้นก็เทวดาอีกตน หน้าตาดูเรียบร้อยขนาดนี้อายุเท่าไหร่เนี่ย

    “และสุดท้าย จองฮวา” สาวสวยท่าทางเป็นน้องเล็กคนนี้ผมสีส้มเป็นประกายแต่แววตาซุกซนที่เหมือนอยากจะแกล้งแบคฮยอนนั้นทำให้ขนลุกไม่น้อย “ลัคกี้วันลำดับที่สิบสามของชานยอล” เห็นหน้าตาน่ารักอย่างนี้แต่ลำดับก่อนเขาอีกแสดงว่าอายุก็ต้องมากกว่าเขาสินะ คนเรามองกันที่หน้าตาไม่ได้จริงๆ

    “และขอแนะนำให้ทุกคนรู้จัก นี่แบคฮยอน ลัคกี้วันลำดับที่สิบห้าของชานยอล” อี้ชิงเอ่ยต่อพลางผายมือมาหาเขาอย่างอารมณ์ดี

    เอ่อ อี้ชิงจะอารมณ์ดีเกินไปไหม เขาไม่รู้สึกเลยสินะว่าหลังจากสามสาวรู้ว่าแบคฮยอนเป็นใคร จู่ๆ ก็มีบรรยากาศมาคุกระจายอยู่รอบๆ ห้อง อดีตลัคกี้วันสาวสามนั่นอยากจะรู้จักเขาแน่หรือ?

    “น่ารักจังเลย” จู่ๆ จองฮวาก็ดึงแบคฮยอนเข้าไปกอด มันเหมือนกับแบคฮยอนกำลังโดนอัดด้วยมาร์ชแมลโล่ลูกยักษ์เพราะใบหน้าของเขาแนบไปกับอกไซส์ใหญ่นุ่มเนื้อแน่นของหญิงสาวอย่างไม่ได้ตั้งใจ แบคฮยอนคลายความกังวลเมื่อกี้ออกทันที ให้ตายเถอะเขาชักอยากให้จองฮวากอดเขาไปอีกนานๆ เสียอย่างนั้น อา...มาร์ชแมลโล่ของพี่แบค

    แต่จู่ๆ มาร์ชแมลโล่ที่เหมือนจะหวานนุ่มก็พูดกรอกหูเบาๆ อย่างที่อี้ชิงไม่น่าจะเคยได้ยินแบบเขาแน่ “อย่าให้รู้ว่ามาหว่านเสน่ห์ท่านชานยอล ไม่งั้นแม่เชือดไม่เลี้ยงแน่”

    เล่นเอาแบคฮยอนดันหญิงสาวออกห่างเพราะเมื่อกี้ไม่ใช่แค่ขู่ แต่จองฮวาเหมือนจะเอาอกนั่นกดเขาให้หายใจไม่ออกจริงๆ เสียด้วยสิ “แบคฮยอนน่ารักจังเลย เจ้ามาเป็นเพื่อนกับข้าเถอะนะ” แน่ะ เมื่อกี้ขู่ฆ่า แต่ตอนนี้กลับชวนเป็นเพื่อนซะงั้น แบคฮยอนทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกเลยล่ะตอนนี้

    “ข้าด้วยๆ มาเป็นเพื่อนกับข้านะ” นาอึนก็เข้ามากอดเขาด้วยเหมือนกัน แบคฮยอนชักสงสัยแล้วว่ากลุ่มผู้ถูกเลือกนี่ต้องหน้าอกคัพดีกันหมดหรือเปล่า นาอึนมากอดเขาจนหายใจไม่ออกอีกแล้ว “อย่าคิดจะจับท่านชานยอล เขาไม่สนเจ้าหรอก” แบคฮยอนรีบผละออกทันที นี่ก็อีกรายเรอะ?

    สุดท้ายซาร่าก็เอ่ยปาก ดีนะรอบนี้ไม่ดึงเขาไปกอด ถึงแม้เทวดาเพศชายอย่างเขาจะชอบกินมาร์ชแมลโล่ก็เถอะ “ยินดีด้วยที่ได้เจอเจ้า หวังว่าท่านชานยอลจะเมตตาต่อเจ้า ตอนนั้นที่ข้าเพิ่งเป็นลัคกี้วันใหม่ๆ ชีวิตของข้าค่อนข้างลำบาก ก็ได้ท่านชานยอลช่วยไว้” แบคฮยอนขนลุกไปหมดเลยแม่จ๋า แม้เทวดานางนี้จะไม่เอาอกบิ๊กไซส์มาอัดเขาไว้ แต่การเน้นคำที่บ่งบอกชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไรนั่นก็ทำให้รู้สึกว่าชีวิตหลังจากนี้จะค่อนข้างลำบากกว่านี้แน่

    “ดีใจที่พวกเจ้าเข้ากันได้ดี งั้นเดี๋ยวเราไปกินข้าวเย็นกันนะ” อี้ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงแบบไม่รู้สึกถึงบรรยากาศใดๆ ทั้งสิ้น สามสาวก็ตอบกลับแบบที่ลูกตอบแม่แบบไม่เสแสร้งสักนิด คงมีแต่รอยยิ้มแปลกๆ ส่งมาให้แบคฮยอนตลอดแบบไม่ปิดปัง เล่นเอาคนชอบกินขนมขยาดกลัวไปชั่วขณะ

    นี่เขาจะไม่ถูกมาร์ชแมลโล่ทับตายในนรกนี่หรอกใช่ม้ายยยยยยย


    (ห้องอาหาร)

    หลังจากอี้ชิงพาทุกคนออกมาจากห้องก็เดินนำตรงมาห้องอาหารทันทีเพื่อรับประทานอาหาร แบคฮยอนจึงได้รับรู้ว่าอาหารของวังแห่งนรกนั้นอร่อยไม่แพ้วังเอเดนเช่นกัน แม้การปรุงรสจะไม่ค่อยเหมือนกับรสมือวังเอเดนสักเท่าไหร่ แต่หลักการกินหมูไก่เนื้อกุ้งปู แม้กระทั่งผักสดเช่นเดียวกับสวรรค์นั้นก็ทำให้คิดว่าการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไม่ยากเย็นนัก

    มิน่าล่ะ อี้ชิงเป็นลัคกี้วันมาไม่รู้กี่พันปีถึงได้ใบหน้าอิ่มเอิบ อวบอ้วนและดูมีความสุขอย่างที่เทวดาควรจะเป็น ไม่ใช่หน้าตายหนังหนาแบบมารบางตนซึ่งอยู่ในห้องนี้ อืม...อย่างที่อี้ชิงบอกไว้ว่าพญามารเลี้ยงดูพวกเขาค่อนข้างดีน่าจะมองเห็นเป็นรูปธรรมแล้ว แต่น่ากลัวว่าก้นน้อยๆ ของแบคฮยอนจะยังวางใจไม่ได้เพราะสามสาวสวยที่คอยพะเน้าพะนอพญามารอย่างออกนอกหน้านั่นยืนยันได้ว่าเจ้าบ้านั่นเจ้าชู้ไม่น้อยเลย

    แบคฮยอนส่งสายตาค่อนขอดไปทางพญามารต้นเหตุที่ทำให้เขามาอยู่นรก คนอะไรมักมากชิบ ตัวเองมีคนดูแลมากมายมีสาวสวยล้อมรอบยังจะพาเขามานั่งทำอะไรตรงนี้อีก คิดหาสาเหตุว่าตนมาทำอะไรที่นี่ไม่ได้ก็จิ้มสเต๊กเนื้อมากินอีกรอบ อา... อร่อย กินข้าวให้อิ่มก่อนแล้วค่อยหาทางอยู่รอดหรือหลบหนีจากที่นี่ก็แล้วกัน

    “เจ้าชอบสเต๊กเหรอ?” จู่ๆ พญามารก็เอ่ยกับแบคฮยอนด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “ให้ข้าสั่งทำสเต๊กทุกวันไหม เจ้าชอบอะไรเป็นพิเศษอีกหรือเปล่า” ไม่ว่าเปล่ายังจิ้มเนื้อชิ้นโตมาวางจานแบคฮยอนอีก ไม่เห็นรึไงว่าสามสาวนั่นมองเขาด้วยสายตาเปรี๊ยะๆ แล้วนั่น

    “เอ่อ ไม่ขอรับ ข้าไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ ข้าแค่ชอบของอร่อย” แบคฮยอนตอบเลี่ยงๆ เมื่อชานยอลจ้องมองเขาตาแป๋ว มาดผู้ใหญ่ไปไหนหมดกันล่ะเฮ้ย ทำเอาเขาลำบากใจที่จะตอบอีก

    “อันนี้ล่ะ ชอบไหม” ชานยอลจิ้มกุ้งราดซอสมะขามรสเด็ดให้หนึ่งตัว “อันนี้ข้าว่าอร่อยดีนะ” นั่นปลากะพงทอดสามรส “อันนี้ก็ด้วยนะ” สุดท้ายก็กวาดไข่เจียวปูมาใส่จนจานแบคฮยอนเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด

    ตอนนี้สามสาวเริ่มท่องเวทโจมตีแล้ว

    “ชะ ชอบขอรับ ข้าชอบทั้งหมดแต่ได้โปรดอย่าตักให้ข้าอีกเลยข้าอิ่มแล้ว” แบคฮยอนพูดไปก็หลับตาท่องเวทป้องกันไปในตัว เขายังไม่อยากโดนเจี๋ยนบนโต๊ะอาหารหรอกนะ

    “แล้วเจ้าชอบ...” ชานยอลไม่ถามเปล่ารอบนี้ แต่ยังทำท่าขยับเข้ามาใกล้แบคฮยอนอีกด้วย ต้องเข้าใจก่อนว่าตำแหน่งการนั่งคือชานยอลนั่งหัวโต๊ะ สามสาวนั่งริมซ้าย ส่วนริมขวาคืออี้ชิงแล้วถัดมาคือเขาเอง ดังนั้นเมื่อพญามารพยายามเข้าใกล้เขาคือการขยับตัวเองลุกจากที่นั่งแล้วโค้งตัวมาใกล้แบคฮยอนมากๆ ท่ามกลางสายตาสาวงามทั้งสาม กระทั่งอี้ชิงยังแทบจะขยับเก้าอี้แหวกทางให้ด้วยซ้ำ

    ดังนั้นตอนนี้ทั้งซาร่า นาอึนและจองฮวาจึงส่งสายตาอาฆาตชนิด ‘เจ้ามันไม่รู้จักตายใช่ไหม’ มาให้แบคฮยอนอย่างไม่ปิดบัง เทวดาน้อยไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชานยอลกับอี้ชิงมองรังสีอันตรายเหล่านี้ไม่ออก พญามารนี่คงเพราะเป็นตัวก่อปัญหาเสียเองน่าจะไม่เห็น แต่ว่าถึงขนาดอี้ชิงยังมองไม่เห็น แบคฮยอนก็ไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว ร่างเล็กจึงหดตัวพลางท่องเวทป้องกันให้หนาขึ้นแล้วคิดหาทางออกก่อนจะโดนเทวดารุ่นพี่ใช้พลังกำจัด

    “ข้าว่าข้าอิ่มแล้ว ขอบคุณมากขอรับ” คนไร้ทางออกรีบตัดช่องน้อยแต่พอตัว ไม่ยอมให้ชานยอลพูดจนจบ เสร็จแล้วก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

    ปล่อยให้พญามารทำหน้ามึนงงพลางหันไปถามลัคกี้วันลำดับหนึ่งของเขาแล้วหันมามองสามสาวแต่ก็ไม่พบอะไรผิดสังเกต

    “เขาคงจะเขินน่ะเจ้าค่ะท่านชานยอล น่ารักเนอะ” จองฮวายิ้มหวานแล้วป้อนข้าวให้ชานยอลอีกคำก่อนจะเอ่ยเสียงน่าฟังตอบคำถามที่เขียนบนใบหน้าพญามารให้

    “อ่า อย่างนี้นี่เอง” ชานยอลก็ตอบรับโดยง่ายก่อนจะรับประทานอาหารต่อ



    ****lucky one and monster****



    ชานยอลรับประทานอาหารเสร็จก็ตั้งใจจะไปไถ่ถามแบคฮยอนเสียหน่อยว่าการใช้ชีวิตที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง แต่ปรากฏว่าเขาไปหาแบคฮยอนที่ห้องพักไม่เจอ มารหนุ่มจึงใช้เวทติดตามซึ่งฝังกับเครื่องหมายบนคอแบคฮยอนเพื่อหาตำแหน่งอีกฝ่าย จากนั้นก็พบว่าเทวดาหนุ่มกำลังเดินเล่นในสวนกุหลาบข้างวังนี่เอง

    สวรรค์ โลก และนรกนั้นแม้ภพภูมิจะแตกต่างกันแต่พระเจ้าก็ไม่ได้ใจร้ายให้ทุกคนอยู่ในสภาพที่แตกต่างกันสุดขั้ว โลกมนุษย์อุดมสมบูรณ์ดีทุกคนคงรู้ และสวรรค์ก็ปลูกอะไรงอกงาม แต่ไม่ใช่ว่านรกจะย่ำแย่มืดมนแห้งแล้งขนาดนั้น เพราะเผ่ามารเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าอยู่ ดังนั้นจึงมีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กลางวันกลางคืนไม่ต่างจากอีกสองภพ แถมพระจันทร์ของที่นี่ก็สวยไม่เป็นรองใครเสียด้วย

    ชานยอลคิดว่าตอนนี้แบคฮยอนน่าจะไปเดินย่อยอาหารพลางชมแสงจันทร์ หากจะเข้าไปหาก็น่าจะไม่เป็นไร ร่างสูงโปร่งของพญามารจึงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย หากไปขัดขวางการซึมซับบรรยากาศอาจจะไม่ค่อยดีนัก หากแต่พอเข้าไปใกล้จุดที่วงเวทแสดงผล เขากลับรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย

    ภาพตรงหน้าค่อนข้างดึงดูดใจพญามารอย่างน่าประหลาด ท่ามกลางแสงจันทร์แบคฮยอนกำลังยืนอยู่ใจกลางสวนกุหลาบด้วยท่าทางเหมือนสาวน้อย ภายใต้เงาจากแสงไฟของสวนและเงาของดวงจันทร์ แบคฮยอนกลับมีแสงระยิบระยับอยู่รอบกาย ดูราวกับเทพธิดาในตำนานกำลังให้พรกับเหล่ามวลไม้นานาชนิดก็ไม่ปาน

    พญามารเพิ่งสังเกตว่าลัคกี้วันลำดับล่าสุดของเขาตัวเล็กและผอมบางเสียจนมองเห็นทรวดทรงอ้อนแอ้นอรชรยิ่งกว่าผู้หญิง เนื่องจากเทวดาน้อยสวมเสื้อผ้าค่อนข้างบางเบาจึงเห็นแสงต่างๆ ส่องผ่านเนื้อผ้าไปถึงไหนต่อไหนจนหมด นี่เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าอากาศตอนกลางคืนของนรกนั้นหนาวเย็นมากๆ ถึงได้มายืนตากลมอย่างนี้

    ชานยอลไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังเดินตรงเข้าไปหาแบคฮยอนคล้ายต้องมนตร์ พอถึงร่างบอบบางนั่นเขาก็กอดอีกฝ่ายไว้ราวกับดอกไม้เล็กน่าทะนุถนอม แต่เพราะแบคฮยอนไม่ทราบว่าเขากำลังมาหรืออย่างไรถึงได้ตกใจจนกรีดเสียงร้องลั่น

    “อ๊ากกกกก” ร้องดังเสียด้วย นี่สนมตนล่าสุดของเขาจะปลุกคนทั้งวังมาที่นี่หรือยังไงนะ

    ชานยอลรีบปิดปากเทวดาเสียงดีด้วยมือแล้วลากไปพุ่มกุหลาบพันปีซึ่งไม่มีหนามอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นแบคฮยอนที่ดิ้นขลุกขลักได้มีแผลเต็มตัวแน่ๆ พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มสงบได้แล้ว จึงพยายามเอ่ยปากถาม

    “เจ้ามาทำอะไรที่นี่/เจ้าเป็นใคร!” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ชานยอลนั้นหัวเราะด้วยความแปลกใจ แต่แบคฮยอนกลับเบิกตามองกว้างเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือพญามารนั่นเอง

    “ทำไมเจ้าถึงเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง” กลายเป็นเทวดาที่เอ็ดขึ้นก่อน ชานยอลมองแบคฮยอนอย่างเอ็นดู แก้มแดงพลางทำปากเบะนี่มันสมเป็นเทวดาตัวน้อยจริงๆ

    “ข้าเห็นเจ้ากำลังยืนชมแสงจันทร์เลยไม่กล้าขัดน่ะ ก็เลยเข้ามาเงียบๆ” ฝ่ายมารค่อนข้างดีใจไม่น้อยที่แบคฮยอนไม่ถามว่าเขากอดทำไมเพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน

    “ขะ ข้าเปล่าชมแสงจันทร์...ข้าหลงทาง” เสียงอ้อมแอ้มจากเทวดาตัวเล็กพาให้ชานยอลฟังไม่ถนัด ผู้ใหญ่เลยถามเด็กอีกครั้งหนึ่ง

    “เจ้าว่าอย่างไรนะ” น้ำเสียงนุ่มราวกับช่วยปลอบขวัญ แบคฮยอนจึงกล้าเอ่ยอีกรอบ

    “ข้าหลงทาง ข้าออกจากห้องอาหารก็วิ่งตามทางไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในสวนนี้แล้ว แต่ไม่ว่าจะหาทางออกยังไงก็ไม่เจอ” ตอนแรกเหมือนเด็กน้อยจะเล่าเรื่องได้เข้าใจดีแต่หลังๆ ก็อ้อมแอ้มเหมือนทำอะไรผิด ชานยอลเลยหัวเราะนิดหน่อยกับพฤติกรรมน่ารักนั่น แบคฮยอนจึงมองค้อนเขาหนึ่งที ตาเรียวเล็กนั่นพยายามถลึงให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้และปากก็เบะออกจนน่าบีบ

    ชานยอลยิ่งหัวเราะเข้าไปใหญ่กับการทำตัวเล็กลีบหดนั่น อันที่จริงแบคฮยอนก็ไม่ถือว่าตัวเล็กหรอกสำหรับเทวดาหนุ่มทั่วไป แต่ส่วนสูงราวๆ ร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรกับไหล่กว้างราวๆ สี่สิบห้าเซนติเมตร เมื่อเทียบกับส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบหกเซนติเมตรและไหล่กว้างห้าสิบสองเซนติเมตรของชานยอลนั้น แบคฮยอนก็เหมือนเด็กน้อยไม่มีผิด ยิ่งทำปากเบะตาแป๋วอย่างนี้ เขายิ่งนึกถึงเจ้าหมาน้อยซึ่งเคยนำมาเลี้ยงไว้ที่นี่ไปใหญ่

    “หัวเราะทำไม ข้าทำอะไรผิด ข้าแค่หลงทางมันผิดอะไรรึไงข้าเพิ่งเคยมาที่นี่วันแรกนะ” เทวดาเริ่มหงุดหงิดจนยกมือมาขู่จะตีมารตัวใหญ่ ดังนั้นชานยอลจึงหยุดหัวเราะแต่โดยดี เขาลืมเสียสนิทว่าจะมาถามไถ่สุขภาพอีกฝ่าย พอนึกได้ก็เลยเช็ดน้ำตาที่เล็ดตอนหัวเราะแล้วถามดีๆ อีกครั้ง

    “เดี๋ยวก่อนใจเย็นๆ ข้าแค่จะมาถามว่าเจ้าสบายดีไหม อยู่วังแห่งนรกวันแรกเป็นอย่างไรบ้าง” มือน้อยลดลงมากอดอกเหมือนแต่แรกชานยอลเลยวางใจ หากแต่ต่อมากลับเห็นอีกฝ่ายเหมือนจะสั่นๆ จึงถามต่อ “นี่เจ้าบอกว่าหลงทางมาตั้งแต่เมื่อเย็น คงไม่ได้หลงอยู่ในนี้นานจนหนาวสั่นหรอกนะ”

    “ฮื่อ หนาว หนาว” เมื่อชานยอลถามจบแบคฮยอนก็กอดตัวเองพลางสั่นหนาว เล่นเอาพญามารส่ายหน้า ตอนแรกก็เหมือนจะสบายดีไม่ใช่ว่าตอนนี้จะเป็นไข้จากความหนาวของสวนกุหลาบนรกหรอกนะ

    มือใหญ่เลยดึงเด็กน้อยเข้ามาใกล้ๆ แล้วพยายามใช้พลังแผ่ไอร้อนจากตัวให้ แต่เหมือนจะไม่พอชานยอลจึงดึงอีกฝ่ายเข้ามาในเสื้อโค้ทของเขา แบคฮยอนตัวเล็กมากจริงๆ ยิ่งดึงมาแนบกายแบบนี้ เทวดาน้อยก็แทบจะจมลงในเสื้อโค้ทของเขา ชานยอลไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายทำไมซื่อบื้อแบบนี้ เวทสื่อสารก็ทำไม่เป็นหรืออย่างไรถึงได้ไม่ยอมสื่อสารให้ใครมาช่วยพาออกไปจากสวน

    รอจนร่างเล็กในเสื้อโค้ทหายสั่นหนาว ชานยอลก็คลายอ้อมกอดออกมาเพื่อดูอาการสักหน่อย เหมือนว่าแบคฮยอนจะหลับไปแล้วแต่ร่างกายยังติดจะเย็นอยู่นิด พญามารจึงโอบอีกฝ่ายไว้อีกรอบ คราวนี้ตัวอุ่นแล้วแต่หน้ากลับเย็นเยียบ พลังมืดของเขาไม่ถนัดทำความอุ่นเสียด้วยยังดีที่ร่างกายคล้ายสัตว์เลือดอุ่นจึงลองเอาหน้าผากแตะหน้าผากดู เหมือนจะได้ผลเพราะคราวนี้หน้าผากแบคฮยอนเริ่มมีสีเลือดฝาดแล้ว

    ชานยอลกำลังคิดว่าจะอุ้มแบคฮยอนไปที่ห้องพักก่อนหรือทำให้ใบหน้าอีกคนอุ่นก่อน ทันใดนั้นริมฝีปากสีซีดก็ดึงดูดความสนใจเขา แม้จะไม่อวบอิ่มแบบของนาอึน หรือสีสวยแบบของซาร่า แต่มันค่อนข้างจะ เอ่อ เย้ายวนไม่น้อยเลย คิดสองจิตสองใจว่าแบคฮยอนอาจไม่ชอบแบบนี้แต่คล้ายชานยอลจะไม่เป็นตัวของตัวเองช่วงหนึ่ง พอรู้สึกอีกทีสัมผัสเย็นเยียบจากริมฝีปากบางก็สะท้อนเข้ามาหาเขาแล้ว

    ร่างเล็กแบบบางไม่ขยับเขยื้อนหรือตกใจตื่นทำให้พญามารได้ใจไปอีก ราวกับอยากรู้ว่าเขาจะทำให้ปากเย็นๆ นั่นอุ่นขึ้นได้ไหม จากสัมผัสเบาๆ ก็กลายเป็นสัมผัสหนักขึ้น ลามไปถึงดูดดึงและแทรกสอดชอนไช ไม่แค่ริมฝีปากแล้วที่สัมผัสกัน หากแต่ลิ้นพัลวันนั่นก็ส่งความร้อนจากมารตัวใหญ่ไปให้เทวดาตัวเล็กแบบสม่ำเสมอไม่มีปล่อยวาง

    จนกระทั่งร่างบางคล้ายหายใจไม่สะดวกและพยายามดิ้นขลุกขลิก ชานยอลจึงผละออกจากอีกฝ่ายพร้อมปล่อยไอน้ำราวกับเสือหอบ เขาค่อนข้างตกใจอยู่เหมือนกันกับการกระทำอุกอาจอย่างจูบจาบจ้วงกับคนอื่นที่ไม่รู้สึกตัว หากแต่มองว่าหลังจากนั้นแบคฮยอนสงบลงเหมือนนอนหลับเฉยๆ แล้วปากน้อยก็ดูมีสี หน้าผากไม่เย็นเยียบเหมือนเดิมและตัวก็อุ่นขึ้นแล้ว ตอนนี้เขาคงอุ้มอีกฝ่ายไปยังห้องพักได้แล้วสินะ

    ชานยอลอุ้มแบคฮยอนไปถึงห้องพักส่วนตัวของอีกฝ่ายแล้ววางเด็กน้อยลงกับเตียงอย่างทะนุถนอม เขาเรียกมารรับใช้สาวสองตนให้มาคอยปรนนิบัติสนมลำดับล่าสุดพลางกำชับอย่างเคร่งครัดว่าให้เรียกนักเวทแพทย์มาตรวจอาการพรุ่งนี้ด้วย จากนั้นก็เดินออกไปพลางกุมหน้าอกตัวเองไปด้วย

    เมื่อกี้เขาใจสั่นไม่น้อยเมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่ายชัดๆ หลังจากวางแบคฮยอนลงกับเตียง ปากติดจะแดงเพราะถูกเขาจูบ แถมด้วยพิษไข้ยังควานหาอะไรบางอย่างเสียจนชานยอลทำตัวไม่ถูก พอยื่นมือเข้าไปใกล้แบคฮยอนก็ราวกับจะดึงเขาไปโอบกอด ชานยอลจึงผละออกราวกับไฟช็อตแล้วเรียกมารรับใช้มาทันที

    ชานยอลไม่เข้าใจความคิดและหัวใจของตนเอง นี่เขารู้สึกกับแบคฮยอนอย่างไรหนอ...







    talk
    โถ...พญามารช่างไร้เดียงสามากเพคะ จูบเขาแล้วยังไม่รู้ตัวอีก
    #luckyonecb
    มีเข้าพระเข้านางแล้ว เย้!
    @noeybaekbd

    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 5 มันเยี่ยมมากซาร่า

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:33 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 5
    มันเยี่ยมมากซาร่า

    แบคฮยอนเกลียดความรู้สึกอย่างหนึ่ง นั่นคือเขาตื่นขึ้นมาแล้วจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนนอนไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ตื่นนอนเรียบร้อยและงุนงงหนักมาก จึงต้องพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อรับรู้สถานการณ์ จากนั้นพอสายตาปรับเข้ากับแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างได้ เขาก็มองไปรอบๆ ทันที

    ผ้าม่านสีเทากำลังพลิ้วไหว อากาศก็ร้อนกว่าปกติหน่อย สงสัยหน้าร้อนของสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว แต่พอมองปฏิทินที่ฝาผนังกลับพบว่านี่คือหน้าหนาวต่างหาก แล้วทำไมอากาศร้อนล่ะ เอ๊ะ ผ้าม่านสีเทาอย่างนั้นหรือ ผ้าม่านของเขาเป็นสีฟ้านี่!

    เทวดาน้อยผุดลุกจากเตียงอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งไปที่หน้าต่าง แสงแดดร้อนแรงแผดเผาเขาเสียจนต้องหยีตาหลบ แล้วเท้าที่ขัดกันจึงพาให้ร่างล้ม ก้นจ้ำเบ้าอยู่ตรงนั้น

    “โอ๊ย” เสียงร้องแม้จะไม่ดังแต่ก็ทำให้ข้างนอกพอได้ยิน ดังนั้นสาวรับใช้จึงเข้ามาพยุงเขา พอเห็นรูปร่างสองสาวชัดๆ ก็เหมือนความทรงจำพุ่งเข้าใส่ เขาโง้งและหางสีดำมันเผ่ามารนี่นา แล้วแบคฮยอนก็จำได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนแล้วเมื่อคืนวานนอนไปได้อย่างไร


    “อ๊ากกกกกกกก”

    เสียงกรีดร้องของเทวดาที่เพิ่งหายเมาขี้ตาจึงดังลั่นไปทั่วตำหนักสนมเชียว

    “มีอะไรรึเปล่า” อี้ชิงวิ่งเข้ามาดูก่อนเป็นคนแรกแล้วสามสาวลัคกี้วันลำดับก่อนๆ ก็ตามเข้ามา พอเห็นว่าแบคฮยอนเหมือนจะสติแตกเฉยๆ ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนเทวดาสาวก็เลยออกจากห้องไปด้วยท่าทางน่าเบื่อ เหลือก็แต่ ‘ท่านแม่’ ก็เท่านั้น

    “ฮือ อี้ชิง ข้าจะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี” พอเห็นอี้ชิงเข้ามาหาแบคฮยอนก็กอดอีกฝ่ายไว้แล้วฟูมฟายจนฟังไม่ได้ศัพท์ เทวดาสูงอายุเลยสะบัดมือให้มารรับใช้ออกไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ พูดกับแบคฮยอนอีกที

    “เจ้าไม่สบายตรงไหน บอกข้าได้ไหม” เทวดาเด็กได้ยินน้ำเสียงที่ทำให้รู้สึกสบายใจเลยค่อยสงบลง เขาจึงเล่าเหตุการณ์วันก่อนให้อี้ชิงฟัง เริ่มต้นจากตอนวิ่งหนีออกจากห้องอาหารแล้วไม่รู้ทางจนหลง สุดท้ายก็โผล่สวนกุหลาบแต่ออกไม่ได้ ยืนตากลมจนหนาวจึงพยายามใช้พลังอันน้อยนิดของตนเองสร้างแสงอบอุ่น และชานยอลก็เข้ามาตอนนั้นแล้วกอดเขาไว้

    นึกถึงตอนนั้นได้แล้วแบคฮยอนก็หน้าแดงแจ๋ จำได้ว่าพญามารโอบกอดไว้จากด้านหลังแล้วเขาตกใจมากเลยร้องลั่น จากนั้นจึงโดนลากไปหลบข้างพุ่มไม้ ชานยอลถามเขาสองสามประโยคแล้วแบคฮยอนก็หน้าร้อนแปลกๆ เลยหมดสติไป นึกเหตุการณ์หลังจากนั้นไม่ออกแล้ว พอถามมารรับใช้ก็ได้คำตอบว่ามารตัวใหญ่นั่นอุ้มเขามาส่งถึงห้อง ไม่รู้ระหว่างทางทำอะไรไปบ้าง

    อ๊ากกกกก ไม่ใช่ว่าก้นน้อยๆ ของแบคฮยอนจะถูกเปิดซิงไปแล้วหรอกนะ

    “ใจเย็นก่อน ใจเย็นก่อน” อี้ชิงพยายามปลอบแบคฮยอนอีกครั้ง คราวนี้เทวดาน้อยเริ่มตั้งสติแล้วสำรวจตัวเองสักหน่อย หน้าตาแขนขาลูบไปก็ไม่มีรอยแปลกๆ แล้วตรงก้นก็...

    “โอ๊ย เจ็บ” แบคฮยอนน้ำตาแทบจะไหล นี่เขาเสีย....ให้พญามารแล้วหรือ ไม่นะ เขายังไม่พร้อม

    เอ๊ะ แต่เดี๋ยวก่อน พอคลำดูใหม่ก้นเขาก็ไม่ได้เจ็บจากข้างในนี่นา ความทรงจำเข้ามาพอดีว่าเมื่อกี้เขาล้มก้นจ้ำเบ้า ดังนั้นแสดงว่าก้นแบคฮยอนยังไม่โดนพญามารชำแหละ โอ๊ยยยย ดีใจ ฮื่อ

    “เจ้าบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า” อี้ชิงยังมองเขาด้วยความเป็นห่วง แบคฮยอนเกือบลืมไปเลยว่าอี้ชิงก็อยู่ตรงนี้ด้วย เขามัวแต่สังเกตร่างกายตัวเองแต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไรสักอย่าง ยกเว้นก้นกระแทกพื้นเมื่อกี้เลยเจ็บนิดหน่อยจึงบอกไปตามตรง

    “เจ็บ เอ่อ ตรงบั้นท้ายขอรับ” ด้วยความอาย เทวดาน้อยเลยตอบเบาๆ แบบอ้อมแอ้ม แต่พออี้ชิงได้ยินกลับเบิกตามองกว้าง

    “บะ บั้นท้ายเหรอ เอ้อ แบคฮยอน มิน่าล่ะชานยอลถึงบอกให้ข้าดูแลเจ้าดีๆ” กลายเป็นจู่ๆ อี้ชิงทำท่าตกใจพลางหน้าแดงแปร๊ดแทนเทวดารุ่นน้องเสียอย่างนั้น

    “เอ๋ ท่านพบพญามารด้วยหรือขอรับ”
    “อ้อ เอ้อ ใช่ เจอกันเมื่อเช้าน่ะ เขาสั่งว่าให้ข้าดูแลเจ้าอย่างดี ตอนแรกนึกว่าเจ้าอาจจะป่วยเพราะไปเดินเล่นตอนกลางคืนแต่นี่คงเอ่อ แบบว่า...” อี้ชิงพูดตะกุกตะกักจนแบคฮยอนเริ่มจับใจความไม่ถูก “ข้าว่าข้าไปเตรียมยาให้เจ้าดีกว่า รอตรงนี้นะ” แล้วเทวดารุ่นพี่ก็ออกจากห้องไปโดยเจ้าของห้องไม่ทันได้ทักท้วงเลย

    แบคฮยอนไม่เข้าใจ บาดเจ็บแค่ตรงก้นกระแทก แค่เขาใช้พลังสว่างของตนเองรักษาก็หายแล้วนี่นา ทำไมอี้ชิงต้องทำสีหน้าเป็นห่วงเขาและเหมือนอาการบาดเจ็บเป็นเรื่องใหญ่ด้วย

    พอคิดได้ว่าตนเองมีพลังรักษา มือน้อยเลยยกขึ้นรวมพลังสว่างปากก็ร่ายเวทหนึ่งบทที่จำได้จนขึ้นใจ ท่านตานั่นเองสอนเวทบทนี้ให้เข้าตั้งแต่ยังเล็ก เพราะตอนนั้นซนจนได้แผลบ่อยๆ แถมยังโดนท่านตาฟาดซ้ำเพื่อให้หลาบจำอีก แบคฮยอนเลยใช้เวทรักษาได้จนคล่อง พอรวมพลังสว่างได้พอสมควรก็เอาไปวางตรงก้นตัวเองจากนั้นอาการบาดเจ็บก็ไม่มีให้รู้สึกอีก

    แต่เดี๋ยวอี้ชิงมาเขาคงต้องรับยาของอีกฝ่ายไว้ ไม่อย่างนั้นเทวดารุ่นพี่อาจจะเสียหน้าแย่

    อี้ชิงกลับมาอีกทีหลังจากนั้นไม่นานพร้อมกับสามสาวหน้าตาท่าทางเอาเรื่อง เล่นเอาแบคฮยอนเสียวสันหลังวาบเมื่อเห็นสายตาของเทวดาสาวรุ่นพี่ เมื่อเช้าพวกหล่อนยังไม่สนใจดูดำดูดีเขาเลย แต่ตอนนี้กลับมายืนจ้องหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันต่อหน้าเสียแล้ว มันต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ๆ เขายังไม่ได้ไปให้ท่าหรืออะไรเทือกนั้นกับชานยอลเลยนะ

    เอ่อ... ถึงแม้เมื่อคืนเขาจะโดนกอด แล้วเขาก็ไม่ใช่คนเข้าไปกอดชานยอลก่อน ก็ไม่น่าจะเรียกว่ายั่วหรอกมั้ง?

    “แบคฮยอน เจ้า เอ่อ กับชานยอล เอ่อ คือแบบว่า มีอะไร เอ่อ” แต่มาถึงอี้ชิงก็พูดแปลกๆ ตะกุกตะกักเหมือนเป็นเรื่องไม่ควรพูด แบคฮยอนนี่งงไปหมดว่าอีกฝ่ายต้องการถามอะไรเขา คงไม่ใช่ถามว่าชานยอลกอดเขารึเปล่าเมื่อคืนใช่มั้ย ให้ตายเถอะอี้ชิงไม่เห็นสายตาสามสาวที่พร้อมจะฆ่าแบคฮยอนคาเตียงเลยเรอะ?

    “ไม่ๆ ข้ากับพญามารไม่มีอะไรทั้งนั้น ท่านเข้าใจผิด” ก่อนเวทโจมตีจากเทวดาสาวรุ่นพี่จะส่งออกมาหาตัว แบคฮยอนจึงตัดสินใจปฏิเสธก่อน จะอะไรก็ช่างแต่ห้ามมีเอี่ยวกับพญามารเด็ดขาด ไม่งั้นก็ไม่ต้องห่วงก้นน้อยๆ ของตัวเองแล้ว แม้แต่หัวก็ไม่น่าจะเหลือ!

    “แน่ใจนะแบคฮยอน ท่านชานยอลไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่ไหม” ซาร่าถามย้ำอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงหากแต่ใบหน้าถมึงทึง เขารู้ละว่าทำไมอี้ชิงถึงไม่สังเกตเห็นสีหน้าสาวๆ เหล่านี้ เพราะเวลาสามสาวทำท่าทางน่ากลัวจะถอยหลังห่างจากอี้ชิงหนึ่งก้าวจากนั้นก็ใช้วิธีพูดเสียงอ่อนหวานเสียจนคนฟังไม่รู้สึก จากนั้นก็รวมพลังสว่างเพื่อโจมตีอย่างเงียบๆ

    ช่างลึกล้ำและเก่งกล้าอะไรปานนี้ ผู้ถูกเลือกก็ยังคงเป็นผู้มีความสามารถสูงจริงๆ

    เอ่อ... เหมือนจะไม่ใช่เวลาที่จะมาเอ่ยชมอีกฝ่ายนะ เอาจริงเขาก็ไม่ใช่ไม่โดนชานยอลทำอะไรเพราะจำได้ว่าถูกโอบกอดจากด้านหลัง แต่คิดอีกแง่คือเขาเป็นเพศชายด้วยกันขนาดลอร์ดมารเซฮุนเขายังกอดไหล่อีกฝ่ายแบบยิ่งกว่าลามปามเสียอีก ดังนั้นเมื่อวานก็ไม่มีอะไรจริงๆ นี่นา แบคฮยอนจึงตอบซาร่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทันที

    “ไม่มีขอรับ ไม่มีอะไรจริงๆ” จากนั้นแบคฮยอนก็เล่าเรื่องราวเมื่อวานให้ทุกคนฟังอย่างละเอียดและก็จงใจข้ามตรงที่ชานยอลเข้ามากอด อี้ชิงกับสามสาวจึงมีท่าทีเบาลง ฟู่ว หวังว่าเขาจะไม่โดนอะไรแล้วนะ

    “แต่ท่านแม่บอกว่าเจ้า... เจ้าเจ็บบั้นท้ายด้วย!” จองฮวาน้องเล็กเหมือนจะยังคาใจตรงนี้ เธอเกือบลืมปั้นเสียงไปเสียสนิทจนอี้ชิงทำหน้างงเมื่อเธอพูดด้วยเสียงเกรี้ยวกราด

    “ท่านจองฮวาเข้าใจผิดแล้ว เมื่อเช้าข้าล้มก้นจ้ำเบ้าเลยเจ็บบั้นท้าย หาใช่สิ่งที่ท่านคิดไม่ ถ้าไม่เชื่อเรียกมารรับใช้มาถามได้” แบคฮยอนใจตุ้มๆ ต่อมๆ เมื่อพลังสว่างถูกรวบรวมไว้ในมือซาร่าอีกครั้ง ยัยคนนี้จะฆ่าเขาให้ได้เลยใช่ม้าย ไพ่ใบสุดท้ายเลยต้องควักออกมา อี้ชิงก็ใจดีเหลือเกิน เรียกมารรับใช้สาวออกมาทันที

    “เมื่อเช้าท่านสนมแบคฮยอนล้มก้นจ้ำเบ้าจริงๆ เจ้าค่ะ ข้ากับน้องเข้ามาช่วยพยุงให้ลุกขึ้นก่อนท่านสนมเอกอี้ชิงจะมาเพียงไม่กี่นาที” คำตอบจากมารรับใช้ช่วยชีวิตแบคฮยอนไว้ได้อย่างเฉียดฉิว แต่จะดีมากถ้าไม่เรียกเขาว่าสนมน่ะนะ นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว สวรรค์นรกมีรถไฟความเร็วสูงไว้ใช้แต่พญามารยังมีสนมมากอย่างกับฮ่องเต้โบราณได้อย่างไรห๊า

    หลังจากนั้นซาร่าก็ลดมือลงไม่รวบรวมพลังต่อ แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยพอใจที่แบคฮยอนถูกชานยอล ‘หิ้ว’ มาถึงห้อง สองสาวที่เหลือก็ยิ้มหวานปานยาพิษให้เขาหนึ่งนาทีเต็มๆ จากนั้นก็ทุกคนก็แยกย้ายเหลือเพียงอี้ชิงกับแบคฮยอนในห้อง

    “ที่แท้ชานยอลให้ข้าช่วยดูแลเจ้าเพราะเมื่อคืนไปตากลมในสวนมานี่เอง เจ้ารู้มั้ยว่านรกน่ะอากาศกลางวันก็ค่อนข้างร้อนกลางคืนก็เย็นเยียบ หากไม่ดูแลตัวเองจะไม่สบายเอารู้ไหม” เทวดาอายุสองพันปีอบรมเขาเหมือนเป็นเด็กเล็กๆ แบคฮยอนเข้าใจดีว่าเขาน่ะลืมศึกษาข้อมูลก่อนเดินทาง ก็จะให้ทำอย่างไรเล่าเขาเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้วันเดียวแถมหลงทางอีก มันจะไปเอาเสื้อกันลมกันหนาวมาจากไหนกัน

    “เจ้าควรเรียนรู้เรื่องการใช้ชีวิตในนรกอย่างเป็นสุข ข้าเข้าใจว่าหนึ่งร้อยปีนี้เจ้าอาจจะคิดว่าเล็กน้อยเดี๋ยวเดียวก็หมดวาระ แต่หากประมาทก็อาจเป็นหนทางสู่ความตายได้” อี้ชิงเทศนาเขาเสียจนเหมือนรู้สึกกำลังฟังบาทหลวงในโบสถ์ แบคฮยอนเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมสาวๆ ถึงได้เรียกเทวดาตรงหน้านี้ว่าท่านแม่ เพราะอี้ชิงเหมือนแม่จริงๆ จ้ำจี้จ้ำไชเขาเหมือนแม่นมที่เลี้ยงมาไม่มีผิด

    “งั้นตกลงตามนี้ พรุ่งนี้เจ้าก็ไปเข้าเรียนตามที่ข้าจัดไว้ให้ก็แล้วกัน”

    สุดท้ายหลังจากสัปหงกไม่รู้กี่รอบ อี้ชิงก็เทศนาเขาเสร็จแล้วมอบกระดาษลักษณะเหมือนตารางเรียนขั้นพื้นฐานของเทวดาฝึกหัดมาให้เขา เหมือนว่าแบคฮยอนจะต้องฝึกหนักเพราะไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้ถูกเลือกแต่แรก โดยการเรียนรู้การใช้ชีวิต มารยาทในวังแห่งนรก(ต้องเรียนด้วยหรือเนี่ย) และการปรับตัวให้อยู่ในนรกให้รอดเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีจะมีอี้ชิงสอน

    จากนั้นก็มีตารางแทรกด้วยการฝึกใช้พลังและการต่อสู้ซึ่งสอนโดยซาร่า นาอึนและจองฮวา โดยทั้งสามจะสลับสับเปลี่ยนกันมาฝึกเขาเพื่อเอาตัวรอดและสามารถทำหน้าที่ลัคกี้วันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งถึงตรงนี้แบคฮยอนก็คิดหนักเลยว่าตกลงอี้ชิงจะให้เขามีชีวิตรอดหรือจะให้เขาโดนเจี๋ยนจากแม่สามสาวนางมารในคราบเทวดานั่นแบบเนียนๆ กันแน่

    อ๊ากกกกกก แบคฮยอนจะรอดม้ายยยย



    ****lucky one and monster****




    “อีก เร็วอีก”
    “แฮ่กๆๆๆๆ ขะ ข้าไม่ไหวแล้ว”
    “เจ้านี่มันแรงน้อยเสียจริง เร็วอีกไง”
    “มะ...ไม่ไหวแล้ว อ๊ากกกกกก”

    เสียงร้องโหยหวนแทบจะทำให้มารรับใช้ในตำหนักชินหูและชินตาได้แล้วในเมื่อสามวันที่ผ่านมาไม่มีวันไหนไม่ได้ยิน

    มันจะเสียงใครเสียอีกถ้าไม่ใช่แบคฮยอนที่กำลังนอนหอบเป็นหมาเทวดาตากแดดอบแห้งอยู่ตรงนี้

    ร่างเล็กนอนแผ่หลาอย่างไม่สนใจเสียงมาร เอ๊ยเสียงเทวดาซาร่าเลยสักนิด เขาฝึกหนักมาตั้งแต่เช้าแล้วแถมตอนนี้ก็หิวมากถึงมากที่สุด แต่ซาร่าก็ไม่ปล่อยให้เขาไปกินข้าวเสียที แถมยังให้วิดพื้นสร้างความแข็งแกร่งและกำลังแขนกว่าหลายร้อยครั้งติดกันด้วย แบคฮยอนไม่เคยฝึกหนักอย่างนี้มาก่อน อยู่บนสวรรค์เขาก็เป็นแค่มัคคุเทศก์แรงน้อยไม่ค่อยต่อสู้ ทำไมเขาต้องมาทำอะไรหนักหนาสาหัสในนรกนี้ด้วย

    มันให้ความรู้สึกเหมือนที่มนุษย์เปรียบเทียบว่าอยู่บนสวรรค์สบายเยี่ยงเทวดา อยู่ในนรกก็ทรมานตนเยี่ยงมารจริงๆ แต่ตอนนี้เขาเป็นเทวดานะ เขาต้องอยู่บนสวรรค์สบายๆ สิแล้วเขามาทำอะไรอยู่นี่

    ต้องโทษเจ้าพญามารบ้านั่นที่ทำเครื่องหมายสั่วๆ ใส่เขาแล้วเลือกเขามาเป็นลัคกี้วันเพื่อทรมานทรกรรมนี่
    “ย๊ากกกกก ไอ้บ้าชานยอลลลลล เพราะแกคนเดียวเลย ฉันเกลียดแกกกกกก” เคียดแค้นหนักเข้าแบคฮยอนก็ตะโกนออกมาเสียงดังแบบไม่รู้ตัว คิดได้อีกทีก็ตะปบปากตัวเองแทบไม่ทัน ไม่ใช่ว่ามีคนไปฟ้องชานยอลแล้วอีกฝ่ายก็มาลงโทษเขาหรอกนะ โอ๊ย ไปตะโกนว่าเกลียดนายเหนือหัวของนรก ทำไมสิ้นคิดแบบนี้เนี่ย

    “เมื่อกี้เจ้าว่าไงนะ” นั่นไง ไม่ต้องรอชานยอลมา ซาร่าก็มาเจี๋ยนเขาก่อนละ

    “มะหมายถึงท่านชานยอลนี่ให้เกียรติข้าจังเล้ยยย ให้มาฝึกกับสาวสวยอย่างท่านช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก” แบคฮยอนแถสีข้างถลอก เขาเหนื่อยจนไม่มีแรงสู้ใครทั้งสิ้นแล้ว ถ้ากล้าหาเรื่องในสภาพนี้ ท่านตาเห็นเข้าต้องมาตีก้นเขาเสียจนเข็ดแน่ๆ สู้แถแบบข้างๆ คูๆ เอาตัวรอดดีกว่า

    “แล้วไป ข้านึกว่าเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเสียอีก อย่าเพิ่งตายเร็วล่ะ หึหึ” เทวดาสาวไม่สนใจเขาแล้วเดินไปห้องอาหารนู่นแล้ว แบคฮยอนเป่าลมออกปากหนึ่งที ฟู่ว ดีที่เมื่อกี้รอดไปได้ เขาเห็นนะว่าซาร่ารวมพลังไว้ในมือแล้ว แน่นอนเขาไม่อยากทดสอบว่าพลังนั่นมันคืออะไรสักนิด

    สามวันที่ฝึกหนักก็เจอแต่ซาร่านี่แหละที่แรงเยอะแรงควายและพลังจัดหนักของจริง ไม่รู้เลยว่าสวรรค์ฝึกยังไงให้เทวดาสาวร่างอ้อนแอ้นอรชรกลายเป็นแบบนี้ได้ นี่ทำให้ประเมินได้เลยว่าอีกสองสาวก็คงไม่แพ้กัน แถมทั้งสามยังตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่วันแรกเสียด้วย หรือแบคฮยอนจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่อย่างนั้นเรอะ อ่า ไม่หรอกน่า

    ก่อนจะตายยังไงก็ขออิ่มท้องก่อน ดังนั้นเมื่อเห็นซาร่าเดินไปห้องอาหารก็คล้ายเป็นการอนุญาตกลายๆ ให้กินข้าวได้ แบคฮยอนจึงลากร่างอันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อไปห้องอาหารก่อนจะแห้งตายคานรกนี่ พอถึงโต๊ะก็มีเพียงซาร่าเท่านั้นที่ร่วมโต๊ะอาหาร และนั่นก็ทำให้แบคฮยอนต้องเปิดปากถามถึงคนอื่น

    “อี้ชิง นาอึนและจองฮวาไปไหนเสียล่ะ” กำลังจะจบประโยคก็เจอซาร่าปรายตามองแบบน่าขนลุก “...ขอรับ” จึงต้องเพิ่มคำลงท้ายให้สักหน่อยเพื่อชีวิตน้อยๆ ของแบคฮยอนนี้

    “ทั้งสามไปปฏิบัติภารกิจ” คำตอบสั้นๆ ได้ใจความและมีสิ่งตบท้ายคือสายตาบ่งบอกว่าห้ามถามอีก แบคฮยอนจะทำอะไรได้ ถึงแม้จะสงสัยว่าภารกิจอะไรก็ได้แต่รูดซิปปากตัวเองไม่ให้โดนเตะปากตอนกินข้าวเท่านั้น

    ฮือๆ แม้แต่ตอนกินข้าวก็ไม่มีความสุข แบคฮยอนอยากกลับบ้าน แง ท่านตามารับแบคฮยอนกลับบ้านที

    “อะไรนะ” จู่ๆ ซาร่าก็มีพฤติกรรมแปลกๆ เธอเอามือจับศีรษะตนเองแล้วพูดคุยกับใครสักตนในหัว แบคฮยอนประหลาดใจจนเกือบสำลักข้าวในตอนแรกแต่ก็พอเดาได้ ท่านตาก็เคยมีพฤติกรรมแบบนี้ เหมือนว่าพวกเขากำลังใช้เวทสื่อสารติดต่อผู้อื่นอยู่

    แล้วความประหลาดใจก็วนมาอีกครั้งเมื่อซาร่าทำหน้าตื่นตระหนกจากนั้นก็สั่งเขาไว้ว่าเธอมีภารกิจด่วนห้ามหนีไปไหนก่อนจะวิ่งจากไปพร้อมมารรับใช้อีกสองสามตน ทิ้งให้แบคฮยอนนั่งเคี้ยวข้าวจนหมดกลืนลงคอดังเอื๊อกแล้วบอกมารรับใช้เก็บโต๊ะแล้วปล่อยเขาอยู่คนเดียวเงียบๆ

    ห้ามไม่ให้แบคฮยอนอยู่นิ่งๆ ไม่ได้หรอก โอกาสหนีมาถึงล้าวววววว

    แบคฮยอนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทะมัดทแมงแล้วทำเป็นไปเดินเล่นในสวนอย่างเนียนๆ จากนั้นเดินไปยังจุดลับตาเพื่อหลบมารรับใช้จากนั้นก็ออกจากสวนไปสู่ถนนใหญ่ เขาแอบเอาพลังสว่างมาเติมแต่งหน้านิดหน่อยก็ทำให้ใครจำไม่ได้แล้วจากนั้นก็มุ่งหน้าไปสู่ด้านนอกวังทันที

    สามวันที่ผ่านมากับการฝึกหนักและเรียนมารยาทกับอี้ชิงนั้นแบคฮยอนก็แอบศึกษาแผนที่ของวังลูซิเฟอร์แถมท่องจำได้อย่างขึ้นใจแล้ว นอกจากนี้เขายังอาศัยเวลาพักมาแอบเดินเข้ามุมลับตาทดสอบการหลบหนีจากมารรับใช้อีกด้วย แต่เพราะอี้ชิงและสามสาวอยู่กับเขาแทบตลอด แบคฮยอนจึงไม่มีโอกาสหนีเสียที ตอนนี้เทวดาทั้งสี่ตนเหมือนจะมีภารกิจด่วน ดังนั้นแบคฮยอนก็จะหนีละน้า

    โชคดีเหมือนพระเจ้าเข้าข้างเมื่อแบคฮยอนมาถึงสถานีรถไฟสวรรค์-นรกด้วยสวัสดิภาพ ระหว่างทางแทบจะเรียกว่าราบรื่นเลยทีเดียวแม้กระทั่งตอนที่เขาเอาบัตรเอทีเอ็มไปกดเงินในบัญชีระหว่างสวรรค์นรกมาใช้เพื่อซื้อตั๋วที่นั่ง หลังจากได้ตั๋วรถไฟราคาแพงหูฉีกแล้วเขาก็นั่งพักที่ชานชาลาเสียหน่อย จำนวนเงินที่เสียไปเขาจะเบิกจากท่านตาให้ได้เลยเชียว

    อารมณ์เหมือนเด็กน้อยหนีออกจากบ้านสำเร็จและกำลังจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ อย่างสบายใจทำให้แบคฮยอนวางใจนั่งพักข้างชานชาลาอย่างไม่คิดจะปิดบังใบหน้าต่อ อย่างที่บอกว่าเขาใช้เวทตกแต่งใบหน้าให้คนอื่นจำไม่ได้แต่เพื่อความมั่นใจจึงใส่หมวกคลุมอีกชั้นหนึ่ง แต่ตอนนี้เดินมาทั้งเหนื่อยทั้งร้อน แถมรถม้านรกที่เขาแอบเช่ามายังเหม็นอับจนจมูกแทบพัง ดังนั้นตอนนี้เขาก็จะเปิดหมวกคลุมออกสักหน่อย คงไม่มีใครจำเขาได้หรอกน่า

    แบคฮยอนเหมือนจะคิดผิดทีเดียวเมื่อเปิดหมวกก็พบกับคนรู้จักเข้า

    ลอร์ดมารเซฮุน!

    เหมือนว่าแบคฮยอนจะเอาแต่คิดว่าในนรกนี่ไม่มีใครรู้จักเขาอีกนอกจากมารรับใช้ในวัง สี่เทวดาและลอร์ดมารไม่กี่ตนที่นั่น ดังนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีใครคาดคิดว่าเทวดาอายุยังน้อยอย่างเขาจะใช้เวทแปลงร่างหรือกระทั่งมีบัญชีระหว่างภพเพื่อหลบหนีได้ แต่นั่นก็ต้องยกเว้นลอร์ดมารตนหนึ่งที่รู้จักเขาดี เซฮุนนั่นเอง

    พอเห็นลอร์ดมารยืนอยู่กับลูกน้องแถวๆ ชานชาลา แบคฮยอนก็แทบจะปิดหมวกคลุมลงมาไม่ทัน คิดในใจว่าเมื่อกี้เซฮุนจะเห็นเขารึเปล่าเพราะถึงจะใช้เวทปกปิดใบหน้าแล้วแต่ถ้าถามว่ามันปิดบังเซฮุนได้หรือเปล่าก็จะตอบเลยว่าไม่ น่ากลัวว่าระดับเซฮุนนั้นสามารถมองปราดเดียวก็รู้เลยว่าเป็นเขา!

    โชคดีที่รถไฟขบวนของเซฮุนเหมือนจะมาก่อน แต่พอแบคฮยอนวางใจว่ามารขวางคอเขานั่นกำลังจะขึ้นรถไป ก็เห็นเซฮุนยกมือมาจับขมับตนเองไว้ ท่าทางเหมือนกำลังรับเวทสื่อสารจากคนอื่น ไม่ใช่ว่ามีมารตัวไหนมาฟ้องท่านลอร์ดว่าเขาหนีออกมาหรอกนะ แบคฮยอนกำมือแน่นเลยทีนี้ หากถูกเซฮุนจับได้ก็เหมือนจบสิ้น แผนหลบหนีก็พังทลาย ดังนั้นเขาจะให้ถูกจับไม่ได้เด็ดขาด

    พอคิดได้ก็เห็นเซฮุนเอามือออกจากข้างขมับพอดี ที่นั่งก็พลันร้อนจนนั่งอยู่ไม่ได้ต้องเด้งตัวขึ้น แบคฮยอนลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพลางหลบเข้าฝูงชนทันทีและก็ตามคาดเมื่อเซฮุนตามเขามาติดๆ

    “หยุดนะ แบคฮยอน หยุด!” นั่นไง อีกฝ่ายเรียกเขาด้วยน้ำเสียงดังไม่แพ้เสียงประกาศของสถานีรถไฟเลยล่ะ แต่เรื่องอะไรแบคฮยอนจะหยุด อุตส่าห์หนีมาถึงขั้นนี้แล้ว

    หลังจากเบียดเสียดเหล่ามารและเทวดาที่กำลังขึ้นขบวนรถไฟออกห่างจากเซฮุนพอสมควรแล้วแบคฮยอนก็หาทางหนีทีไล่ไปด้วย บริเวณสถานีรถไฟระหว่างภพนี่มันแคบชะมัด ทำไมทางนรกไม่ทำให้มันกว้างกว่านี้อีก หา! บ่นไปด้วยวิ่งไปด้วยแถมยังจับหมวกคลุมไปด้วย แต่ไม่รู้ว่าฝูงชนมันแน่นขนัดหรือเขาพลาดเอง เพราะวิ่งมาสักพักทั้งผ้าคลุมและหมวกคลุมก็เหมือนจะไม่เหลือเสียแล้ว

    ตอนนี้เทวดาหนุ่มวิ่งจนเหงื่อโทรมกายไม่ต่างจากตอนฝึกกับซาร่า เขาเป็นคนไม่ชอบความเหนียวเหนอะหนะเพราะนอกจากมันจะกลิ่นไม่หอมแล้วมันยังทำให้วิ่งช้าอีกด้วย อ๊ะ นั่น! เหมือนจะเห็นกลุ่มเซฮุนใกล้เข้ามาแล้ว เขาจะทำอย่างไรดี

    พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นขบวนรถไฟที่กำลังจะออกจากชานชาลาซึ่งข้างบนประตูมีไฟสัญญาณเตือนให้ผู้โดยสารรีบเข้าอยู่ตรงนั้นไม่ไกล แบคฮยอนจึงเร่งสปีดเติมพลังลงไปที่เท้าทั้งสองข้างแล้ววิ่งสุดแรงเกิด เขาเข้ามาในรถไฟได้ในวินาทีสุดท้ายพอดี แล้วก็มองเห็นว่าเซฮุนกับลูกน้องอยู่ข้างนอกพลางมองเขากับรถไฟขบวนนี้ออกจากชานชาลาไปด้วยสีหน้าโมโหสุดๆ

    อ๊ากกกกก นี่เซฮุนโกรธเขาหรือนี่ แล้วต่อไปนี้ใครจะเลี้ยงข้าวเขาล่ะ

    แบคฮยอนคิดแล้วก็ปวดใจที่ต้องวิ่งหนี แต่เขาไม่อยากเป็นลัคกี้วันแล้วจริงๆ หลังจากรู้ความจริงว่าเป็นตำแหน่งนี้แล้วต้องทำอะไรก็ไม่หนักหนาเท่าไหร่เมื่อคิดถึงเงินเดือนที่ได้ แต่พอตอนเย็นนั้นพญามารสามารถกอดเขาและอุ้มเขาได้ตามใจชอบ แบคฮยอนก็รู้สึกว่าตนคิดผิดถนัด

    วินาทีที่เขากังวลใจว่าอาจจะโดนพญามาร ‘ทำอะไร’ เข้าให้มันเหมือนชีวิตพังทลายเป็นแถบๆ ดีที่ยังมีสติและจำเรื่องราวได้บางส่วนจึงรู้ว่าตนเองยังรอด หากแต่สามวันที่ผ่านมาก็รู้สึกว่าอยู่ต่อต้องไม่รอดแน่ๆ เพราะสามสาวต่างก็บอกว่าพลังตนเองแข็งแกร่งได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ของพญามารเท่านั้น

    แบคฮยอนรู้เลยว่าตนเองไม่สามารถหนีพ้นเงื้อมมือพญามารไปได้ ขนาดสามสาวเทวดาเขายังสู้ไม่ได้แล้วนับประสาอะไรกับตัวพ่อกันเล่า ดังนั้นทางเดียวก็คือต้องหนีเท่านั้น หนีไปสวรรค์ก่อนแล้วค่อยหาทางยกเลิกสัญญาหรือหาลัคกี้วันตนใหม่ไปให้ฝั่งมารอีกที คราวนี้แบคฮยอนจะได้เป็นมัคคุเทศก์สวรรค์แบบธรรมดาๆ ได้

    ว่าแต่ตอนนี้รถไฟมันพาเขาไปสวรรค์รึเปล่าล่ะเนี่ย

    ทันเท่าความคิดเมื่อมีเสียงประกาศมาตามลำโพงและมีการโชว์จุดหมายปลายทางขึ้นมอนิเตอร์เหนือหัวเสร็จสรรพ

    “สวัสดีท่านผู้โดยสารทุกท่าน รถไฟขบวนนี้จะพาท่านไปสู่จุดหมายปลายทาง ‘โลก’ ในอีกสามสิบนาทีค่ะ” เสียงพนักงานสาวกล่าวแบบนุ่มนวลน่าฟังพร้อมทั้งจอเหนือหัวแบคฮยอนเป็นภาพของภพนรกขีดเส้นลูกศรไปภพโลกอย่างชัดแจ้ง

    นี่เขาขึ้นรถไฟผิดขบวนใช่ม้าย พาเขาไปสวรรค์ที ม่ายยยยยยยยยยย







    talk
    คราวหน้าไปเที่ยวโลกกันเพคะพระสนม

    #luckyonecb
    @noeybaekbd on twitter

    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 6 โลกน่าอยู่กว่าที่คิด

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:34 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 6
    โลกน่าอยู่กว่าที่คิด


    “เรียนท่านผู้โดยสารโปรดทราบ สถานีต่อไป ‘โลก’ โปรดระวังช่องว่างระหว่างรถไฟกับชานชาลาด้วยค่ะ” เสียงอ่อนหวานดังขึ้นจากลำโพงเหนือหัวทำให้แบคฮยอนต้องตื่นขึ้น นี่เขาเผลอหลับไปตอนไหนเนี่ย กำลังจะหนีจากพวกเซฮุนไม่ใช่เรอะ ทำไมถึงได้สะเพร่าขนาดนี้

    เทวดาน้อยตั้งสติแล้วก็พยายามหาทางรอดต่อ เขาไม่ใช่ไม่เคยมาที่โลกเสียหน่อย ก่อนหน้านี้ก็เคยมาเยี่ยมเพื่อนบนสถานีควบคุมสภาพอากาศตั้งหลายหน เจ้านั่นก็พามาเที่ยวชมตลาดของโลกและพาซื้อของกินตั้งหลายครั้ง อันที่จริงอากาศบนโลกน่ะน่าอยู่กว่านรกตั้งเยอะ แต่เพราะเทวดาถูกห้ามไม่ให้ใช้พลังวิเศษที่นี่ถ้าไม่ได้รับอนุญาต มันเลยทำให้ใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก

    แต่ถ้าจะให้แบคฮยอนนั่งจุมปุ๊กบนรถไฟต่อไป ก็เกรงว่ามันจะพาเขากลับไปนรกอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือออกจากรถไฟ หาที่ซ่อนตัว จากนั้นก็พยายามกดเงินมาซื้อตั๋วไปสวรรค์อีกรอบ แล้วเขาจะกลับไปเป็นมัคคุเทศก์สวรรค์เหมือนเดิม เย้!

    คิดแผนได้แล้วก็ใช้เวทปกปิดหน้าตาอีกครั้ง จากนั้นก็ลงรถไฟพร้อมเทวดาและมารตนอื่นๆ แบบแนบเนียนที่สุด สถานีรถไฟโลกช่างสะดวกสบายจริงๆ มีร้านขายชุดคลุมพรางตัวพร้อมหมวกราคาไม่แพงด้วย แบคฮยอนจึงแอบซื้อมาหนึ่งชุด เมื่อกี้ไม่น่าทำหลุดหายเลยนึกแล้วเสียดายชะมัด

    ลงจากรถไฟเรียบร้อย ซื้อชุดคลุมเรียกร้อย เหลือแค่หาตู้กดเงินที่พอจะกดได้หนึ่งตู้ เสียเวลาไม่นานก็เจอแล้วแบคฮยอนก็จำใจบอกลาเงินเก็บก้อนสุดท้าย เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านตาถึงไม่ค่อยยอมให้เขาไปเที่ยวภพอื่นเพราะราคาตั๋วรถไฟมันแพงจนกระเป๋าแฟ่บอย่างนี้นี่เอง ส่วนใหญ่เขามักจะขอเบิกจากวังหรือจากสำนักงานมัคคุเทศก์ก็เลยไม่เคยได้ซื้อ พอมาควักเงินตัวเองก็แทบน้ำตาไหลพรากเลยล่ะ

    แบคฮยอนซื้อตั๋วรถไฟไปก็น้ำตาไหลไปจนพนักงานยกน้ำดื่มให้เขาฟรีๆ หนึ่งขวดแลกกับการไม่คร่ำครวญหน้าเคาน์เตอร์ถึงราคาตั๋วอีก แผนกลับสวรรค์เหมือนจะไปได้ด้วยดีเมื่อเขามองนาฬิกาแล้วพบว่าอีกสิบนาทีจะสามารถขึ้นรถไปสวรรค์ได้แล้ว พอไปถึงที่นั่นเขาจะดิ่งไปหาท่านตาแล้วงอแงให้หนักเลยคอยดู ท่านตานะท่านตา อาศัยตอนเขากำลังมึนแล้วจับยัดใส่รถไฟมานรกซะงั้น ให้ตายยังไงก็ไม่ลืมหรอกนะ

    แต่การกลับสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่ายในเมื่อแบคฮยอนเป็นลัคกี้วันของชานยอลไปแล้ว เมื่อรถไฟขบวนหนึ่งจอดลงชานชาลาฝั่งตรงข้ามไม่นานก็ปรากฏร่างของบุคคลที่เขาไม่อยากเจออยู่หลายตน ทั้งลอร์ดมารเซฮุน เทวดาสาวซาร่า แถมยังมีพญามารเจ้าปัญหานั่นอีก แห่กันมาขนาดนี้พอแบคฮยอนเห็นเข้าก็ถึงกับตกใจขวัญหายไปอยู่ตาตุ่มเลยทีเดียว

    เทวดาตัวขาวหน้าซีดลงอย่างกับไก่ต้มเมื่อเห็นมารและเทวดากลุ่มนั้นแบ่งกำลังกันค้นหาตัวเขา แม้มุมตรงนี้เขาคิดว่ามันน่าจะพรางตัวดีแล้ว แต่อย่างไรเสียเซฮุนก็เป็นมารระดับสูงแถมยังสนิทกันตั้งแต่ยังเล็กอีกด้วย การจะห้ามตัวเองไม่ให้เผยพิรุธนี่ยากเย็นจริงๆ แบคฮยอนจึงต้องหาทางหนีทีไล่อย่างอื่นด้วย เผื่อเขานั่งตรงนี้แล้วถูกจับได้ เขาต้องพลาดรถไฟไปสวรรค์อีกรอบแน่ๆ

    มองทางขวามีประตูพาไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังผิวโลกอยู่ หากเขารีบวิ่งไปก็จะสามารถหลุดรอดจากสายตาของพวกที่มาตามหาได้ แต่หากหนีไปทางนั้นก็จะทำให้พลาดรถไฟไปอีก แถมไม่พอจะต้องไปตะลุยกันบนโลกซึ่งเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้พลังอีกด้วย เขาจะเก็บเอาไว้เป็นตัวเลือกหลังสุดก็แล้วกัน

    มองทางซ้ายมีเพียงที่นั่งเรียงกันยาวเหยียดและมีทั้งมารและเทวดานั่งเรียงกันเป็นตับ แต่หากหนีไปจนสุดทางก็จะเจอกับร้านค้าต่างๆ ซึ่งทำได้แค่ถ่วงเวลาเท่านั้น มันต้องยากขนาดนี้ด้วยหรือสำหรับตัวเลือกน่ะ ทางขวาก็พลาดรถไฟแน่ๆ ส่วนทางซ้ายก็อาจจะทันรถไฟหรืออาจจะโดนจับเข้าก็ได้ ทำไมพวกนั้นต้องมาตอนเขาจะขึ้นรถไฟอีกรอบ จะปล่อยให้เขาขึ้นรถไฟไปสวรรค์ก่อนไม่ได้หรืออย่างไรเนี่ย

    เสียงตะโกนโหวกเหวกย้ายฝั่งจากฟากตรงข้ามที่รถไฟจอดมาอยู่ฟากนี้แล้ว ทำเอาแบคฮยอนขนลุกซู่ มันจะมากันทำไมไวนักหนาล่ะหา อีกไม่ถึงสามนาทีรถไฟไปสวรรค์ของเขาก็จะมาถึงแล้ว มาช้าอีกนิดให้ได้ขึ้นรถก่อนซี่

    ทางซ้ายเริ่มมีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เล่นเอาแบคฮยอนนั่งแทบไม่ติด เขานั้นต้องลุ้นให้อีกฝ่ายจะมาไม่ทันรถไฟจอด แล้วยังต้องนั่งนิ่งเพื่อตีเนียนอีกด้วย ตั้งแต่เป็นเทวดามายังไม่เคยใจสั่นขนาดนี้มาก่อน ตอนแรกก็ลุ้นให้รถไฟจอดแล้วต้องลุ้นให้ตัวเองวิ่งขึ้นรถไฟก่อนที่อีกฝ่ายจะเห็น แล้วตอนนี้ยังต้องลุ้นว่าจะโดนพบตัวก่อนรถไฟจะมาอีกหรือเปล่าด้วย ยิ่งลุ้นยิ่งนั่งไม่ติด แบคฮยอนฉี่จะราดแล้วเนี่ย

    อีกหนึ่งนาทีรถไฟจะมาจู่ๆ มารตนหนึ่งก็มาจับหมวกคลุมแบคฮยอนลงจากศีรษะ พอกำลังจะหันไปด่าเท่านั้นแหละ คำว่าพ่อจ๋าแทบจะวิ่งเข้าสมองเพราะมารตนนั้นเป็นคือชานยอลนั่นเอง แบคฮยอนจึงอาศัยตอนอีกฝ่ายกำลังพิจารณาใบหน้าของเขา วิ่งไปทางด้านขวาทันที

    “เดี๋ยวก่อนเจ้า!” ชานยอลร้องเรียกเขาจากด้านหลังแต่ไม่ได้วิ่งตามมาด้วย ทำให้แบคฮยอนชะงักไปหนึ่งจุด แต่พอหันไปมองเจอว่ามารลูกน้องชานยอลกำลังวิ่งมาหาเขาอีกหลายตน เทวดาหนุ่มก็เพิ่มเวทลงข้อเท้าแล้ววิ่งเร็วจี๋ไปที่ลิฟท์ เมื่อถึงก็รีบปิดลิฟท์ลงอย่างเร็วแล้วกดไปยังชั้นผิวโลกอย่างรัวๆ

    ตอนนี้ไม่ต้องกลัวว่าไม่ทันรถไฟแล้วเพราะยังไงก็ไม่ทันแน่ กำลังคิดว่าน่าจะไม่ถูกพบก็เจอกับตัวพ่ออย่างชานยอลเสียจนได้ ใครมันจะยอมให้จับได้อีก จึงทำได้แค่รีบขึ้นลิฟท์มาซะ แผนสำรองต้องถูกงัดมาใช้ด่วน ในเมื่อขึ้นรถไฟไปสวรรค์ไม่ได้เขาก็จะลองใช้ทางอื่นดู อาจจะต้องปลอมตัวและอยู่บนโลกมนุษย์สักพักแต่ก็ยังดีกว่ากลับนรกไปเจอมารที่จ้องกินก้นเขาและเทวดารุ่นพี่ที่พร้อมฆ่าเขานั่นแหละ

    จนลิฟท์ส่งเสียงติ๊ง! พร้อมกับเปิดออก แบคฮยอนก็พุ่งออกจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้จะไปที่ไหนไม่สำคัญเท่าไปให้เร็วไว้ก่อน หลังจากวิ่งด้วยสปีดเทพเสริมพลังข้อเท้ามาสักพักก็เริ่มเหนื่อย ตรงนี้น่าจะปลอดภัยแล้วเพราะเขาไม่เห็นมารทั้งฝูงวิ่งตามมาอีก เทวดาน้อยหาที่นั่งหลบมุมเจอก็ทรุดลงทันที ขอพักที่นี่ก่อนเถอะนะ

    ตอนนี้เขาคงต้องหางานทำสักระยะจนมีเงินก้อนหนึ่งแล้วค่อยกลับไปซื้อตั๋วรถไฟอีกครั้ง หวังว่าจะไม่มีมารตนไหนตามเขาทันอีกหรอกนะรอบนี้ เห็นเขาว่ามารมีงานเกี่ยวกับวิญญาณต้องทำเยอะแยะ พญามารนั่นคงไม่ว่างมาตามเขาตลอดหรอก เอาไว้เรื่องค่อยๆ ซาลงอาจจะใช้เวลาหลายวันหรือหลายเดือนก็ค่อยว่ากัน ถึงยังไงก็คงไม่ยาวเป็นร้อยปีหรือนานกว่านั้น แล้วเขาค่อยหาทางอีกที

    แบคฮยอนคิดได้ดังนี้ก็เริ่มออกเดิน หางานน่ะไม่ยากหรอกเพราะเขาไม่เกี่ยงงานอยู่แล้ว งั้นตอนนี้ลุยเลย โลกมนุษย์แหล่งหลบภัยรอเราอยู่!



    ****lucky one and monster****



    ชานยอลอดหัวเราะไม่ได้หลังจากเห็นท่าทางเหมือนแมวตื่นของแบคฮยอนเมื่อครู่ เขาใช้เวทเคลื่อนที่ในพริบตามาอยู่ด้านหลังแบคฮยอนสักพักแล้วแต่จงใจจับไหล่อีกฝ่ายในตอนที่แบคฮยอนดูสั่นและเร่งรีบมากสุดเพื่อแกล้ง นึกไม่ถึงว่าพอเทวดาตัวเล็กเห็นเขาก็หน้าซีดเป็นไก่ต้มแล้วรีบวิ่งหนีไปอีกทางทันที เขาเรียกก็หันมานิดนึงแล้ววิ่งป่าราบต่อไปด้วยท่าทางตลกเหมือนหมาพันธุ์คอร์กี้ขาสั้นแต่พยายามวิ่งแบบเสือดาวขนาดใหญ่เสียอย่างนั้น

    ดังนั้นพอแบคฮยอนขึ้นลิฟท์ไปแล้วเขาจึงกวักมือเรียกลูกน้องให้กลับมา อันที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องมาตามแบบนี้ด้วยซ้ำในเมื่อการจะหาลัคกี้วันของตนเองก็แค่เรียกเวทออกมาตามหาสัญลักษณ์บนคอเหมือนเมื่อวันก่อนเท่านั้นเอง แต่เพราะเห็นว่าแบคฮยอนอาจจะหลงทางก็เลยต้องมาตามหาแบบนี้หรอกนะ เอ่อ ถ้าหมายถึงว่าเป็นห่วงก็ยอมรับอยู่หน่อยนึงละกัน

    “ชานยอล!/ท่านชานยอล!” เสียงเรียกพร้อมกันนั่นไม่ใช่ใคร เซฮุนและซาร่าที่มาช่วยตามแบคฮยอนกลับไปนั่นเอง ลอร์ดมารของเขานั้นสีหน้าไม่ค่อยดีเลยคงเพราะเป็นห่วงเด็กของตัวเองสินะ แต่สีหน้าซาร่าก็ไม่ค่อยสู้ดีนักเหมือนกัน อาจจะเป็นห่วงเพื่อนเทวดาด้วยกันก็เป็นได้

    “แบคฮยอนล่ะ” เซฮุนถามขึ้นก่อน ก็ไม่ต่างจากที่ชานยอลคาดไว้มากนัก

    “หนีไปแล้ว ตอนนี้น่าจะอยู่บนโลกมนุษย์ เจ้าจะตามไปไหมล่ะ” ชานยอลตอบตามจริงและลองหยั่งเชิงเพื่อนดู เขาคาดว่าเซฮุนอาจจะอยากไปตามเด็กน้อยนั่นกลับมาเองก็เป็นได้

    “ไม่ล่ะ พวกวิญญาณที่หลุดไปคราวนี้ค่อนข้างร้ายกาจ ข้าต้องไปจัดการด้วยตนเอง” อ่า เหมือนเซฮุนจะยังไม่หายโกรธเขาสินะ ตั้งแต่วันนั้นที่เขาพาแบคฮยอนกลับนรกไปก็ไม่ได้คุยกับเซฮุนเลยนอกจากเรื่องงาน แต่ก็จริงตามที่เซฮุนพูดเหมือนกัน งานจัดการวิญญาณหลบหนีเป็นงานของเซฮุนโดยตรง เขาต้องให้เซฮุนจัดการอยู่แล้ว

    “งั้นเจ้าก็ไปเถอะ” ชานยอลตัดสินใจไม่ยื้อเซฮุนไว้ต่อ ดังนั้นพอเขาอนุญาตลอร์ดมารมือขวาก็จากไปทันทีไม่มีบอกลาสักคำ ยังไม่หายโกรธจริงๆ ด้วย

    “ท่านชานยอล ข้าขออภัยจริงๆ ที่ทำให้เขาหลบหนีได้สำเร็จเจ้าค่ะ” พอเซฮุนจากไป ซาร่าก็หันหน้ามาหาแล้วโค้งให้อย่างสำนึกผิด เทวดาสาวก็มักจะเป็นอย่างนี้เสมอ จริงจังและมีความรับผิดชอบยิ่งกว่าผู้ใด

    “ไม่เป็นไรซาร่า ข้าเข้าใจเจ้า ถึงแม้เจ้าจะไม่ออกมาแต่เขาก็คงหาทางหนีออกมาอยู่ดี ดังนั้นข้าไม่เป็นไร เจ้าไปทำภารกิจต่อเถอะ” ชานยอลตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงไม่ถือโทษทำให้เทวดาสาวดีใจและยิ้มหวานให้เขา หากแต่ต้องไปปฏิบัติภารกิจที่ชานยอลให้ไว้จึงอยู่นานไม่ได้ ซาร่าโค้งคำนับพญามารอีกครั้งแล้วก็จากไปทันที

    “ท่านชานยอลขอรับ ไม่ทราบว่าจะให้พวกข้าไปตามท่านสนมหรือไม่ขอรับ” ทหารมารเอ่ยถามเมื่อผู้เป็นใหญ่ยังทำหน้านิ่งเฉยหลังลอร์ดมารและเทวดาสาวจากไป หากแต่ชานยอลทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงทำให้ทหารมารถามอีก “ท่านชานยอล...”

    “พวกเจ้าไปสร้างบ้านพักหลังหนึ่งไม่ไกลจากที่นี่ จากนั้นส่งมารมือดีจากหน่วยพิเศษมาให้ข้าหนึ่งตน แล้วข้าจะสั่งงานพวกเจ้าอีกที” ชานยอลสั่งงานจบก็รับการคำนับของทหารมารแล้วนั่งลงตรงชานชาลาเสียหน่อย

    พญามารนั่งตรงนั้นอีกชั่วครู่แล้วก็กวักมือเรียกทหารมารอีกตนให้ไปเตรียมของอีกอย่าง ช่วงนี้งานในวังมีลอร์ดมารมือซ้ายช่วยแล้ว ส่วนลอร์ดมารมือขวาก็มีเทวดาบางส่วนคอยสนับสนุน งานอื่นๆ ก็มีมารมือดีจัดการตามระบบ ดังนั้นถ้าเขาจะทำอะไรตามใจตนเองสักหน่อยคงไม่น่าเสียหายใดๆ

    “รอก่อนนะแบคฮยอน” พึมพำเบาๆ กับตนเองแล้วชานยอลก็คิดหาทางพาแบคฮยอนกลับในแบบฉบับของตนเองทันที



    ****lucky one and monster****


    แบคฮยอนหางานมากว่าสามวันแล้วก็พบว่างานหายากยิ่งกว่าของกินอร่อยในถังขยะเสียอีก สามวันมานี้เทวดาไร้เงินอย่างเขาต้องอาศัยอาหารแจกฟรีในวัดหรือกระทั่งหาของที่พวกมนุษย์ทิ้งแล้วมากิน ช่างทำให้รู้สึกลำบากยิ่งนัก แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามักจะโชคดีในโชคร้ายหรือเปล่า เพราะอาหารแจกฟรีในวัดนั้นอร่อยไม่เบา แถมเวลาคุ้ยถังขยะก็ยังเจออาหารร้อนๆ รสชาติอร่อยอีกต่างหาก

    แต่เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ค่อยดีนัก แม้จะหาของกินได้ไม่ยากแต่แบคฮยอนต้องการเงินมากกว่า เขาต้องการเงินจำนวนหนึ่งเพื่อไปซื้อตั๋วรถไฟไปสวรรค์อีกรอบ คิดแล้วก็เสียดาย ถ้าตอนนี้เขาใช้เวทสื่อสารเป็นก็ดีสิจะได้ไม่ต้องหาเงินแล้วใช้เวทเรียกท่านตามารับเสียเลย ท่านตาอาจจะโมโหหน่อย แต่ต้องไม่ยอมปล่อยให้เขามัวแต่กินของจากถังขยะเป็นแน่

    โคร่ก... ท้องร้องอีกแล้ว นี่มันถึงเวลาอาหารแล้วหรือ? เขาจำได้ว่าเพิ่งกินไปไม่นานนี้แต่ก็หิวอีกแล้ว กระเพาะเทวดานี่มันใหญ่ไปหรืออาหารของมนุษย์มันน้อยไปกันนะ เขาถึงได้กินเรื่อยๆ แบบนี้

    “ว่าไงน้องสาว หลงทางหรือจ๊ะ” กำลังคิดว่าจะคุ้ยขยะอีกรอบหรือไปหาวัดแถวนี้เพื่อขออาหาร แบคฮยอนก็ได้เจอกับอะไรที่ไม่ควรเจอพอดี

    ชายหนุ่มหน้าตาท่าทางดูเลวตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังย่างสามขุมเข้ามาอย่างน่ากลัว แบคฮยอนกัดฟันกรอดแล้วพยายามข่มใจ ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ เขาแค่ใช้พลังนิดหน่อยก็จัดการพวกนี้ได้แล้ว แต่นี่มันโลกมนุษย์ที่มีตาข่ายดักจับการใช้พลังสว่างหรือพลังมืดเต็มไปหมด หากเขาใช้พลังเพียงน้อยนิดก็จะถูกจับได้ ถ้าฝ่ายเทวดาจับเขาไปก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่หากเป็นฝ่ายมารก็คงหนีไม่พ้นต้องโดนจับไปถวายพญามารนั่นอีก

    “ว่าไง พี่พูดด้วยก็ไม่พูดตอบ น้องพูดไม่ได้เหรอจ๊ะ งั้นก็ดีเลย พี่กำลังเหงาพอดี” แบคฮยอนถอยหลังเข้าไปในตรอกหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ จากนั้นเจ้าบ้าหัวโจกก็เข้ามาจับแขนเขาตรึงไว้กับฝาผนัง โถ่เว้ย! แบคฮยอนสบถในใจ เขาเป็นเทวดาแรงน้อยอย่างนี้ถ้าไม่ใช้พลังช่วยจะหนีพ้นอีกฝ่ายได้อย่างไร หัวสมองพลันคิดแทคติกที่ซาร่าสอนไว้วันก่อน ส่วนมือก็ปัดป้องเจ้าพวกนั้นไม่ได้หยุด อุตส่าห์หนีมาจากพญามารแล้วกลายเป็นว่าเขาจะต้องโดนพวกมนุษย์ข่มเหงหรือนี่

    มันน่าจับเจ้าพวกนี้ไปลงโทษในนรกให้เข็ด!

    แบคฮยอนใช้เข่ากระแทกเข้ากับจุดกลางตัวหัวโจกแล้วก็ใช้ศอกฟาดเข้าหน้าอีกหน เจ้านั่นถึงได้ล้มไป กระบวนท่านี้ซาร่าสอนเขาไปเมื่อวันก่อนหลายรอบเลยพอจำได้ ทีนี้พออีกคนเข้ามาจับเขาเลยหลบลงล่างแล้วตุ๊ยท้องเข้าให้ คนที่สองก็ล้มโดยง่าย เจ้าชั่วคนสุดท้ายเลยพุ่งมาจะต่อยเขาแต่ก็โดนแบคฮยอนต่อยกลับไปก่อน โอ้โห ท่านอาจารย์ซาร่า ข้าน้อยขอบคุณท่านจริงๆ นึกไม่ถึงเลยว่าสอนไม่กี่วันจะล้มอันธพาลได้ขนาดนี้

    แต่แบคฮยอนอาจจะคิดน้อยไปเมื่อจู่ๆ หัวโจกก็ชักมีดออกมาก่อนจะผลักเขาเข้ากำแพงอีกครั้งแล้วจี้คอแบบไม่กลัวจะทำร้ายเทวดาให้เสียเลือดสักนิด

    “ร้ายนักนะเอ็ง จะยอมเป็นของข้าดีๆ หรือจะเป็นด้วยน้ำตา” ดูเหมือนแบคฮยอนจะเจอตอของจริงเข้าแล้ว หลักการเอาตัวรอดที่ซูโฮเคยสอนจึงต้องงัดมาใช้ สองมือน้อยยกมาไว้กลางอกแล้วน้ำตาก็ไหลพรากแบบไม่ต้องพยายามมากเพราะเขาก็แอบกลัวจริงๆ มีดคมมากเลยแม่จ๋า

    “พี่จ๋า ฉันขอโทษ ยกโทษให้ฉันนะ วางมีดลงก่อนนะพี่นะ” น้ำเสียงอ่อนหวานราวกับเสียงสองยามอ้อนท่านตาถูกนำมาใช้ แน่นอนว่าด้วยหน้าตาน่าสงสารแบบลูกหมาน้อยของแบคฮยอนนั้นทำให้มนุษย์ใจอ่อนได้ง่ายอยู่แล้ว

    มือเจ้าชั่วนั่นเลยเอามีดที่จ่อคอแบคฮยอนออกไปช้าๆ จนแบคฮยอนค่อยเบาใจ

    “เดี๋ยวพี่ค่อยๆ เดินไปนะ น้องจะเดินตาม” อ่า... เหมือนจะรอดแล้ว จากนั้นเขาก็ตะล่อมให้หัวโจกนั่นเดินนำไปก่อนเขาจะได้ทำเป็นเดินตามแล้ววิ่งหนีซะ

    แต่แบคฮยอนคิดผิด เพราะหลังจากนักเลงนั่นเอามีดลงไปมันก็ปล่อยหมัดเข้าท้องเขาอย่างแรงทันที

    “อั่ก” เทวดาน้อยทำได้แค่ร้องเสียงหลงพลางล้มลงคุกเข่า เหมือนเจ้าชั่วนั่นยังไม่สาแก่ใจจึงตรงเข้ามาต่อยเขาต่ออีกสองสามหมัด เพราะโดนทำร้ายตอนไม่ได้ป้องกันตัวตอนนี้เลยจุกจนแทบจะพูดไม่ออกเลยทีเดียว

    “อย่ามาทำมารยากับกูอีก” หัวโจกก้มลงพูดกับแบคฮยอนแล้วหันไปสั่งลูกน้อง “ลากมันไปตรงมุมนั่น” แล้วเทวดาอ่อนแรงก็โดนลากไปติดกำแพงอีกครั้ง เขาแทบไม่เหลือแรงแล้ว หิวก็หิวยังโดนชกจนจุกอีก น้ำย่อยไหลมาจุกคอจนขมไปหมดแล้วเหมือนจะได้กลิ่นคาวเลือดด้วย

    หมดกัน ที่อุตส่าห์หลบหนีออกมาจากเงื้อมมือเสือ ก็ต้องมาอยู่ในเงื้อมมือจระเข้อีก ในใจแบคฮยอนวุ่นวายสับสนและมึนงงไปหมด เขาต้องหาทางหนีรอดไปให้ได้ หาทางรอดให้ได้...

    แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

    “หยุดนะ!”

    เสียงนั้นแบคฮยอนไม่คุ้นเคยสักนิด มองรางๆ ก็เห็นว่าคนที่มาคือหญิงสาวคนหนึ่ง หน้าตาเห็นไม่ชัดเพราะสติเริ่มหดหาย แล้วแบคฮยอนก็พ่ายแพ้ต่อความอ่อนแอของตัวเองด้วยการหมดสติไป



    ****lucky one and monster****


    แบคฮยอนตื่นขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นขนมปังหอมกรุ่นและท้องร้องดังจ๊อกๆ ร่างบางพยายามลุกขึ้นมาจากเตียงหากแต่อาการปวดแปลบจากหน้าท้องร้าวไปส่วนหลังกลับทำให้ต้องร้อง “โอ๊ย” จากนั้นใบหน้าก็เหยเกพลางซบลงกับหัวเตียงอย่างอ่อนแรง

    “อ๊ะ นายตื่นแล้วเหรอ อย่าเพิ่งขยับตัวซี่ เดี๋ยวก็เจ็บแผลหรอก” สาวน้อยนางหนึ่งเข้ามาในครรลองสายตา แบคฮยอนจึงจ้องเธอตาเขม็ง พยายามสำรวจว่ามีกลิ่นอายเทพหรือมารก็ไม่พบสิ่งใด แสดงว่าหญิงสาวคนนี้เป็นมนุษย์จริงๆ ก็พาให้ใจผ่อนคลายหน่อย อย่างน้อยเขาก็ยังปลอดภัยจากพญามารนั่น

    “ข้า เอ่อ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” แบคฮยอนเปลี่ยนสรรพนามแทนตนเองแทบไม่ทัน เพราะสวรรค์และนรกแทนตนเองว่าข้า เจ้า ท่านอะไรเทือกนั้น แต่โลกมนุษย์ปีนี้ก็น่าจะคริสตศักราช 2050 แล้ว น่าจะเป็นฉัน เธอ นาย หรืออะไรเทือกนั้นมากกว่า อ้อ ยกเว้นคำหยาบพวกเขาก็ใช้ไปทั่วนั่นแหละนะ

    “นายโดนพวกนักเลงแถวนี้รุมทำร้ายน่ะซี ฉันกับพี่ชายผ่านไปพอดีเลยช่วยเอาไว้ จริงๆ เลยน้า นายตัวเล็กกว่าฉันอีก ทำไมกล้าไปเดินถนนที่มีแต่พวกอันตรายแบบนั้นน่ะ” หญิงสาวบ่นเป็นหมีกินผึ้งพลางทำปากบึ้งจนแบคฮยอนนึกเอ็นดู มนุษย์โลกก็แปลกจริง บอกว่าเขาไปเดินถนนอันตรายแต่ตัวเองก็เดินไปไม่ใช่หรือ ถึงได้เจอเขาไง แล้วเขาน่ะเป็นเทวดานะเขาไม่รู้หรอกว่าถนนตรงไหนอันตรายบ้าง

    “แล้วพี่ชายเธอล่ะ” แบคฮยอนไม่อยากถูกเทศน์จึงตัดบทคำบ่นของหญิงสาวแล้วถามหาอีกคนแทน เท่าที่ฟังคนเป็นพี่ชายน่าจะเป็นคนช่วยเขามากกว่า ยังไงก็น่าจะขอบคุณไว้

    “อ้อ พี่น่ะอบขนมปังอยู่น่ะ บ้านของเราเป็นร้านขนมปัง กลิ่นหอมใช่มั้ยล่ะ” ใบหน้าหวานยิ้มแป้นจนแบคฮยอนก็ยิ้มตาม แต่ดันมีเสียงโครก! ดังขึ้นมาด้วยซะงั้น ทำเอาหญิงสาวหัวเราะเบาๆ ทันที
    “อ๊ะ ขอโทษ” แบคฮยอนร้องออกมาเมื่อรู้ว่าเสียงท้องร้องขัดจังหวะการพูดคุยเสียอย่างนั้น แต่หญิงสาวกลับส่ายหัวแล้วพูดแบบแม่พูดกับลูกชาย “ไม่เป็นไรๆ เรามาแนะนำตัวก่อนไหม ฉันชื่อหยวนชานชาน พี่ชายฉันชื่อหยวนชานเลี่ย แล้วนายล่ะชื่ออะไร”

    “แบคฮยอน...พยอนแบคฮยอน” แบคฮยอนตอบอย่างเคอะเขิน ท้องร้องเมื่อกี้มันน่าอายใช่ย่อยที่ไหนล่ะ

    “โอเคแบคฮยอน ฉันว่านายคงหิวแล้ว งั้นเราไปกินข้าวกันดีกว่าเนอะ ฉันเตรียมอาหารไว้แล้วแหละ เดี๋ยวพี่ชายอบขนมปังชุดแรกเสร็จเขาก็จะตามมากินเอง” ว่าจบแล้วหยวนชานชานก็พยุงแบคฮยอนขึ้นจากเตียง แม้จะยังเจ็บตรงที่ถูกต่อยแต่แบคฮยอนก็ทนได้แล้ว สักพักจึงขอเดินเอง พอลุกขึ้นอย่างนี้เขาก็เพิ่งเห็นว่าตนเองนั้นตัวเล็กกว่าหญิงสาวจริงๆ ด้วย ทำไมน้อ เทวดาอายุร้อยกว่าปีต้องตัวเล็กขนาดนี้พระเจ้าไม่ยุติธรรมจริงๆ

    แบคฮยอนเดินตามหยวนชานชานไปไม่นานก็เจอกับโต๊ะอาหารที่มีอาหารน่ากินเต็มโต๊ะ ร่างเล็กขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงเป็นเด็กดีว่าง่ายทันที และเมื่อหญิงสาววางจานที่มีข้าวพูนลงตรงหน้าเขา เทวดาน้อยก็ลืมมารยาทเสียสนิท จ้วงทั้งข้าวทั้งกับข้าวจนแทบจะเคี้ยวไม่ทันเลยทีเดียว

    มารู้ตัวอีกทีก็ตอนมีใครคนหนึ่งมานั่งอยู่ด้านข้างแล้วหยวนชานชานก็ลุกไปตักข้าวมาให้อย่างสนิทสนม แบคฮยอนจึงกลืนข้าวคำที่อยู่ในปากแล้วจ้องมองอีกคนอย่างสงสัย

    “แบคฮยอน นี่พี่หยวนชานเลี่ย” หญิงสาวตอบคำถามในใจแบคฮยอนอย่างกับอ่านใจเขาได้ จากนั้นก็พูดอีกครั้ง “พี่เลี่ย นี่แบคฮยอนที่เราช่วยไว้ไงคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานช่างตัดกับใบหน้านิ่งราวน้ำแข็งแกะสลักของหยวนชานเลี่ยยิ่งนัก ยิ่งอีกฝ่ายมองข้าวในจานแบคฮยอนที่เรียกว่าแทบจะเหลือแค่เศษจากนั้นหันไปมองกับข้าวที่พร่องลงไปกว่าครึ่งแล้วถอนหายใจเบาๆ เทวดาก็หน้าม้านทันที

    “กินข้าวช้าหน่อย นายยังไม่หายดี” แบคฮยอนอ้าปากกว้าง เขานึกว่าจะโดนตำหนิว่ากินเยอะแต่อีกฝ่ายกลับแสดงน้ำใจด้วยการบอกให้กินช้าลงเพราะเขายังบาดเจ็บอยู่ โหหน้านิ่งแต่ใจดีนี่พระเอกชัดๆ เลย

    เทวดาหนุ่มจ้องมองใบหน้ารูปไข่ของอีกฝ่ายแล้วพิจารณาเสียหน่อย ผมหยักศกนั้นถูกเสยขึ้นอย่างลวกๆ คงเพราะอีกฝ่ายอยู่หน้าเตาอบมา หากแต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาดูแย่ แต่กลับดูดีเสียอีก เมื่อรวมกับจมูกโด่งเป็นสันกับปากอิ่มและแก้มแดงมีเลือดฝาดแล้ว หยวนชานเลี่ยนี่หล่อสุดยอดเลย นี่ถ้าไม่ใช่ว่าหน้านิ่งอย่างนี้สงสัยสาวๆ จะกรี้ดไม่ใช่น้อยนะเนี่ย

    “พี่อ่า อย่าดุแบคฮยอนสิคะ แบคฮยอนกินเถอะนายต้องกินเยอะๆ จะได้หายไวๆ” หยวนชานชานทำหน้ามุ่ยใส่พี่ชายแล้วยิ้มหวานให้แบคฮยอนอีกครั้ง แต่คราวนี้เทวดาหนุ่มอิ่มแล้วจึงวางช้อนส้อมและกล่าวขอบคุณ

    “ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้และขอบคุณที่ช่วยเหลือผมไว้ เอ่อ แต่ผมไม่มีอะไรตอบแทนพวกคุณเลย” กินของเขาแล้วแบคฮยอนก็เพิ่งสำนึกว่าเขามันเทวดาตกอับ เงินไม่มีแล้วยังหลบหนีการติดตามอยู่ด้วย

    “ไม่เป็นไรหรอก เราเห็นนายลำบากก็อยากไปช่วย ใช่มั้ยคะพี่” ชานชานกลับส่ายหน้าแล้วหันไปถามความเห็นพี่ชายซึ่งชานเลี่ยก็พยักหน้าเบาๆ

    “ว่าแต่นายไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง นายจำเบอร์โทรครอบครัวได้ไหม ฉันจะได้ติดต่อให้” ชานชานถามแล้วแบคฮยอนก็ส่ายหน้า เขาจะมีเบอร์โทรได้อย่างไร สวรรค์ไม่ใช่โทรศัพท์กันหรอก

    “งั้นนายจะไปไหนต่อเหรอ?” หญิงสาวถามอีกครั้ง คราวนี้แบคฮยอนก็ส่ายหน้าแต่ก็พยายามพูดต่อเพราะจะไม่ตอบก็ไม่ได้

    “ตอนแรกฉันว่าจะหางานทำน่ะ แต่ก็หาไม่ได้สักที”

    “งั้นก็ดีเลย! พี่คะ พี่บอกว่าต้องการคนมาช่วยทำงานใช่มั้ย งั้นเรารับแบคฮยอนเข้าทำงานนะคะ นะพี่น้า” หยวนชานชานอ้อนพี่ชายหน้านิ่งของเธอทันที แบคฮยอนก็ตาเป็นประกายด้วย แม้ว่าเกือบจะโดนทำมิดีมิร้ายแต่ก็ยังโชคดีที่เจอสองพี่น้องนี่ สายตาวิ๊งวับส่งไปหาชานเลี่ยอีกแรงจนอีกฝ่ายต้องพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดสำทับ “ได้ ให้เขาทำงานที่นี่ก็ได้”

    แล้วแบคฮยอนกับชานชานก็ยิ้มให้กันด้วยความดีใจ นึกไม่ถึงว่าเขาจะได้งานแล้วจริงๆ แถมยังได้ที่พักฟรีอาหารฟรีอีกด้วย หลังจากนี้ไม่นานก็จะสามารถเก็บเงินได้จำนวนหนึ่งแล้วซื้อตั๋วรถไฟกลับสวรรค์ได้แล้ว โชคดีเป็นบ้า

    สวรรค์จ๋า รอพี่แบคก่อน อีกไม่นานเกินรอพี่แบคจะได้กลับไปสวรรค์แล้วววววววว




    talk
    ชอบร้านขนมปังเพราะพี่ชอบกินขนมปังมากๆ อ่ะ เลยส่งแบคฮยอนไปอยู่ร้านขนมปังซะ จะได้กินขนมปังเผื่อพี่ไปในตัว
    ปล.ไม่ใช่ร้านขนมปังธรรมดาหรอกนาจา อิอิ
    #luckyonecb
    @noeybaekbd on twitter
    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 7 หยวนชานเลี่ยและหยวนชานชาน

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:37 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 7
    หยวนชานเลี่ยและหยวนชานชาน


    “พี่ชาย! แบคฮยอน! ได้เวลาทานข้าวแล้วค่ะ” เสียงหวานเจื้อยแจ้วตรงเวลามาแล้วอีกครั้ง นี่ก็ผ่านไปสัปดาห์หนึ่งแล้วตั้งแต่แบคฮยอนทำงานที่ร้านขนมปังนี้ พอหยวนชานชานเรียกพวกเขาสองคน ชานเลี่ยก็บอกให้แบคฮยอนไปกินข้าวก่อนส่วนชายหนุ่มเจ้าของร้านก็จะอบขนมจนเสร็จแล้วค่อยตามไปกินข้าวด้วยเหมือนทุกที

    “เหนื่อยไหม กินข้าวเยอะๆ ล่ะแบคฮยอน” ชานชานยิ้มหวานแล้วตักข้าวให้แบคฮยอนพูนจานเหมือนทุกครั้ง จากนั้นก็ตักกับข้าวมาให้อีกจำนวนมากด้วย หญิงสาวดีกับเขาเหลือเกินช่างน่าซาบซึ้งใจยิ่งนัก

    “พอแล้วชานชาน เธอก็กินบ้างสิ” แบคฮยอนไม่ว่าเปล่า มือที่ถือช้อนก็ตักกับข้าวให้หญิงสาวมากจนพูนจานเหมือนกัน

    “อ๊า แบคฮยอน! อย่าตักมากสิ นายจะทำให้ฉันกลายเป็นหมูแล้วนะ” หยวนชานชานกล่าวตัดพ้อแต่ก็ตักกินจนหมด นั่นทำให้แบคฮยอนยิ้มกว้างแล้วก็แซวกลับบ้าง

    “ใช่เลย ฉันจะทำให้เธอเป็นหมูอ้วน ในเมื่อเธอก็ขุนฉันจนอ้วนแล้ว เนี่ยหน้าท้องฉันเป็นลูกคลื่นแล้ว เละเหมือนช็อคโกแลตนูเทลล่าเลย” กล่าวเสร็จก็บีบหน้าท้องตัวเองอวดจนหญิงสาวเขินอายแล้วพวกเขาก็หัวเราะกันยกใหญ่ แบคฮยอนมีความสุขมากเลยในตอนนี้ อยู่ที่นี่มากว่าสัปดาห์แล้ว นอกจากงานอบขนมปังจะเป็นงานไม่หนักอย่างที่คิด เขายังมีอาหารอร่อย ที่พักแสนสบายแล้วยังมีหยวนชานชานมาทำให้หัวเราะทั้งวันอีก

    ยกเว้นก็แต่ตอนนี้ยังไม่ค่อยชินใบหน้านิ่งๆ ของหยวนชานเลี่ยน่ะนะ

    แบคฮยอนมองไปทางห้องอบขนมปังแล้วก็ถอนหายใจหนึ่งที ทุกวันหยวนชานเลี่ยจะตื่นก่อนเขาที่เป็นลูกจ้างเสียอีก จากนั้นก็จะเตรียมขนมปังด้วยการนวดไปนวดมาจนกล้ามขึ้นเป็นมัด แบคฮยอนมีหน้าที่รับก้อนแป้งเล็กที่ชานเลี่ยแบ่งให้แล้วปั้นขนมปังเป็นรูปต่างๆ ตามออเดอร์เท่านั้น ขนาดยกขนมเข้าตู้อบอีกฝ่ายยังทำเองแล้วชอบให้เขาออกมากินข้าวก่อนอีกต่างหาก

    “เป็นอะไรเหรอแบคฮยอน” ชานชานเห็นชายหนุ่มนั่งนิ่งก็ถามอย่างเป็นห่วง

    “ชานเลี่ยน่ะ” แบคฮยอนตอบสั้นๆ แล้วถอนหายใจอีกครั้ง

    “อ่อ พี่ชายน่ะมักจะเป็นแบบนี้เสมอล่ะ ถ้าขนมปังอบไม่เสร็จ เขาก็จะเป็นกังวลน่ะ” ชานชานตอบแทนอีกคนแล้วก็ยิ้มให้แบคฮยอนอย่างจนใจ

    “เขาเป็นแบบนี้เสมอเลยเหรอ แล้วถ้าอบไม่เสร็จจนเย็นไม่หิวตายเหรอนั่น” แต่แบคฮยอนยังคงห่วงไม่น้อย ชานเลี่ยทำแบบนี้บ่อยๆ ไม่น่าจะดีต่อสุขภาพมากนัก

    “อ่อ ไม่หรอก ถ้าเขาไม่รีบมากินข้าวสักทีฉันก็จะไปลากเขามาเองน่ะ รู้มั้ย”
    “หืม ลากยังไง?”
    “แบบนี้” หญิงสาวไม่พูดเปล่าแต่จับมือแบคฮยอนแล้วลากไปห้องอบขนมปังด้วยกัน

    “พี่ชายยยยยยย ถ้าไม่รีบมากินข้าว จะเททิ้งทั้งหมดแล้วน้า” หยวนชานชานไปถึงห้องอบขนมปังก็วิ่งไปข้างกายพี่ชายเธออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตะโกนประโยคทั้งหมดใส่หู เล่นเอาชานเลี่ยต้องยกมือปิดหูแต่ไม่วายชานชานยังเดินเข้าไปตะโกนซ้ำๆ จนชานเลี่ยยกมือยอมแพ้

    “โอเคๆ จะไปเดี๋ยวนี้แล้ว” ชานเลี่ยยกมือมาขยี้หัวชานชานแล้วถอดผ้ากันเปื้อนวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็เดินออกไปทันที

    “อ้าว แล้วขนมปัง” แบคฮยอนเห็นชานเลี่ยทิ้งงานไว้เลยเป็นห่วงเล็กน้อยจึงร้องถาม

    “ไม่เป็นไรหรอก ตั้งเวลาไว้แล้วน่ะ” ชานเลี่ยพูดไปนิดหน่อยก็โดนลากไปห้องอาหารต่อทันที

    “เร็วเข้าแบคฮยอน เดี๋ยวก็กินข้าวหมดก่อนเลยนิ” ชานชานยังไม่วายร้องเพื่อตามแบคฮยอนไปกินข้าวต่ออีกแน่ะ

    เทวดาน้อยส่ายหน้าอย่างจนใจและเดินตามไปด้วยหัวใจเป็นสุข แม้จะเก็บเงินได้ไม่มากแต่ถ้าต้องอยู่กับสองพี่น้องนี่ไปสักหลายๆ ปี เขาว่ามันก็เข้าท่าไม่หยอกเลยล่ะ

    หลังมื้อกลางวัน แบคฮยอนก็กลับไปทำงานต่อ แม้ว่าส่วนใหญ่ชานเลี่ยคนพี่จะเป็นคนทำขนมแต่พอช่วงบ่ายไม่มีคนมาซื้อขนมเท่าไหร่แล้ว ชานชานก็จะมาช่วยทำขนมพวกคุกกี้และเค้กต่างๆ ด้วย ช่วงเวลานี้เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่แบคฮยอนชอบมากที่สุด เพราะชานชานมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนได้เสมอ แม้กระทั่งชานเลี่ยชายหนุ่มหน้านิ่งยังหัวเราะไปอบขนมไปเลยล่ะ

    “แล้วในตอนนั้นนะ แบคฮยอนรู้มั้ย พี่ชายเลยเข้าไปอัดเจ้าพวกนั้นจนต้องร้องขอชีวิตเลยล่ะ” อีกครั้งที่ชานชานเล่าถึงการช่วยเหลือแบคฮยอนจากอันธพาลคราวนั้น “พี่ชายพูดว่า อย่ารังแกคนอ่อนแอ! จากนั้นก็อุ้มแบคฮยอนแล้วก็พามาบ้านแบบที่ฉันน่ะวิ่งตามไม่ทันเลย” พูดจบหญิงสาวก็เหล่ไปทางพี่ชายแล้วเอ่ยยั่วเย้า “เป็นห่วงแบคฮยอนยิ่งกว่าน้องสาวตัวเองอีกแน่ะ”

    “พอแล้วน่า ชานชาน” ชานเลี่ยก็เลยโบกมือน้องสาวให้หยุดพูดแล้วหันหน้าไปทางเตาอบราวกับอยากจะปกปิดอะไรสักอย่าง พอแบคฮยอนลอบมองก็เห็นว่าชายหนุ่มคนพี่หน้าแดงไม่น้อย

    หยวนชานชานเห็นพี่ชายหลบไปก็เอามือป้องปากพลางถามคำถามหนึ่ง “นี่ๆ แบคฮยอน พี่ชายฉันเป็นคนดีใช่มั้ยล่ะ”

    “หะ หา เอ้อ เป็นคนดีสิ ก็ช่วยฉันไว้นี่นา” แบคฮยอนตอบอย่างงงๆ ทำไมชานชานถึงถามอะไรแปลกๆ ถ้าชานเลี่ยไม่เป็นคนดีแล้วเขาจะมาช่วยคนอื่นได้อย่างไร

    “แต่ตอนนี้น่ะ พี่ชานเลี่ยไม่มีใครดูแลเลย ฉันเองก็ไม่รู้จะดูแลเขาไปถึงเมื่อไหร่” แบคฮยอนตกใจมากกับคำรำพันนี้ ดูราวกับว่าชานชานจะไม่อยู่ดูแลพี่ชายเธอเองแล้วซะงั้น

    “ชานชาน! เธอพูดอะไรน่ะ เธอจะรีบไปไหน ยังอายุน้อยแท้ๆ” เทวดาหนุ่มเลยจับไหล่เธอเขย่าแล้วถาม เล่นเอาชานชานอึ้งไปหนึ่งรอบกับพฤติกรรมนี้ เพราะแบคฮยอนถลึงตาใส่หญิงสาวราวกับเธอกำลังทำผิดอย่างมากอยู่ไม่ปาน

    “แบคฮยอน ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันหมายถึงถ้าฉันแต่งงานหรืออะไรทำนองนั้น ฉันต้องดูแลสามีแต่จะไม่มีเวลามาดูแลพี่ชายต่างหาก”

    พอชานชานพูดจบ แบคฮยอนก็พบว่าเขาหน้าแตก ไม่รู้ทำไมเขาไม่อยากให้หยวนชานชานพูดเหมือนตนเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว พอคิดตามอีกครั้งว่าอาจจะหมายถึงแต่งงานหรืออะไรทำนองนั้นต่างหาก เขาก็เบาท่าทีลง

    “ทำไมเธอถึงบอกว่าอาจจะแต่งงานแล้วออกจากร้านไปล่ะ เธอก็เป็นเจ้าของร้านขนมปังนี่ด้วยนี่นา” แบคฮยอนถามแบบพาซื่อ เขาไม่เข้าใจว่าชานชานกำลังจะพูดอะไร

    “โธ่ แบคฮยอน นายยังไม่เข้าใจอีก ไหนตามฉันมาซิ” กลายเป็นชานชานทำหน้าจนใจแล้วจู่ๆ ก็ลากแบคฮยอนออกจากห้องอบขนมแล้วพาไปอีกห้องหนึ่งเสียอย่างนั้น ห้องเก็บวัตถุดิบข้างห้องอบขนมนั่นเอง

    “มีอะไรชานชาน” พอหญิงสาวนั่งลงบนกระสอบแป้งข้าวโพด แบคฮยอนก็นั่งบนกระสอบแป้งข้าวโอ๊ตตรงข้ามแล้วเอ่ยปากถาม เขาไม่เข้าใจเลยว่าถูกพามาคุยที่นี่ทำไม

    “นายไม่รู้เหรอแบคฮยอน พี่ชานเลี่ยน่ะ ชอบนายอยู่นะ!” ชานชานเปิดปากคำแรกด้วยใบหน้าบึ้งตึง พร้อมกับชี้หน้าเขาอย่างกับนักโทษ

    แต่แบคฮยอนสิช็อกไปเลย อะไรนะ นี่เขาถูกผู้ชายชอบอีกแล้วเหรอ คราวก่อนก็พญามารนั่น คราวนี้ก็ชานเลี่ยอีก เขาไม่ใช่เทวดาเพศหญิงสักหน่อย เขาต้องคู่กับผู้หญิง เทวดาเพศหญิงหรือแม้กระทั่งมารเพศหญิงสิ นี่อะไรกันเนี่ย! ขนาดมนุษย์ผู้ชายยังชอบเขาเลยเนี่ยนะ เขาทำอะไรผิด ห๊า!

    “ไม่จริงใช่มั้ยชานชาน เธอล้อฉันเล่น ผู้ชายจะชอบผู้ชายได้ยังไง” แบคฮยอนยังคงไม่อยากยอมรับความจริง เขาจะเป็นที่ต้องการของมนุษย์เพศผู้ได้อย่างไรในเมื่อผู้ชายต้องการผู้หญิงไว้สืบพันธุ์แต่เขานั้นไม่มีอะไรทำนองนั้นเลยนะ แล้วเขาก็มั่นใจว่าไม่ได้แสดงท่าทีอะไรบอกว่าเขาชอบเพศชายด้วย

    “แบคฮยอน นี่นายไม่รู้ตัวเลยเหรอว่านายน่ะน่ารักกว่าผู้หญิงขนาดไหน เดี๋ยวนี้มันปี 2050 แล้วนะใครเขาสนเรื่องเพศกันเล่า” หญิงสาวราวกับอ่านใจเขาได้ ทำไมตอบโต้เขาได้เฉย ก็อาจจะจริงที่มนุษย์มีวิทยาการที่ไม่ต้องพึงพาเรื่องเพศ แต่อย่าลืมว่าเขาเป็นเทวดานะ

    “แต่ฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย” แบคฮยอนตัดสินใจปฏิเสธไปตามตรง อันที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าตนเองชอบผู้ชายหรือชอบผู้หญิง แต่ถ้ามันเป็นไปตามเพศสภาพเขาก็ต้องชอบผู้หญิงไม่ใช่เหรอ อาจจะยกเว้นพญามารนั่นก็ได้ที่มาชอบผู้ชายแบบเขา เอ๊ะ แต่ว่าเจ้านั่นเลือกเขามาเป็นลัคกี้วันเพราะชอบเขาจริงๆ เหรอ ทำไมหลายวันมานี้ไม่มาตามหาเขาเลย

    หรือว่า...

    “งั้นมาพิสูจน์มั้ยล่ะ ว่านายชอบใคร ระหว่างฉันกับพี่เลี่ย” จู่ๆ ชานชานก็ตีหน้าเข้มแล้วก็ลุกขึ้นพลางย่างสามขุมเข้ามาอย่างน่ากลัวทันที

    “เฮ้ย! ใจเย็นก่อนชานชาน มีอะไรค่อยพู...” แบคฮยอนพูดไม่ทันจบก็โดนปิดปากด้วยปากเสียแล้ว

    มันเป็นความน้อยใจในรูปร่างอย่างหนึ่งที่หยวนชานชานไม่ต้องบอกแบคฮยอนก็รู้ดี ร่างกายเทวดาของเขานั้นค่อนข้างเล็กกว่าเทวดาเพศชายทั่วไป แถมใบหน้าปากนิดจมูกหน่อยของตนเองนั้นก็ค่อนข้างคล้ายหญิงสาวมากกว่าผู้ชายมากนัก ไม่นับพละกำลังน้อยนิดเนื่องจากเขาไม่ค่อยออกกำลังกายและฝึกฝนการใช้พลังสว่างอีก มันทำให้แบคฮยอนแทบไม่มีแรงต้านแม้แต่สาวน้อยอย่างหยวนชานชานได้เลย

    หญิงสาวนั้นตัวสูงกว่าเขาตั้งสิบกว่าเซนติเมตรแถมด้วยความที่เธอต้องใช้กำลังนวดแป้งขนมปังหรืออบขนมปังบ่อยๆ ทำให้ตอนนี้ราวกับแบคฮยอนอยู่ในอ้อมกอดของหญิงเหล็กก็ไม่ปาน มือสองข้างเรียวงามยกขึ้นมากอบกุมใบหน้าของชายหนุ่มผู้เคยเป็นเพื่อนมากว่าสัปดาห์เอาไว้ ส่วนริมฝีปากก็ประกบกับอีกฝ่ายอย่างจาบจ้วง

    แบคฮยอนพยายามยกมือขึ้นทุบเพื่อให้ชานชานขยับออกไปพร้อมอ้าปากจะบอกว่าให้หยุด แต่กลายเป็นเปิดช่องว่างให้ลิ้นของอีกฝ่ายสอดแทรกเข้ามา แม้การกระทำนี้ค่อนข้างจะหื่นกามและบุกรุกพื้นที่สำหรับเทวดาหนุ่ม หากแต่ร่างกายกลับตอบรับแปลกๆ ด้วยการไม่ผลักดันอีกฝ่ายหนึ่งแล้วยกมือตนเองไปกอดเอวหญิงสาวอย่างเงอะงะยอมรับความหวานจากชานชานอย่างยินดีเสียอย่างนั้น

    แปลก แบคฮยอนว่ามันแปลกมาก ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ชอบหญิงสาวแต่เขากลับไม่รังเกียจอีกฝ่ายเหมือนตอนนั้นที่พญามารนั่นเคยรังแกเขา เอ๊ะ ตอนไหน เขาเคยโดนพญามารกอดแต่จูบนี่ไม่เคยนี่นา เทวดาหนุ่มคิดไปคิดมาแล้วก็พบว่าหญิงสาวผละปากออกจากนั้นก็เริ่มรุกรานเขาไปส่วนอื่นอย่างได้ใจ

    ริมฝีปากสีสดขบเม้มตามลำคอและไหปลาร้าร่องลึกให้รู้สึกซาบซ่าน จากนั้นมืองามก็ลูบไล้ไปกลางลำตัวเรื่อยไปจนถึงจุดใต้กางเกงซึ่งพอถึงตรงนี้แบคฮยอนก็ได้สติคืนมา มือของเทวดาจึงจับเข้าหมับแล้วจากนั้นก็ฮึดสู้พลังหญิงเหล็กแล้วจ้องมองหน้า

    “ชานชาน หยุดก่อน!” แบคฮยอนพยายามยกมือห้าม แล้วชานชานก็หยุดกึกเหมือนนึกอะไรได้

    “แบคฮยอน ฉัน...” หญิงสาวพยายามขอโทษ แต่แบคฮยอนไม่ได้โกรธ อันที่จริงเขาไม่มีอะไรเสียหายด้วยซ้ำ ชานชานต่างหากที่จะเสียหาย

    “ไม่เป็นไรชานชาน ฉันไม่เป็นไร” เทวดาหนุ่มพยายามปลอบประโลมอีกที แต่พอเขาไม่โกรธก็เหมือนว่าหญิงสาวจะหน้าแดงแล้วจู่ๆ เธอก็วิ่งหน้าตั้งออกจากห้องวัตถุดิบไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาเขาตั้งตัวไม่ติด

    “ชานชาน เดี๋ยว กลับมาก่อน” แบคฮยอนร้องเรียกหญิงสาวพลางวิ่งตามจนออกไปนอกบ้าน

    นี่มันอะไรกันเนี่ย เขาคิดไปก็วิ่งตามหยวนชานชานไปอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้

    วิ่งไปสักพักก็มาโผล่ที่ไหนไม่รู้ ชานชานหายไปจากสายตาเขาแล้วและแบคฮยอนก็วิ่งจนเหนื่อยต้องพักก่อน ในใจมีความสับสนชั่วครู่แต่พอสติเริ่มมาปัญญาเริ่มเกิด เขาถึงนึกได้ว่าตนเองเป็นเทวดามีค่าหัว เกิดพวกมารมาเจอเข้าจะทำอย่างไร

    แล้วพลันจู่ๆ ก็สัมผัสพลังแห่งความมืดได้จำนวนหนึ่ง มันไม่ใช่แสงอันดำมืดแต่มันเป็นความมืดมิดในจิตใจ มันคือกลิ่นอายพลังความมืดจากมารขั้นสูงนั่นเอง แย่แล้ว หากเจอมารขั้นสูงที่นี่ ไม่ต้องกลัวเลยว่าวันพรุ่งนี้จะไปโผล่ที่ไหนเพราะคืนนี้อาจจะถูกพาไปเสิร์ฟบนเตียงพญามารเลยก็ได้

    พลังความมืดก่อตัวขึ้นไม่ไกลแล้ว แบคฮยอนสัมผัสได้ จากนั้นก็พบว่าข้างหน้าเขามีพลังงานก้อนหนึ่ง มันหนาแน่นเสียจนทำให้ขยับไม่ได้และทำให้ตื่นตระหนกว่าจะโดนจับได้เสียแล้ว

    รอหนึ่งอึดใจผ่านไป เซฮุนลอร์ดมารก็ปรากฏตรงหน้าเขา

    ซวยแล้ว!

    แบคฮยอนพยายามวิ่งหนีแต่ก็วิ่งไม่ออกเหมือนมีอะไรตรึงไว้กับที่ น้ำตาแทบไหลตอนเซฮุนขยับเข้ามาใกล้เขา ซวยแล้วแม่จ๋า ไม่รอดแล้วแน่ๆ เทวดาหนุ่มภาวนาในใจแค่ว่าอย่างน้อยขอให้เซฮุนเห็นแก่มิตรภาพกว่าร้อยปีของพวกเขาแล้วปล่อยเขาไป อย่าจับไปให้พญามารเลย

    สงสัยแม่จ๋าจะได้ยินเพราะเซฮุนไม่ได้เข้ามาจับตัวแบคฮยอนไว้ทันทีที่เห็นหน้า หากแต่แบคฮยอนกลับรู้สึกช็อกไปอีกเมื่อลอร์ดมารเอามือลูบใบหน้าเขาแล้วดึงมากอดไว้

    “ดีที่เจ้าไม่เป็นไร”

    คำพูดสั้นๆ แต่แบคฮยอนกลับรู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งกายใจเลยทีเดียว

    “ซะ เซฮุน ท่านไม่ได้มาจับข้าเหรอ?” แบคฮยอนไม่ขัดขืนและดีดดิ้นเมื่อถูกกอด อันที่จริงเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาวางบริเวณหลังเซฮุนด้วยซ้ำ น้ำตาไหลรื้นข้างขอบตานิดหน่อย ตอนแรกนึกว่าจะถูกจับส่งไปหาพญามารเสียแล้ว

    “ไม่เป็นไรนะแบคฮยอน ข้าอยู่นี่แล้ว” ลอร์ดมารกลับไม่ตอบคำถามเทวดาน้อยแต่คอยลูบผมเขาแล้วเอ่ยคำปลอบประโลมแทน การกระทำนี้ราวกับช่วยปัดเป่าความน่าหวาดกลัวทั้งหลายที่แบคฮยอนคาดคิดไว้ มันรู้สึกเบาใจราวกับเขาฝากชีวิตไว้กับมารตนนี้ได้

    แต่บ้าจริงๆ น้ำตารื้นขอบตาเมื่อกี้กลับเป็นน้ำตาไหลเป็นทางยาวเสียอย่างนั้น

    “ฮึก แง เซฮุน พาข้ากลับไปหาท่านตาที ข้าไม่อยากเป็นลัคกี้วันงี่เง่านี่แล้ว” เทวดาน้อยบอกไม่ถูกว่าอาการนี้เป็นอย่างไร เขาไม่ได้มีใครให้อ้อนแบบนี้นานแล้ว ตั้งแต่อายุสิบแปดปีเป็นต้นมาท่านตาก็ไม่ค่อยยอมให้เขาได้อ้อนอีก ยิ่งวันส่งตัวลัคกี้วันในตอนนั้นท่านตาถึงกับจับเขายัดเข้ามาในรถไฟแบบไม่ถงไม่ถามสุขภาพสักคำ สร้างความน้อยเนื้อต่ำใจให้แบคฮยอนยิ่งนัก

    “นะ เซฮุน ฮึก เซฮุน” แบคฮยอนเห็นลอร์ดมารไม่ตอบก็รบเร้าใหญ่ หูเหอหน้าเน่อแดงเป็นปื้นและน้ำมูกน้ำตาก็มาหมด เขายกมือขึ้นชกเซฮุนหลายๆ ทีให้เจ็บแต่ลอร์ดมารก็ไม่ยอมตอบเสียทีว่าจะพาเขาไปหาท่านตาไหม

    แบคฮยอนจึงได้แต่ร้องไห้ซบอกเซฮุนอยู่อย่างนั้น


    ****lucky one and monster****


    จนกระทั่งแบคฮยอนหยุดร้องไห้ มารร่างใหญ่จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้เด็กน้อยแล้วพาไปนั่งที่มุมหนึ่งของถนน จากนั้นก็ปล่อยให้แบคฮยอนจัดการตัวเองเซฮุนก็ลูบศีรษะเทวดาน้อยไปพลาง

    “หายน้อยใจหรือยัง” คำถามสั้นๆ ง่ายๆ จากปากลอร์ดมารทำให้แบคฮยอนสูดน้ำมูกหนึ่งทีแล้วทำหน้ามุ่ยก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

    “แบคฮยอน ฟังข้านะ” ลอร์ดมารจึงเริ่มเอ่ยสิ่งที่เขาเตรียมพูดเอาไว้ออกมาช้าๆ เบาๆ และชัดเจน

    “เจ้าน่ะ ถูกคัดเลือกเป็นลัคกี้วันแล้ว เจ้าก็รู้ว่ามันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ เจ้ารู้ไหมว่าชานยอลทำสัญลักษณ์บนตัวเจ้าแล้ว อีกหนึ่งร้อยปีหลังจากนี้เจ้าเป็นของเขา” เซฮุนเอ่ยออกมาแล้วก็ปวดใจไม่น้อย เขาเห็นว่าแบคฮยอนตาเบิกกว้างทันทีเมื่อได้ยินคำว่าสัญลักษณ์

    “เจ้าว่าอะไรนะ สัญลักษณ์อะไร?” เด็กน้อยเอ่ยถามตาแป๋วจนเซฮุนต้องลูบหัวหนึ่งทีด้วยความเอ็นดู

    “สัญลักษณ์ชื่อเขา แบคฮยอน ชื่อชานยอลสลักลงบนตัวเจ้าตั้งแต่วันที่เขาเลือกเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่เห็นเพราะเขาสลักบนหลังคอของเจ้า หากต้องการพิสูจน์ ข้าทำให้ดูได้”

    “เอาสิ พิสูจน์เลย” พอเด็กน้อยรบเร้า เซฮุนก็ท่องเวททันที

    แสงสว่างเรืองรองปรากฏที่คอของเทวดาหนุ่มครู่หนึ่ง พอเซฮุนใช้เวทเสกกระจกน้ำขึ้นมาให้แบคฮยอนดู เทวดาน้อยก็เบิกตากว้างกับสัญลักษณ์นั่น ชื่อชานยอลอยู่บนหลังคอของแบคฮยอนจริงๆ ด้วย

    “เชื่อแล้วใช่ไหม งั้นฟังข้าต่อนะ” ลอร์ดมารรีบเก็บเวทให้มิดชิดก่อน จากนั้นก็อธิบายสถานการณ์ต่อ “เจ้าเป็นลัคกี้วันของชานยอลดังนั้นเขาจะทำอะไรกับเจ้าก็ได้ หรือจะตามตัวเจ้าก็แค่จับสัญญาณจากที่ใดก็ได้ แต่ข้ากับท่านตาของเจ้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าถูกรังแกแน่ๆ เจ้าเข้าใจไหม” เซฮุนยิ้มให้เจ้าตัวเล็กหนึ่งที เขาสังเกตเห็นว่าแบคฮยอนเริ่มยิ้มตามแล้ว

    “ยังไงอ่ะ” แต่ก็ยังไม่วายสงสัยสิน่า

    “ข้ากับท่านตาของเจ้าทุ่มเทพลังสร้างบาร์เรียป้องกันเจ้าไว้ตั้งแต่ก่อนวันส่งมอบลัคกี้วันแล้ว บาร์เรียนี้จะตอบโต้ผู้ที่มีอันตรายกับเจ้าและจะทำให้พวกเรารู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน เราจะไปช่วยเจ้าได้ทัน”

    “แต่วันก่อนข้าเจอพวกอันธพาล พวกมันไม่เห็นเป็นอะไรเลยอ่ะ” แบคฮยอนแย้งแล้วทำแก้มป่อง

    “ยังไง ไหนเล่ามาซิ” เซฮุนจึงให้เด็กน้อยเล่าเรื่องราวให้เขาฟังทุกอย่างโดยละเอียด

    แบคฮยอนเล่าตั้งแต่เรื่องที่เขาออกมาจากสถานีรถไฟและจากนั้นก็เตร็ดเตร่ไปทั่วสามวันแบบไม่ได้อดอยากสักเท่าไหร่ จากนั้นก็เจออันธพาลทำร้ายจนเกือบไม่รอดแต่ตอนนี้โชคดีมีความสุขด้วยการอาศัยพักกับสองพี่น้องหยวนชานเลี่ยและหยวนชานชาน ซึ่งเป็นร้านขนมปังที่แบคฮยอนชอบเสียด้วย

    “อืม สัปดาห์ก่อนอย่างนั้นหรือ” เซฮุนพึมพำหลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด บาร์เรียป้องกันของเซฮุนและซูโฮนั้นทำงานอยู่เสมอ ส่วนเขาและซูโฮจะคอยตรวจสอบว่าแบคฮยอนยังโอเคดีหรือเปล่า จนกระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อนเขากับซูโฮกำลังยุ่งจึงไม่รู้ว่ามีใครตรวจสอบบาร์เรียหรือไม่ มารู้เมื่อสองวันก่อนว่าตรวจหาบาร์เรียไม่พบ จึงได้ส่งกำลังออกตามหาแบคฮยอนกันยกใหญ่

    ฟากซูโฮนั้น เนื่องจากงานดูแลเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายจากวิญญาณหลุดนรกทำให้ท่านตาของแบคฮยอนไม่ได้ทำการค้นหาหลานรักอย่างเต็มที่นัก แต่ฝั่งเซฮุนคือเขากำลังทำงานตามจับตามสืบหาวิญญาณที่หายไปด้วย ดังนั้นเขาจึงสามารถหาทั้งวิญญาณและหาทั้งแบคฮยอนไปด้วย จนวันนี้จับสัญญาณบาร์เรียได้ เซฮุนจึงใช้เวทมาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าแบคฮยอนทันที

    ที่เขาไม่อาสาตามหาแบคฮยอนให้กับชานยอลเมื่อสิบวันก่อนก็เพราะเขารู้ว่าตนเองมีสัญญาณบาร์เรียกับแบคฮยอนนั่นเอง

    “ข้าคิดว่าเพราะอันธพาลยังไม่ได้ทำอันตรายเจ้าจนเกินไป ตรงที่โดนต่อยหายแล้วใช่ไหม” เซฮุนไม่แน่ใจการทำงานของบาร์เรียที่ซูโฮสร้างนัก แต่พอจับตัวเทวดาน้อยสำรวจโดยรอบก็ดูแล้วไม่น่าเป็นห่วง

    “อ๊ะ ข้าว่าน่าจะใช่ ตอนพวกมันเอามีดจี้คอข้าก็ไม่เห็นจะได้เลือดเลย บาร์เรียนี่ดีจริงๆ” แบคฮยอนเอามือขวาทำท่าค้อนทุบกับมือซ้ายเหมือนว่าเข้าใจแล้ว

    เซฮุนมองเด็กน้อยทำหน้ายิ้มก็ดีใจ ยกมือลูบศีรษะแบคฮยอนอีกครั้ง แต่กลายเป็นว่าเทวดาหันหน้ามาหาเขาราวกับจะอ้อนอะไรอีก

    “เซฮุน หมายความว่าท่านจะไม่พาข้ากลับสวรรค์ แล้ว...แล้วท่านจะพาข้ากลับไปนรกไหม” แบคฮยอนเอ่ยกับเขาเบาๆ สีหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ

    และนั่นก็ทำให้เซฮุนแทบทนไม่ไหว เขาอยากพาแบคฮยอนกลับไปสวรรค์ อยากพาไปกินของอร่อย อยากปกป้องดูแลลับๆ อยากให้ซูโฮดูแลเจ้าตัวเล็กเหมือนอย่างเคย

    แต่เขาทำไม่ได้

    “เจ้าบอกว่าอยู่อาศัยกับมนุษย์ พวกเขาดูแลเจ้าดีใช่ไหม” เซฮุนจึงถามเกี่ยวกับมนุษย์แทน

    “ก็...ดีขอรับ” เด็กน้อยทำสีหน้าลังเลแต่ก็ตอบกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม เซฮุนจึงค่อยเบาใจ เขาพาแบคฮยอนกลับไปหาซูโฮไม่ได้ แต่พากลับนรกตอนนี้เจ้าตัวเล็กก็คงเศร้าหนัก ถ้าอย่างนั้นก็ให้แบคฮยอนอยู่บนโลกมนุษย์เพื่อทำใจก่อนก็ได้

    ลอร์ดมารจึงจับมือเทวดาน้อยอีกครั้ง แล้วเชิดคางอีกคนให้มองเขาชัดๆ

    “แบคฮยอน สัญญากับข้าก่อนว่า เจ้าจะต้องยอมรับให้ได้สักวันหนึ่งว่าตัวเองเป็นลัคกี้วันของชานยอลและกลับไปอยู่ในนรกกับเขา”

    เป็นคำสัญญาที่ทำให้ทั้งเซฮุนและแบคฮยอนปวดร้าวใจในเวลาเดียวกัน








    talk
    พิฮุนมาล้าวววววว
    หลายคนอาจจะเดาได้แล้วว่าสองพี่น้องมีเงี่ยนงำ เอร๊ย เงื่อนงำ
    แต่ตอนหน้าค่อยเฉลยนะจ๊ะ
    #luckyonecb
    @noeybaekbd


    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 8 สัญญาของเซฮุนและความโมโหของแบคฮยอน

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:39 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 8
    สัญญาของเซฮุนและความโมโหของแบคฮยอน







    “แบคฮยอน สัญญากับข้าก่อนว่า เจ้าจะต้องยอมรับให้ได้สักวันหนึ่งว่าตัวเองเป็นลัคกี้วันของชานยอลและกลับไปอยู่ในนรกกับเขา”

    แบคฮยอนได้ยินคำขอสัญญาจากเซฮุนชัดเจนแต่ในใจกลับไม่อยากยอมรับสักนิด

    “ข้า...”

    “สัญญาสิแบคฮยอน ข้ารับรองว่าเจ้าต้องปลอดภัย” เซฮุนกล่าวย้ำอีกครั้งพาให้แบคฮยอนทำตัวลำบาก เขารู้ดีว่าท่านตาและเซฮุนเป็นห่วงเขา แต่บาร์เรียของทั้งสองจะปกป้องเขาจากพญามารได้จริงหรือ

    “ไม่มีทางอื่นเลยเหรอเซฮุน ให้เทวดาตนอื่นเป็นแทนข้าไม่ได้เหรอ” แบคฮยอนยังงอแงไม่เลิก ลอร์ดมารจึงถอนหายใจหนึ่งทีก่อนแล้วพูดความจริงอีกครั้ง

    “เจ้าน่าจะรู้แล้วว่าลัคกี้วันนั้นมีความเป็นมาอย่างไรใช่ไหมแบคฮยอน” แบคฮยอนพยักหน้าเบาๆ เขารู้ว่าลัคกี้วันคือตำแหน่งสำคัญที่เกิดจากพันธะสัญญาจากฝั่งเทวดาและฝั่งมาร ที่สำคัญมันดำเนินการมากว่าเก้าพันปีแล้ว

    เซฮุนจึงพูดต่อ “ดังนั้นลำพังแค่ซูโฮคงยกเลิกพันธะสัญญาไม่ได้แต่ถ้าชานยอลเห็นด้วยก็จะทำได้ เจ้าเข้าใจไหม”

    ราวกับคำพูดของเซฮุนเข้าไปกระแทกสมอง คราวนี้แบคฮยอนเบิกตากว้าง เหมือนว่าที่ผ่านมาเทวดาน้อยคิดว่าถ้าตนหนีพ้นจากนรกและพญามารได้ ก็อาจจะมีการเจรจากับสวรรค์เกิดขึ้น แต่กลับลืมไปว่าถ้าลัคกี้วันไม่เข้าไปเจรจากับพญามารเอง ก็จะไม่สามารถหลุดพ้นพันธะนี้ได้เช่นกัน

    “ข้าจะให้เวลาเจ้าสักพักจนกว่าเจ้าจะพร้อม จากนั้นก็กลับนรกด้วยกัน แล้วเรามาดูกันว่า ข้ากับเจ้าจะสามารถเกลี้ยกล่อมชานยอลได้ไหม” แบคฮยอนพยักหน้าอีกครั้ง คราวนี้ยิ้มกว้างกลับมาด้วย “ตกลงตามนี้นะเด็กดี” เซฮุนลูบศีรษะเทวดาที่ตนเลี้ยงดูฟูมฟักมาแต่น้อยด้วยความเอ็นดู

    ที่จริงเซฮุนน่าจะคุยกับแบคฮยอนตั้งแต่เจ้าตัวลงมาอยู่ในนรก แต่เพราะงานของเซฮุนค่อนข้างรัดตัวและเขากับซูโฮยังต้องเตรียมการบางอย่างเพื่อดูแลความปลอดภัยของเทวดาตัวน้อยด้วย จึงไม่ได้เข้าไปหาแต่แรก ครั้นพอจะเข้าไปก็เกิดเหตุการณ์วิญญาณจำนวนมากหลุดมายังโลกมนุษย์และก่อความวุ่นวายอีก ดังนั้นเซฮุนจึงต้องจัดการงานของตนเองก่อน พอมีเวลาและหาตัวแบคฮยอนเจอจึงได้คุยอย่างวันนี้

    “แล้วท่านจะให้เวลาข้าสัก เอ่อ เท่าไหร่” แบคฮยอนอยากถามว่าอีกกี่ปีกี่เดือนที่เขาต้องรีบทำใจ แต่เขาไม่อยากขีดเวลาชัดเจนขนาดนั้น จึงถามอ้อมๆ แทน

    “หนึ่งสัปดาห์ ไหวไหมแบคฮยอน” เซฮุนกล่าวตอบด้วยใบหน้าเครียด ไม่มีล้อเล่นเลยสักนิด

    แต่แบคฮยอนนั้นอึ้งไปอีกรอบแล้ว ไวขนาดนั้นเชียว เดิมทีเขาคิดว่าเซฮุนจะให้เวลาเขาสักสามเดือนเสียอีก อย่างไรเขาก็เพิ่งจะหนีจากนรกมาได้สิบกว่าวันเท่านั้น คือการต้องทำใจเพื่อกลับไปเผชิญหน้าพญามารนั้นมันไม่ง่ายนักหรอกนะ ก้นน้อยๆ เอ้อ หมายถึงตัวเขาไม่น่าจะพร้อมไวขนาดนั้น

    “ทำไมเร็วขนาดนั้น เซฮุน ข้า...” แบคฮยอนพูดแย้งทันทีเมื่อหาเสียงเจอ แต่ก็ไม่ทันจบเมื่อลอร์ดมารขยับนิ้วชี้มาแตะปากเขาเสียก่อน

    “ชู่ว... ข้ารู้สึกมีอะไรแปลกๆ” เซฮุนเม้มปากแน่นแล้วมองไปรอบๆ ราวกับมีอะไรกำลังจ้องมองพวกเขาจากมุมไม่ใกล้ไม่ไกลนัก

    แบคฮยอนก็รู้สึกถึงพลังมืดเหมือนกัน เขาจึงปิดปากให้สนิท แล้วรอจนเซฮุนเอามือออกจึงค่อยพูดต่อ

    “เซฮุน... ข้าไม่คิดว่าข้าจะ...” เทวดาตัวน้อยโดนขัดด้วยการเอานิ้วแตะปากอีกครั้ง คราวนี้ปากน้อยเบะออกอย่างไม่พอใจทันที แต่มารตัวใหญ่กลับขมวดคิ้วหนัก จากนั้นก็พูดแบบไม่ให้อีกคนแย้งอีก

    “ข้าคิดว่าเราไม่มีเวลาพอแล้ว” เซฮุนจ้องตาแบคฮยอนอีกครั้ง “ฟังนะ แบคฮยอน เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปส่งร้านขนมปัง เจ้าอยู่ที่นั่นพยายามทำใจให้ครบสัปดาห์แล้วข้าจะไปรับ ระหว่างนั้นเจ้าห้ามไปไหนเด็ดขาด”

    “แต่เซฮุนคือข้า...”

    “ไม่มีแต่แล้วนะแบคฮยอน ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกไม่ค่อยสู้ดี มีใครบางคนแอบปล่อยวิญญาณออกมาและข้าไม่รู้ว่าพญามารจะออกตามหาเจ้าเมื่อไหร่ รออยู่ที่นั่นนะเด็กดี” เซฮุนกล่าวอย่างอ่อนโยนพร้อมแสดงแววตาสีหน้าเป็นห่วงอย่างจริงจังจนแบคฮยอนไม่กล้าเถียงแล้ว

    เขาคงได้แต่กลับไปสะสางปัญหาความคิดที่จะยอมรับพญามารของตนเอง รวมทั้งเรื่องหยวนชานชานและหยวนชานเลี่ยวันนี้ด้วย

    แล้วเซฮุนก็ใช้เวทเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาพาแบคฮยอนไปถึงร้านขนมปังทันที

    “จำไว้ว่าจงทำตัวเป็นเด็กดี อย่าออกนอกบ้านถ้าไม่จำเป็น ข้าจะให้ลูกน้องมาเฝ้าเจ้าไว้ หากต้องการอะไรก็ตะโกนไปทางที่มืดๆ ได้ เข้าใจไหม” เซฮุนย้ำเตือนเทวดาน้อยราวกับผู้ปกครองพาลูกหลานไปส่งโรงเรียนไม่มีผิด

    “เข้าใจแล้ว” แบคฮยอนกลั้นหัวเราะแล้วตอบอย่างอารมณ์ดี เซฮุนนี่เว่อร์จริงๆ เลย

    “เอาล่ะ เจ้าเข้าบ้านไปได้” ลอร์ดมารว่าพลางดันเจ้าตัวเล็กเข้าบ้านไป แต่เมื่อสัมผัสประตู เซฮุนก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

    “แบคฮยอน ทำไมบ้านหลังนี้...” เขากำลังจะบอกเทวดาถึงสิ่งผิดปกตินี้ สัญญาณเวทสื่อสารก็ดังขึ้นในหัว

    “อะไรเหรอ?” แบคฮยอนทำหน้างงหากแต่เซฮุนกลับยังไม่ตอบ

    ลอร์ดมารเอามือจับข้างขมับแล้วพูดคุยกับผู้ติดต่อครู่หนึ่ง พลันพูดคุยกับลูกน้องจบ เขาก็หันหน้ามาหาเทวดาน้อยแล้วพูดธุระให้จบ

    “จำไว้ว่าอย่าออกมาข้างนอกนะ หลังจากนี้หนึ่งสัปดาห์ข้าจะมารับ” พูดแค่นั้นก็มีเวทสื่อสารจากอีกจุดส่งมาหา เซฮุนจึงใช้เวทเคลื่อนย้ายแล้วออกจากที่นั่นไปทันที

    ลอร์ดมารไม่รู้เลยว่าเขาจะต้องกลับมาหาแบคฮยอนอีกครั้งในเวลาอันใกล้นี้ ไม่ใช่หนึ่งสัปดาห์อย่างที่คาดคิด


    ****lucky one and monster****


    “กลับมาแล้วหรือ แบคฮยอน” ทันทีที่ปิดประตู แบคฮยอนก็พบกับเจ้าของบ้านทันที ชานเลี่ยยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้านิ่งเช่นเคย

    สมองเทวดาพลันนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ที่ทำให้เขาต้องวิ่งออกไป จริงสิ เขาวิ่งไปตามหยวนชานชานไม่ใช่หรือ

    “หยวนชานชานล่ะ” แบคฮยอนถามชายหนุ่ม

    “ไปบ้านเพื่อนน่ะ เขาโทรมาบอกว่าอย่างนั้น นายกินอะไรมาหรือยัง มีอาหารอยู่บนโต๊ะนะ” หยวนชานเลี่ยตอบเขาแล้วเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป

    ทิ้งให้แบคฮยอนงงนิดหน่อยเพราะปกติชานเลี่ยก็นิ่งแต่ไม่นิ่งขนาดนี้ หวังว่าเรื่องหยวนชานชานจะไม่ทำให้เขาถูกชานเลี่ยโกรธนะ

    แต่เหมือนแบคฮยอนจะคิดผิด

    สามวันถัดมา

    แบคฮยอนยอมรับว่าเขาไม่เคยร้อนใจอย่างนี้มาก่อน หยวนชานคนพี่นิ่งเงียบกับเขามันคือปกติ แต่นี่หยวนชานคนน้องไม่กลับบ้านมาหลายวันแล้ว ไม่รู้เป็นอย่างไรบ้าง

    “นี่อาเลี่ย” เทวดาหนุ่มเริ่มบทสนทนาในตอนกินข้าวเที่ยง “นายไม่เป็นห่วงชานชานบ้างเหรอ” แบคฮยอนพูดด้วยอารมณ์เล็กน้อยใส่ชายหนุ่มที่ดูไม่เป็นห่วงน้องสาวเลย

    “เขาดูแลตัวเองได้” คำตอบจากพี่ชายทำให้แบคฮยอนถึงกับหยุดกินข้าวแล้ววางช้อนเสียงดัง

    “นายไม่ห่วง แต่ฉันห่วง!” น้ำเสียงหงุดหงิดไม่ปิดบังทำให้อีกฝ่ายเบิกตามองกว้าง ชานเลี่ยมองแบคฮยอนนานกว่าครึ่งนาที จากนั้นก็หลุบตามองต่ำแล้วพูดอะไรบางอย่างที่แบคฮยอนอึ้งไป

    “เขาไปทำงานน่ะ นายไม่ต้องห่วงหรอก” คำตอบที่ได้ทำเอาแบคฮยอนเสียศูนย์ไปเลย

    แสดงว่าชานชานไม่ได้บอกหรือว่าเขากับหญิงสาวทำอะไรกันในห้องวัตถุดิบนั้น แล้วนี่ตกลงชานเลี่ยชอบเขาจริงหรือเปล่า อันที่จริงชานชานชอบเขาอย่างนั้นหรือ ทำไมหยวนชานคนน้องไม่บอกเขาตรงๆ แต่ดันบอกว่าหยวนชานคนพี่ชอบเขา

    “นายรู้รึเปล่าว่าฉันกับชานชานคุยอะไรกันในห้องวัตถุดิบวันนั้น” แบคฮยอนพูดเสียงห้วนกับหยวนคนพี่ เขายอมรับว่ามีน้ำโหหน่อยๆ แล้ว

    “ฉันรู้”

    แต่เทวดากลับอึ้งไปเลยเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาว่ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

    “แล้วนายไม่คิดว่า...” พูดไปก็ติดขัดเพราะไม่รู้จะบอกยังไงว่าเรื่องมันไม่ยุ่งยากหรือ แต่พอเห็นท่าทีนิ่งกว่าปกติของหยวนชานเลี่ยก็บอกได้ว่าเขาเสียใจไม่น้อย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ตอนนี้หยวนชานชานอาจจะไม่กล้าเข้าบ้านเพราะมีแบคฮยอนอยู่ แล้วจะให้เขาใจเย็นได้อย่างไรเล่า

    “แบคฮยอน มันไม่ใช่ความผิดของนาย ชานชานไม่เป็นไร ฉันก็ไม่เป็นไร” ดูเหมือนหยวนชานคนพี่จะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ไม่คงที่ของแบคฮยอนเข้าแล้วจึงพยายามปลอบ แต่นั่นกลับทำให้แบคฮยอนรู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า ไม่เป็นไรงั้นเหรอ ไม่มีใครเป็นอะไรงั้นเหรอ

    บ้านที่เคยมีแต่เสียงหัวเราะของชานชานกลายเป็นบ้านเงียบๆ แม้จะมีกลิ่นขนมปังกรุ่นและอาหารรสมือหยวนชานคนพี่ไม่ต่างจากหยวนชานคนน้องเลย แต่ทั้งสองเป็นผู้มีพระคุณของแบคฮยอน ช่วยเขาจากพวกอันธพาลและทำให้เขามีที่อยู่ที่กินบนโลกในตอนนี้

    แต่เขากลับ... เขากลับทำลายความสุขสองพี่น้องนี้ด้วยตัวเขาเองงั้นเหรอ?

    “แต่ฉันเป็น!” แบคฮยอนตวาดลั่น จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วทำท่าจะออกจากบ้าน

    “แบคฮยอน จะไปไหน!” ชานเลี่ยเข้ามาจับแขนเขาไว้ข้างหนึ่ง แล้วตวาดกลับ แต่แบคฮยอนไม่กลัวการกระทำของคนตัวใหญ่ยักษ์นี้สักนิด เขาสะบัดแขนออกจากการควบคุมแล้วถลึงตาก่อนจะถามกลับเสียงเย็น

    “นายบอกว่าชานชานไปทำงาน แล้วเขาไปทำงานที่ไหนล่ะ”

    “เขาไป... เอ่อ...” คำตอบจากชานเลี่ยทำเอาแบคฮยอนอารมณ์ขึ้นอีกครั้ง

    “นายก็ไม่รู้ใช่ไหมว่าเขาไปไหน แล้วตอนนี้นายยังไม่ห่วงเขาอีกเหรอ” น้ำเสียงค่อนข้างลุกเป็นไฟ แต่แบคฮยอนกลับไม่รู้สึกผิดต่อชานเลี่ยสักนิด

    “ไม่ใช่ไม่ห่วง แบคฮยอน แต่เขาไม่มีอะไรน่าห่วง เอ่อ ไม่ใช่... นายอย่าไปเลย” ตอนนี้ชานคนพี่อ้ำๆ อึ้งๆ ไปแล้วก้มหน้าเล็กน้อย น้ำเสียงตอนพูดว่า นายอย่าไปเลย เหมือนจะเรียกสติให้แบคฮยอนได้นิดหน่อย

    “ได้โปรด แบคฮยอน อย่าออกไปข้างนอก...มัน...อันตราย” ชานเลี่ยยังคงพูดต่อแม้ไม่มองหน้าแบคฮยอนสักนิด

    มันทำให้เขานึกถึงคำพูดของเซฮุนได้ เมื่อสามวันก่อนเซฮุนมาส่งเขาที่บ้านนี้ก็บอกว่าข้างนอกอันตรายเพราะมีวิญญาณหลุดออกมา แต่ชานเลี่ยเป็นมนุษย์จะรู้ได้อย่างไรว่ามีวิญญาณ…

    “หากนายไปเจอพวกอันธพาลวันก่อนอีก นายจะทำให้ชานชานเป็นห่วงได้นะ” ชายหนุ่มร่างใหญ่พูดขึ้นอีกครั้งแบคฮยอนจึงเข้าใจ ที่แท้อีกฝ่ายกลัวเขาไปเจอคนไม่ดีแบบเมื่อตอนนั้นอีกงั้นหรือ

    แต่ตอนนี้หยวนชานชานก็อยู่ข้างนอกนั่น แถมเธอยังเป็นหญิงสาวตัวคนเดียวอีกด้วย แม้เธอจะตัวสูงกว่าแบคฮยอนแต่ก็ไม่ได้หมายว่าแบคฮยอนจะไม่ห่วงเธอ

    อีกอย่าง ตอนนี้เขาสามารถใช้พลังปกป้องเธอได้แล้วเพราะคนของเซฮุนตามคุ้มครองเขาอยู่ เขาไม่ต้องกลัวว่าจะถูกพญามารจับไปเนื่องจากจับการใช้พลังของเขาได้อีกแล้ว

    “ชานเลี่ย ฉันดูแลตัวเองได้” แบคฮยอนพูดกับอีกฝ่ายเสียงเข้ม

    “เดี๋ยวก่อน แบคฮยอน” ชายหนุ่มพยายามห้ามเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้แบคฮยอนเตรียมรับมือแล้ว

    ทันทีที่ชานเลี่ยยกมือจะมารั้งแบคฮยอนไว้อีก ก็ถูกแสงสว่างจ้าทำให้ตาพร่ามัวทันที มนุษย์ผู้โดนเวทสว่างของแบคฮยอนยกมือขึ้นบังหน้าอย่างรวดเร็ว และนั่นก็เพียงพอจะให้แบคฮยอนวิ่งไปทางประตูแล้วเปิดออกเพื่อไปข้างนอก

    เขาจะต้องตามหยวนชานชานกลับมาให้ได้! แบคฮยอนให้คำมั่นกับตัวเองไว้ แล้วออกไปตามหาหญิงสาวทันที

    “อยู่ไหนนะชานชาน” แบคฮยอนพึมพำกับตนเองพลางลองใช้พลังสว่างของตนเองคอยตรวจจับพลังมืดหรือวิญญาณด้วย เขายอมรับว่าโง่มากที่ออกมาข้างนอกแม้ว่าเซฮุนจะเตือนเขาแล้วว่าห้ามไปไหน แถมยังใช้พลังสุ่มสี่สุ่มห้าแบบไม่กลัวถูกจับได้อีก แต่เขาเป็นห่วงชานชานจริงๆ นี่นา

    เทวดาร่างเล็กกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้าออกซอยนั้นซอยนี้ไปเรื่อยๆ เขามั่นใจว่าหญิงสาวน่าจะไปได้ไม่ไกล ในเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ชานชานไม่ได้ออกไปข้างนอกนานนัก ส่วนใหญ่เธอก็จะขลุกอยู่กับร้านและนั่งคุยเล่นกับแบคฮยอนเกือบตลอด มีออกไปตลาดไม่นานแล้วก็กลับมา

    ตรงนี้ก็ไม่มี
    ซอยนู้นก็ไม่
    โรงแรมไม่ไกลจากร้านขนมปังก็ไม่มี
    ตลาดที่เธอเล่าให้ฟังก็ไม่มีใครรู้จักหรือเคยเห็นหยวนชานชานเลย

    “เธออยู่ไหนน่ะ หยวนชานชาน!” แบคฮยอนตะโกนลั่น จนผู้คนที่ผ่านไปมาพากันมองเขาแปลกๆ พอรู้สึกตัวเลยเข้าไปหลบในตรอกแคบๆ ซึ่งในเวลานั้นเอง แบคฮยอนก็ทำหน้าราวกับเจอผี

    “แบคฮยอน...” หญิงสาวที่เขาตามหากำลังทำหน้าแตกตื่นอยู่ในตรอกนั้น ใบหน้างดงามกับผมยาวประบ่าเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ที่น่าตกใจคือเธอมีคราบเลือดติดอยู่ที่ชุดด้วย รอยเลือดเป็นทางยาวน่ากลัวเลยทีเดียว

    “เธอเป็นอะไร!” แบคฮยอนวิ่งเข้าไปหาหญิงสาวแล้วรีบใช้เวทรักษาบาดแผลให้ทันที แสงสว่างละมุนตรงเข้าไปเติมเต็มบาดแผล แล้วจากนั้นผิวหนังที่เป็นรอยบากก็กลายเป็นผิวเรียบเนียนดังเดิมอย่างรวดเร็ว

    “แบคฮยอน... ทำไมออกมาข้างนอก” แทนที่หญิงสาวจะขอบคุณที่เขาทำแผลให้ ไม่สิ มนุษย์ย่อมไม่เคยเห็นเวทพลังสว่างมาก่อน ดังนั้นหยวนชานชานน่าจะถามเขาก่อนว่าเขาทำได้อย่างไร หรือทำสีหน้าตะลึงกับพลังหน่อย แต่ทำไมเธอถึงจับไหล่เขาเขย่าแล้วทำหน้าโกรธแบบนี้

    “ชานชาน กลับบ้านกัน” แบคฮยอนตัดสินใจไม่ตอบ เขาจับมือเธอเพื่อจะพากลับบ้าน หากแต่หญิงสาวไม่ขยับ

    “ฉันกลับยังไม่ได้ แบคฮยอน นายกลับไปก่อน” หญิงสาวพูดน้ำเสียงจริงจังเสียจนแบคฮยอนไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร

    “แต่...” เขาค่อนข้างงุนงงสับสนใจตอนนี้ หยวนชานชานไปทำอะไรมาถึงได้แผล แต่พอแบคฮยอนจะพากลับบ้านเธอก็ไม่ไปเสียอย่างนั้น

    “ไม่มีแต่ แบคฮยอน ฉันไม่เป็นไร”
    “แต่ฉันเป็น!” อีกครั้งกับการตวาดอีกฝ่ายแบบนี้

    แบคฮยอนไม่เข้าใจสองพี่น้องเลย จู่ๆ ก็มาให้ความสนิทสนมกับเขา ใส่ใจดูแลเขาอย่างดี แต่พอเขาให้ความเป็นห่วงและอยากดูแลบ้าง ก็ได้รับแต่คำว่าไม่เป็นไรๆ เขาเป็นสิ เป็นมากด้วย เป็นอะไรไม่รู้เนี่ย

    “แบคฮยอนเป็นอะไร บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า” หลังจากชานชานอึ้งกับเสียงตวาดของแบคฮยอนไปหลายวินาทีก็จับตัวเทวดาสำรวจว่าเป็นอะไรไหม แต่นั่นยิ่งทำให้แบคฮยอนรู้สึกไม่พอใจหนัก เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่ต้องมีคนมาดูแล เขาเป็นเทวดาอายุกว่าร้อยปีแล้ว อายุมากกว่าเธอเสียด้วยซ้ำ!

    แบคฮยอนปัดมือของชานชานออก และนั่นก็ทำให้เธออึ้งจนถลึงตามองเขา

    “ฉันเป็น! เป็นมากด้วย” ปากน้อยเบะออกราวกับน้อยใจเสียเต็มประดา “เธอจูบฉันแล้วเธอก็วิ่งหนีไป พอฉันมาตามหามาพาเธอกลับบ้าน เธอก็ไม่ไยดีฉันบอกให้ฉันกลับไป เธอทำอย่างนี้กับคนที่เป็นห่วงเธอได้ยังไง ชานชาน!”

    แบคฮยอนพูดจนหมดตามใจคิด หน้าอกร้อนหัวใจก็เต้นแรงแถมขอบตาร้อนผ่าว เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการถูกผลักไสนี้ทำไมถึงทำร้ายจิตใจนัก หรือเขาจะ... ชอบชานชานเข้าแล้ว?

    “แบคฮยอน ฟังนะ ฉัน...” ชานชานจับไหล่แบคฮยอนไว้แล้วบีบจนเจ็บ เธอพยายามพูดกับเขาช้าๆ หากแต่พูดไม่จบเพราะพลังมืดก่อตัวขึ้นมาระหว่างพวกเขาทั้งสองอย่างรวดเร็ว

    พลังมืดมากมายก่อตัวเกินกว่าแบคฮยอนจะต้านทานได้ ใจกลางพลังมีหลุมอากาศขนาดเล็กเปิดออกมาแล้วเขาก็ถูกมือปริศนาจับเข้าให้ ขณะที่กำลังงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น มือนั้นก็ดึงเขาเข้าไปในหลุมนั้นเรื่อยๆ พอรู้ตัวอีกครั้งแบคฮยอนก็พบว่าตนเองอยู่หน้าร้านขนมปังแล้ว

    “เซฮุน!” แบคฮยอนตวาดลั่นเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ดึงเขามา ลอร์ดมารใช้เวทพาเขามาถึงหน้าบ้านทั้งที่เขากำลังคุยกับชานชานเกือบจะรู้เรื่องแท้ๆ

    “เข้าไปในบ้าน!” แต่เซฮุนไม่สนใจคำตวาดของเทวดาน้อย ใบหน้าหล่อเหลาขี้เล่นของลอร์ดมารหนุ่มกลายเป็นหล่อเหลาแต่เคร่งเครียดผิดปกติ คิ้วเข้มได้รูปขมวดเข้าจนเกือบจะเชื่อมติดกัน ส่วนดวงตาก็มองอย่างระแวดระวังไปทั่ว เหงื่อเม็ดโตผุดพรายไม่หยุดตรงขมับ สีหน้าท่าทางของเซฮุนตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก ใครดูก็รู้

    “แต่ข้า...” แบคฮยอนพยายามจะเถียงว่าเขาต้องไปตามตัวหญิงสาวเมื่อครู่ แต่ก็ถูกขัดจังหวะอีกครั้ง

    “เข้าไปในบ้าน แบคฮยอน ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้างนอกอันตราย”
    “แต่เจ้าก็น่าเป็นห่วง เซฮุน มีอะไรรึเปล่า?”
    “ข้าไม่เป็นไร”

    อีกแล้ว ทำไมทุกคนรอบตัวเขาจะต้องบอกเขาว่าไม่เป็นไร เขาไม่ใช่เด็กอมมือนะที่จะต้องให้ใครมาปกป้อง เขาเองก็มีเวทติดตัวไม่น้อย ถึงจะไม่เก่งอย่างพวกซาร่าหรือเซฮุนแต่ก็พอป้องกันตัวและเขายังมีพลังรักษาอันยอดเยี่ยมอีกด้วย เดี๋ยวนะ พอพูดถึงพลังรักษาก็พบว่าแขนอีกข้างของเซฮุนที่ไม่ได้จับเขาไว้มีรอยเลือดเป็นทางยาวเลยนี่

    พอคิดได้ว่าอีกคนอาจบาดเจ็บ แบคฮยอนก็จับแขนข้างนั้นมาดูซึ่งเซฮุนก็ร้องเบาๆ ทันที นั่นไง บาดเจ็บจริงๆ ด้วย

    “เจ้าก็พูดแบบพวกเขาเลย ไม่เป็นไรได้ยังไง เป็นสิเป็น” แบคฮยอนพูดไปก็ท่องเวทรักษาขั้นกลางไปด้วย ไม่นานพลังสว่างจำนวนหนึ่งก็มาเติมเต็มแผลของเซฮุน แล้วเลือดก็หยุดไหล บาดแผลก็ไม่มีให้เห็นอีก

    “แบคฮยอน...เจ้าไม่ควรใช้พลังที่นี่” เซฮุนติอีกฝ่ายทันทีเมื่อบาดแผลสมานตัวเสร็จ

    “ข้าไม่โดนพญามารจับได้หรอกน่า เจ้าก็อยู่ตรงนี้ด้วยไง” แบคฮยอนเถียงกลับทันที มารตนนี้นะ เขาทำแผลให้ไม่ขอบคุณก็ว่าไป ยังมาติเขาอีก

    “เจ้าไม่เข้าใจ แถวนี้มัน...”

    แบคฮยอนกำลังสงสัยว่าแถวนี้มันมีอะไรก็เจอกับสิ่งนั้นเข้าให้ วิญญาณรูปร่างหน้าตาประหลาดส่งแสงสีเหลืองนวลปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าเขาและกำลังเริ่มกัดกินพลังสว่างที่เหลือจากปากแผลของเซฮุนเมื่อกี้อย่างเอร็ดอร่อย

    เซฮุนรีบเสกก้อนพลังมืดโจมตีใส่มันทันทีแต่วิญญาณนั้นกลับหลบทัน มันพุ่งมาทางแสงสว่างนั่นก็คือแบคฮยอนที่กำลังท่องเวทพร้อมรวมพลังอย่างหิวกระหาย

    ไม่ทันแน่ๆ แบคฮยอนโจมตีมันไม่ทันแน่ๆ เขารู้ตัวว่าพลังโจมตีของตัวเองไม่แกร่งพอจะสู้กับวิญญาณประหลาดนี้ ซึ่งก็จริงด้วย เมื่อพลังสว่างของเขายังไม่ทันแปรเปลี่ยนเป็นพลังโจมตีก็โดนวิญญาณดูดเอาไปจนหมด แถมไม่พอ เจ้านั่นยังทำท่าจะดูดตัวเขาไว้ด้วย

    แบคฮยอนยกมือกันตนเองจากเจ้าวิญญาณประหลาด คิดในใจว่าอาจจะไม่ทันแล้ว แต่เมื่อมันเข้ามาใกล้กลับสะท้อนเด้งกลับเหมือนกระทบอะไรบางอย่างเข้า

    อ้อ... บาร์เรียของซูโฮและเซฮุนนั่นเอง

    เมื่อรู้ตัวว่าป้องกันวิญญาณนั่นได้จริงๆ แบคฮยอนก็วิ่งไปทางเซฮุนทันที อีกฝ่ายเมื่อเห็นเขายังปลอดภัยก็โล่งใจมาก เซฮุนเข้ามากอดเขาไว้พลางปลอบขวัญ

    “ไม่เป็นไรนะแบคฮยอน ไม่เป็นไร” ถ้อยคำอบอุ่นของลอร์ดมารพาให้หัวใจอบอุ่น แต่พอเห็นว่ามือข้างที่กำลังลูบศีรษะตนเองมีเลือดไหล แบคฮยอนก็รีบจับมือเซฮุนไว้

    “ทำไมท่านบาดเจ็บอีกแล้ว” ปากบ่นแล้วมืออีกข้างก็รวมพลังมารักษาให้อย่างเร่งด่วน แต่คราวนี้แบคฮยอนกลับพบว่าพลังสว่างที่เขารวมรวมมามักถูกดูดออกไปสามส่วนตลอด พอเงยหน้ามองไปรอบถึงได้พบกับหายนะตอนนี้

    วิญญาณที่สะท้อนกลับบาร์เรียของแบคอยอนเหมือนจะไปเรียกเพื่อนมันมาเพิ่ม ต้องอธิบายหน่อยว่าวิญญาณพวกนี้ชื่นชอบพลังสว่างเป็นพิเศษ อย่างที่เคยบอกว่าพวกมันไม่มีพลังของตนเองจึงพยายามฉกฉวยพลังของผู้อื่นมา แต่พลังมืดเป็นพลังเฉพาะตนของมารซึ่งมารที่ใช้ได้ก็คือมารผู้เป็นเจ้าของพลังเท่านั้น พวกวิญญาณจึงไม่ค่อยดูดพลังมืดเข้าหาตัวเท่าไหร่

    ต่างจากพลังสว่าง พวกวิญญาณที่มีลักษณะเริ่มต้นเป็นดวงวิญญาณสีขาวจะชื่นชอบมากๆ ด้วยว่าพลังสว่างนั้นเป็นพลังที่เอื้อเฟื้อกับทุกสิ่งมีชีวิต ดังนั้นมันจึงไม่ต่อต้านใส่ผู้ใด แม้กระทั่งมนุษย์บางคนก็เคยเอาพลังสว่างที่เทวดาและพระเจ้าทิ้งร่องรอยเอาไว้เพื่อใช้ในการสร้างเวทง่ายๆ หรือกระทั่งบางคนก็สามารถรวบรวมพลังสว่างเอาไว้เองด้วยซ้ำ

    ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่พวกวิญญาณได้พลังสว่างมากพอ มันก็จะหนีออกจากนรกมาได้ ซึ่งโลกมนษย์นั้นก็เป็นเป้าหมายแรกที่มันมา โดยมันจะคอยกัดกินพลังสว่างที่มนุษย์เผลอรวบรวมมาได้จนร่างกายบิดเบี้ยวใหญ่โต และพอมันรวมได้ส่วนหนึ่ง จะสามารถสร้างร่างและแผลงฤทธิ์ได้มากจนทำให้โลกวุ่นวายได้เลยทีเดียว

    ตอนนี้แบคฮยอนเพิ่งแสดงออกไปว่าสามารถเรียกพลังสว่างมาได้มากมาย ดังนั้นพวกมันจึงมารุมมาตุ้มกันเหมือนกินบุฟเฟ่ต์โต๊ะจีนอะไรทำนองนั้นเลยทีเดียว

    “แบคฮยอน เจ้าอย่าใช้พลังสว่างอีก หลบอยู่หลังข้า” เซฮุนเหวี่ยงตัวแบคฮยอนเข้าไปด้านหลัง จากนั้นก็เรียกพลังมืดออกมากลุ่มใหญ่ เมื่อพลังสงบลงก็พบคันธนูและลูกศรจำนวนหนึ่งในมือลอร์ดมารหนุ่ม

    เซฮุนเอากระบอกลูกศรสะพายแล่งแล้วง้างคันธนูที่มีลูกศรสามลูกทันที เขาแปลงพลังมืดให้เป็นลมจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็นำก้อนพลังลมนั้นไปติดกับหางลูกศรราวกับติดเทอร์โบ เมื่อเล็งวิญญาณได้แล้วเขาก็ปล่อยลูกศรออกไปทันที

    วิญญาณจำนวนหนึ่งกรีดร้องและอีกจำนวนหนึ่งสลายหายไปทันที กระนั้นเซฮุนก็ยังง้างคันธนูต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุด วิญญาณค่อยๆ หายไปจนเหลือไม่กี่ตัว จนแบคฮยอนที่เกาะอยู่ด้านหลังเซฮุนถึงกับร้องไชโยรอแล้ว

    “มันยังไม่หมด เจ้ารอตรงนี้ก่อน” เซฮุนบอกให้แบคฮยอนรอเสร็จก็เดินออกไปเพื่อดูว่ามีวิญญาณหลงเหลืออยู่ที่ใดบ้าง ซึ่งเทวดาก็ว่าง่ายรออยู่นิ่งๆ ตรงนี้ไม่ไปไหน

    แต่ทันใดนั้น

    วิญญาณร่างใหญ่สุดที่โดนบาร์เรียของแบคฮยอนกระแทกไปนั้นปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าแบคฮยอนซึ่งรีบเอามือมาบังตนเองไว้ ทำให้วิญญาณนั่นทำร้ายเขาไม่ได้เพราะบาร์เรียสะท้อนอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่สะท้อนไปไกลอย่างครั้งแรกแล้ว

    วิญญาณรวบรวมพลังที่มันมีแล้วปรับรูปร่างขนานใหญ่ มันทำตัวเหมือนพวกอะมีบาที่ขยายตัวใหญ่ขึ้น จากนั้นตรงกลางก็มีหลุมรูปร่างคล้ายปากเกิดขึ้น และโดยที่แบคฮยอนไม่ทันหลบใดๆ วิญญาณร่างใหญ่ก็ ‘เขมือบ’ แบคฮยอนเข้าไปในคำเดียว

    เทวดาพยายามดิ้นรนขัดขืน เขาอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออกกับการโดนวิญญาณกลืนกินนี้ ดูเหมือนว่าบาร์เรียของเซฮุนจะไม่ทำงานแล้วเพราะสัตว์ประหลาดนี่กอดรัดและพยายามดูดพลังสว่างของเขาไม่หยุด เมื่อเขาพยายามดิ้นรนและรวมพลัง ก็กลายเป็นโดนมันกลืนกินไปหมด

    สติค่อยๆ เลือนหายไปจากสมองไปเรื่อยๆ แม้แต่หูก็ได้ยินไม่ถนัด

    เขาได้ยินเสียงคล้ายว่าจะเป็นเซฮุนและใครอีกคนหนึ่ง เสียงเหมือนผู้หญิง...หยวนชานชานอย่างนั้นหรือ ความง่วงกำลังคืบคลานเข้ามาทีละน้อย แบคฮยอนจับใจความสำคัญไม่ถูกแล้ว

    แต่แล้วเมื่อใกล้จะหมดสติแล้วนั่นเอง แสงสีดำจำนวนหนึ่งก็แหวกเข้ามาในร่างสีเหลืองของสัตว์ประหลาดพร้อมร่างของใครสักคนที่แบคฮยอนไม่คุ้นเคย ใครคนนั้นเข้ามาประคองเขาไว้ ในยามนี้แบคฮยอนตาพร่าเลือนมากๆ จึงเห็นไม่ชัดหากแต่ผมยาวนี่คล้ายชานชานอย่างมาก ไม่สิ อาจจะเป็นชานเลี่ยก็ได้

    แบคฮยอนจึงเผลอเอื้อมมือออกไปจับใบหน้าอีกฝ่ายทันที

    แต่เขารู้สึกว่าสติไม่หลงเหลือใดๆ แล้ว

    จากนั้นทุกอย่างตรงหน้าก็เหลือเพียงความมืดมิด









    talk
    วิญญาณคือดวงวิญญาณขาวๆ ถ้าใครนึกไม่ออกให้นึกถึงรูปถ่ายติดวิญญาณที่เป็นลูกไฟขาวๆ มันจะเป็นรูปร่างแบบนั้นเลย
    วิญญาณในนรกจะถูกใส่ความรู้สึกต่างๆ ให้เกิดความเจ็บปวด เดิมทีพวกมันจะไม่รู้สึกและจำอะไรไม่ได้ แต่พอได้รับความเจ็บปวด มันจะคืนความรู้สึกจะเริ่มมีรูปร่างขึ้นเล็กน้อยซึ่งตรงนี้หากวิญญาณเกิดสำนึก วิญญาณจะได้รับรู้ผลของกรรมชั่วตนเองและสามารถไปเกิดใหม่ได้ แต่ถ้าวิญญาณไม่สำนึกมันจะเกิดความแค้นแทน และบางตัวจะพยายามหลบหนีโดยการดูดพลังสว่างที่มันหาได้
    หรือบางทีมันก็ถูกเรียกออกมาโดยพ่อมดหมอผีก็ได้

    #luckyonecb
    @noeybaekbd

    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 9 ความจริงของชานยอล

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:40 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 9
    ความจริงของชานยอล





    ชานยอลตกใจมากเมื่อเขาเห็นแบคฮยอนถูกวิญญาณซึ่งกลายร่างเป็นปิศาจกลืนกินไปต่อหน้าต่อตา

    ร่างสูงของพญามารรีบแปลงร่างกลับจากรูปลักษณ์หญิงสาวกลายเป็นร่างมารที่มีเขาโง้ง หางยาวและปีกออกมาอย่างครบถ้วนทันที เขาคิดว่าจะสร้างความประหลาดใจให้เพื่อนสนิทอย่างเซฮุนไม่น้อย แต่พอเพื่อนอ้าปากพูด ชานยอลก็รู้ว่าโดนจับได้ตั้งนานแล้ว

    “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย ชานยอล” เซฮุนพูดแล้วก็ปล่อยร่างมารออกมาเช่นเดียวกัน ปีกที่น้อยกว่าชานยอลไปสองคู่ยังคงงดงามอย่างเคย จากนั้นทั้งสองก็เริ่มรวมพลังมืดเพื่อทะลวงปิศาจนั้นช่วยแบคฮยอนออกมา

    ในมือเซฮุนมีคันธนูและลูกศรที่ใหญ่กว่าเมื่อกี้ไปเกือบหนึ่งเท่าพร้อมเล็งใส่จุดอ่อนของปิศาจ และในมือชานยอลมีดาบซึ่งเคลือบด้วยไฟร้อนแรงพร้อมฟาดฟันแล้ว

    ทหารมารตนอื่นและหน่วยกำลังเสริมของเทวดาก็เริ่มมาถึงบางส่วน พอเห็นปิศาจซึ่งกลายร่างจากวิญญาณกำลังกลืนกินอะไรบางอย่าง บ้างก็เอามือปิดปากตนเองพร้อมเบิกตากว้าง เพราะปิศาจตัวใหญ่ขนาดนี้แสดงว่ามันต้องดูดกลืนพลังของเทวดาสักตนไปมากจริงๆ

    ธนูจากมือลอร์ดมารถูกส่งออกไปก่อนแล้วจากนั้นเมื่อปิศาจโดนตัดไปส่วนหนึ่ง พญามารก็ใช้ดาบไฟเข้าจัดการตัดชิ้นส่วนต่างๆ ของมันทันที มือใหญ่ฟาดฟันอย่างไม่หยุดยั้งแม้จะมีบาดแผลไม่น้อย แต่เพราะความร้อนใจและห่วงเทวดาตนนั้น ไม่นานปิศาจร่างยักษ์ก็โดนชานยอลฟันจนยับ

    แบคฮยอนโผล่ออกมาจากหลุมขนาดใหญ่ทันทีที่ปิศาจสลาย ร่างเล็กตกลงในอ้อมกอดของชานยอลพอดี ใบหน้าสวยซีดเผือด ปากก็พึมพำไม่ได้ศัพท์ ชานยอลรีบกอดร่างน้อยแนบอกเพื่อแผ่ความร้อนและพลังมืดที่แปรเป็นพลังเยียวยาให้ทันที เขาใจเสียอย่างหนักแล้วตอนนี้เพราะลำตัวแบคฮยอนมีบาดแผลจากการถูกปิศาจกลืนกินเต็มไปหมด เลือดไหลเป็นสายจนแทบหมดตัว

    “แบคฮยอน ไม่นะไม่” หมดมาดพญามารแล้วเมื่อชานยอลกอดอีกฝ่ายไว้ พลังของเขาไม่สามารถรักษาอาการหนักแบบนี้ได้ ต้องใช้พลังสว่างจำนวนมากแต่ตอนนี้เท่าที่เห็นก็มีแค่เทวดาขั้นกลางจำนวนปีกมากสุดสี่คู่เท่านั้น ชานยอลต้องการมากกว่านั้น เขาจะไม่ยอมให้แบคฮยอนเป็นอะไรเด็ดขาด

    “ชานยอล เจ้าใจเย็นก่อน เราต้องพาแบคฮยอนกลับไปรักษา” เซฮุนพยายามเข้ามาช่วยแต่กลับโดนปัดมือออกอย่างไม่ไยดี

    “ไม่ทันแล้ว แบคฮยอน เขา...” ชานยอลรู้สึกว่าตนเองเหมือนกำลังจะเป็นบ้า เมื่อกี้เขาน่าจะจัดการเจ้านั่นตั้งแต่ตอนอยู่ในตรอกแล้ว หากแต่เขาถูกแบคฮยอนพบตัวพอดี จึงต้องแปลงร่างเป็นหยวนชานชานไปก่อน นึกไม่ถึงว่าพอเซฮุนลากอีกฝ่ายกลับมาบ้านแล้ว ปิศาจตนนี้กลับตามมาอีก แล้วมันก็รู้ว่าแบคฮยอนมีพลังสว่างมากด้วย จึงตามมาเพื่อกลืนกินพลังอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละ

    พลังมืดของพญามารถูกเปลี่ยนเป็นพลังรักษาเรื่อยๆ แต่แบคฮยอนก็ยังไม่ดีขึ้น แม้บาดแผลส่วนใหญ่จะไม่มีเลือดไหลออกมาแล้วแต่ใบหน้าเทวดายังซีดเผือดไม่หาย ชานยอลไม่กล้าเคลื่อนย้ายแบคฮยอนไปไหนเลย เขากลัวว่าขยับนิดนึงแล้วเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดจะมีเลือดไหลจากแผลเปิด จึงได้แค่กอดเอาไว้อย่างนั้น ข้างแก้มมีความรู้สึกอุ่นๆ ด้วย เขาไม่แน่ใจว่าน้ำตากำลังไหลหรือไม่

    หากเขาเปิดเผยกับแบคฮยอนว่าชานชานคือเขาเองและไม่ทำให้แบคฮยอนเป็นห่วงจนออกไปตามหาคงไม่เป็นแบบนี้ ชานยอลแค่คิดว่าเขาดันเผลอจะมี ‘อะไร’ กับแบคฮยอนเข้าแล้ว จึงหลบไปทำงานเสียก่อน ซึ่งงานเขาตอนนี้ก็คือจัดการวิญญาณที่เซฮุนจัดการไม่ได้ นึกไม่ถึงว่ากำลังจัดการไอ้ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ดันเจอแบคฮยอนเข้าเสียอย่างนั้น

    “ขอโทษนะแบคฮยอน ถ้าข้าบอกเจ้าว่าเป็นข้าเอง ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะยอมรับไหม”

    มารหนุ่มรู้ดีว่าแบคฮยอนรังเกียจเขา พญามารที่เลือกลัคกี้วันสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ดูเลยว่าอีกฝ่ายเต็มใจมากับเขาหรือไม่ก็ลากเทวดาน้อยกลับมานรกด้วยกันเสียแล้ว จากนั้นก็ดันไปกอดอีกคนจากด้านหลังจนผวาแล้วยังปล้นจูบเขาง่ายๆ อีก แบคฮยอนคงโกรธมากจึงหนีออกมา เขาเข้าใจดี

    ดังนั้นเขาจึงคิดจะทำตัวดีชดใช้ความผิด ชานยอลลงทุนสร้างบ้านใหม่หนึ่งหลัง รวมทั้งให้ทหารมารมาเฝ้าบ้านหลังนี้ไว้หลายสิบตนด้วย จากนั้นจึงแบ่งจิตของตนเองเป็นสองฝั่ง เขาเอาความจริงจังเวลาทำงานไว้ในตัวชานเลี่ยและเอาความขี้เล่นทะเล้นใส่ใจคนอื่นไว้ในตัวชานชานซึ่งเป็นหญิงสาว

    สามวันตอนรอสร้างบ้านเสร็จนั้น ชานยอลติดตามแบคฮยอนไปทุกแห่ง คอยซื้ออาหารไปใส่ไว้ในถังขยะที่แบคฮยอนไปคุ้ย หรือบางทีก็เหมาเป็นเจ้าภาพอาหารแจกในวัด จนถึงวันที่สามบ้านและร้านขนมปังสร้างเสร็จ เขาจึงไปรับแบคฮยอนแต่ตอนนั้นก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเสียอย่างนั้น

    ชานยอลเข้าไปจัดการอันธพาลมนุษย์ด้วยพลังมืดหลายหมื่นหน่วยอย่างไม่จำเป็น ผลคือพวกนั้นเกือบตายจนต้องให้เทวดาแถวนั้นช่วยชีวิต จากนั้นร่างแบ่งทั้งสองของเขาก็พาแบคฮยอนมาไว้ที่บ้านได้สำเร็จ

    หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ชานยอลก็ยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขมากที่สุดในชีวิตมารนี้ การแปลงร่างเป็นหญิงสาวทำให้แบคฮยอนไม่รังเกียจเขาสักนิดและเสียงหัวเราะของเขาไม่เคยมีมากขนาดนี้มาก่อน ความสุขมันพุ่งสุดจนเขานึกอะไรพิเรนทร์ๆ อย่างบอกแบคฮยอนว่าเขาเองนั้นชอบอีกฝ่ายเข้าให้

    แม้ตอนนั้นจะบอกว่าชานเลี่ยเป็นคนชอบแต่ทั้งชานชานและชานเลี่ยก็คือชานยอลทั้งหมด ดังนั้นเมื่อแบคฮยอนบอกว่าไม่ชอบผู้ชายเขาจึงค่อนข้างผิดหวัง อยากจะรู้นักว่าเมื่อโดนจูบโดยคนที่เขาบอกไม่ชอบนั้นจะเป็นยังไง

    แล้วมันก็เลยเถิดจนเกือบจะมีอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาถึงกับทำตัวไม่ถูก ต้องแสร้งหน้าแดงแล้ววิ่งออกจากบ้าน ยอมรับว่าตอนนั้นงี่เง่ามากที่ไม่ให้ร่างชานเลี่ยตามมาคุ้มครองแบคฮยอนไว้ แต่พอเห็นเซฮุนมาพาเทวดาตัวเล็กกลับบ้านไป ชานยอลจึงตัดสินใจทิ้งร่างชานเลี่ยดูแลแบคฮยอนเพียงลำพัง และส่งร่างชานชานออกไปทำงานเพื่อดับอารมณ์

    ในตอนที่แบคฮยอนวิ่งออกจากบ้านอีกครั้ง พบว่าร่างชานเลี่ยวิ่งตามอีกคนไม่ทันอีก จึงเรียกร่างทั้งสองมารวมกันแล้วออกตามหาเทวดาน้อย แต่ก็อย่างที่เล่าไป ดันเจอวิญญาณตัวเอ้ไปได้ จนตอนนี้ก็ไม่ระวัง ทำให้แบคฮยอนบาดเจ็บหนักจากการถูกกลืนกินอีก ชานยอลโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับความผิดนี้

    “ฟื้นสิ แบคฮยอน ฟื้นสิ” พึมพำเสียงเบาแต่แบคฮยอนก็ยังหลับตาหน้าซีด “อย่าเพิ่งจากข้าไป ข้ายังไม่ได้บอกรักเจ้าเลย” ชานยอลจูบหน้าผากและเรียกเทวดาในอ้อมกอดอีกครั้ง ได้โปรดแบคฮยอน กลับมาให้เขาบอกรักก่อน ได้โปรด

    แต่แล้วเหมือนปาฏิหาริย์จะมีจริงเมื่อมีเสียงเปรี้ยงที่คุ้นเคยหนึ่งครั้งแล้วตรงหน้าเขาก็ปรากฏร่างเทวดาผู้มีหกปีก มีพลังรักษาสูงสุดเท่าที่เคยเจอมา

    อี้ชิงนั่นเอง มาพร้อมกับลอร์ดมารมือซ้ายของเขา ผู้สามารถเทเลพอร์ตไปทุกที่ได้อย่างใจนึก

    “ชานยอล เจ้าถอยไปก่อน” ลัคกี้วันลำดับแรกของชานยอลมาถึงก็ออกคำสั่งเฉียบขาด ชานยอลจึงวางแบคฮยอนไว้ในอ้อมกอดเทวดาอาวุโส หลังจากนั้นเมื่อพลังสว่างรอบตัวอี้ชิงหายไปเกือบหมด แพขนตาหนาของเทวดาตัวน้อยก็กะพริบปริบๆ

    “นี่ข้า...” แบคฮยอนพูดได้แค่นั้นแล้วก็หลับไปอีก สร้างความตกใจให้ชานยอลจนต้องพุ่งถลาไปดึงร่างเล็กมาไว้แนบกายอีกครั้ง

    การกระทำนี้ทำเอาอี้ชิงซึ่งใช้พลังรักษาแบคฮยอนไปมากมายต้องหัวเราะเบาๆ ด้วยความเอ็นดู

    “เขาแค่หลับไปน่ะชานยอล เลิกกังวลได้แล้ว” อี้ชิงหัวเราะเบาๆ พลางหันกายไปดูความเรียบร้อยส่วนอื่นต่อ แต่พอลุกไปนิดหน่อยก็ยืนเซจนเซฮุนต้องมาประคองไว้

    “พวกเจ้าจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อย ส่วนพวกเทวดา ฝากเยียวยามนุษย์ที่ได้รับลูกหลงด้วย” เซฮุนสั่งงานกับลูกน้องด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดเพราะพญามารกำลังประคองสนมสุดที่รักไว้ไม่ว่างมาแจกแจงแล้ว เขาพยุงอี้ชิงไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็พูดกับลอร์ดมารมือซ้าย

    “เจ้าพาเขามาก็พาเขากลับซะ แล้วเรียกยานฉุกเฉินของนรกมาด้วย จะได้พาสนมกับพญามารกลับ” เซฮุนยื่นอี้ชิงให้กับลอร์ดมารมือซ้าย จากนั้นก็สั่งอย่างกับเป็นเจ้านายซึ่งมารที่โดนสั่งก็ยิ้มรับกวนตีนใส่ด้วย

    “ยังจะมายิ้มอีก ข้ายังไม่ได้สะสางกับเจ้านะจงอิน” เซฮุนอดไม่ได้ ต้องคาดโทษหน่อย เรื่องทั้งหมดก็เกิดจากเจ้านี่แหละ

    “แล้วเจ้าว่าไม่ดี?”
    “อืม อาจจะดีก็ได้ ในเมื่อชานยอลรักแบคฮยอนขนาดนี้ ข้าก็คงไม่ขัดข้อง ซูโฮก็เช่นกัน”
    “ข้าวางแผนไว้แล้วน่า ทีนี้ก็ขอบคุณได้” มารมือซ้ายยังอวดดีอีก มันน่าตบให้รู้สำนึก
    “ยังไม่จบหรอก แบคฮยอนยังไม่รับรักพญามารของเราเลยนะ” เซฮุนกล่าวพลางยิ้มเยาะ
    “แล้วเดี๋ยวกลับนรกไป เจ้าจะรู้เอง” จงอินยิ้มเยาะกว้างกว่า จากนั้นก็พาอี้ชิงหายไป

    เหลือไว้แต่ใบหน้าโล่งใจของมารมือขวา หากตอนนี้พญามารรักเทวดาน้อยของเขาอย่างจริงใจแล้ว คงไม่ต้องมีอะไรห่วงมาก จะมีก็แต่แบคฮยอนนั่นแหละที่เมื่อไหร่จะรับรักอีกฝ่ายสักที เขากับซูโฮจะได้ไม่ต้องลำบากสร้างบาร์เรียอีก


    ****lucky one and monster****


    แบคฮยอนรู้สึกตัวตื่นก็ปวดเมื่อยตัวแบบประหลาด นี่เขานอนไปกี่วันกี่คืนกันแน่ ทำไมถึงได้ปวดเนื้อปวดตัวขนาดนี้ พอจะยกมือตัวเองขึ้นมาตบๆ ไหล่หน่อยก็พบว่ามือข้างซ้ายไม่ว่างเสียแล้ว

    มือของเขาถูกกอบกุมไว้ด้วยมือใหญ่หนาหนักคู่หนึ่ง เจ้าของมือกำลังฟุบหลับข้างเตียงเห็นเพียงเส้นผมสีแดงเพลิงซึ่งแบคฮยอนบอกได้เลยว่าถึงไม่เงยหน้าขึ้นมาเขาก็รู้ว่าใคร

    ก็มีเพียงพญามารเท่านั้นที่สีผมแบบนี้

    “แบคฮยอน... อย่ารังเกียจข้า” กำลังจะสะบัดมือออกจากตัวอันตรายอันดับหนึ่งในชีวิต แบคฮยอนก็ได้ยินประโยคที่ทำให้รู้สึกผิด น้ำเสียงอ่อนโยนนี้เขารู้สึกคุ้นเคยเหลือเกิน ราวกับได้ยินมันมาจากที่ไหนมาก่อน แล้วพญามารนี่เป็นห่วงเขามากเชียวหรือ ถึงได้มานั่งเฝ้าเขาข้างเตียงและเอามือไปจับจนสะบัดไม่ออกแบบนี้

    “มะ ไม่รังเกียจก็ได้” แบคฮยอนบ่นพึมพำแล้วพาตัวเองนอนลงเตียงไปตามเดิม เมื่อเขาวางมือลงพญามารที่ฟุบเอาหน้าคว่ำลงก็พลิกใบหน้าให้เห็นซีกหนึ่ง คราแรกแบคฮยอนมองไปก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของมารอย่างเห็นได้ชัด

    เครื่องหน้าหล่อเหลานั้นดึงดูดให้แบคฮยอนค้ำตัวกับข้างเตียงขึ้นมานิดจากนั้นก็พิจารณาดูสักหน่อย จมูกโด่งรั้นมีรอยแดงจางๆ เหมือนผ่านการร้องไห้ นี่พญามารร้องไห้ให้เขาด้วยหรือนี่ ส่วนปากอิ่มเอิบนั้นติดจะซีดนิดๆ เจ้านี่ป่วยหรอกเหรอเนี่ย แต่โดยรวมแม้จะอยู่ในสภาพเหนื่อยสุดๆ แต่พญามารก็ยังคงหน้าตาดี มิน่าล่ะ สาวๆ เหล่านั้นถึงได้หลงนัก

    แบคฮยอนมองใบหน้าเหนื่อยล้าแล้วรู้สึกแปลกๆ เขายกมือข้างขวาที่ไม่โดนจับไว้ไปทางใบหน้าชานยอล จากนั้นก็เอาผมที่ปรกหน้าผากอีกคนออกให้อย่างใจดี แล้วทำไมไม่รู้เหมือนจมูกแดงๆ นั่นน่าบีบนัก เขาจึงเอามือบีบๆ ให้หายหมั่นเขี้ยว นี่แน่ะๆ จะงาบก้นเขาน่ะเร็วไปล้านปีแสงนะ

    แต่ก็ตกใจสุดขีดเมื่อพญามารเปิดเปลือกตาขึ้น

    ร่างเล็กรีบขยับตัวลงนอนแบบเนียนๆ เมื่อเจ้าของร่างใหญ่ตื่นแล้ว จากนั้นก็แกล้งทำเป็นปิดตาอย่างรวดเร็ว ทำไมเทวดาอย่างเขาจะต้องทำเป็นหลับอีกเนี่ย แบคฮยอนก็ไม่เข้าใจ

    “เจ้าตื่นแล้วหรือ” พอกังวลว่าอาจจะโดนอีกฝ่ายดุที่ไปบีบจมูกเข้า ก็พบกับเสียงนุ่มๆ ปนแหบของพญามารเสียอย่างนั้น แบคฮยอนทำตัวไม่ถูก จะบอกว่าไม่ตื่นก็ไม่กล้า หรือจะลุกขึ้นไปสบตากับชานยอลก็รู้สึกตัวเองหน้าร้อนแปลกๆ เสียอย่างนั้น จึงได้แต่นอนเกร็งตัวต่อไป

    “ถ้าเจ้าไม่ตื่น งั้นข้าก็จูบเจ้าได้สินะ”
    “ตื่นแล้วๆ” พอโดนขู่ว่าจะจูบ เทวดาจึงเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เพราะลืมระวังตัวเลยเอาหัวไปฟาดกับหัวพญามารเข้าให้ “อูย เจ็บๆๆๆ” แบคฮยอนต้องร้องอย่างไม่อายเลยทีเดียว

    “เจ้า! เอาหัวมาชนข้าทำไม” พอหายเจ็บก็เลยแผลงฤทธิ์ใส่พญามารเสียอย่างนั้น

    “เอ้า ก็เจ้าเหมือนไม่ตื่น ข้าก็กำลังจะปลุกไง เจ้านั่นแหละเอาหัวมาชนข้าเอง” ชานยอลเถียงกลับอย่างไม่ลดละเช่นกัน

    “ก็ ก็ข้า...” แบคฮยอนหาข้ออ้างว่าเขาตื่นแล้วก็กลัวจะโดนคาดโทษที่ไปบีบจมูกไว้อีก จึงอ้ำๆ อึ้งๆ

    “เอาน่า ไม่เจ็บมากใช่ไหม เจ้าตื่นก็ดีแล้ว” กลายเป็นชานยอลยกมือมาลูบหัวเขาเบาๆ พร้อมกับยิ้มให้ แบคฮยอนเหมือนจะตามไม่ทันแล้วอ่า

    “เจ้าเพิ่งตื่นอาจจะมีปวดตัวหรือหิว เพราะเจ้านอนไปตั้งสามวัน เดี๋ยวข้าเรียกหมอและมารรับใช้ให้” ชานยอลเอ่ยกับแบคฮยอนอย่างใจดีจากนั้นก็ไปเรียกมารข้างนอกมา เมื่อมารสาวที่คอยรับใช้เขาเข้ามาแล้ว ชานยอลก็จากไปพร้อมกับบอกว่ามีงานด่วน เชิญแบคฮยอนพักผ่อนตามสบาย

    มีงานด่วนแต่มีเวลามานั่งเฝ้าเขาแล้วเอามือไปกุมจนชื้นแฉะเนี่ยนะ ให้ตายก็ไม่เชื่อ

    แบคฮยอนบ่นพึมพำถึงพญามารชาเย็นไปพักหนึ่งก็มีคนทยอยมาเยี่ยมมากมาย อี้ชิงเข้ามาเป็นคนแรกคอยเล่าเหตุการณ์ให้เขาฟัง จากนั้นเมื่อสามสาวซาร่า นาอึน จองฮวาเข้ามา อี้ชิงก็เล่าใหม่โดยมีรายละเอียดตอนที่แบคฮยอนสลบด้วย

    ท่านแม่ของสามสาวเล่าว่าแบคฮยอนเมื่อได้รับการเยียวยาจากเวทขั้นสูงสุดก็ฟื้นขึ้นมาครั้งหนึ่งก่อนจะหลับไปให้อ้อมกอดชานยอล(ถึงตรงนี้จองฮวาก็ถลึงตามองเขาหนึ่งทีแรงๆ) จากนั้นเมื่อยานฉุกเฉินไปรับกลับมาที่นรก แบคฮยอนก็นอนหลับไปถึงสามวันเต็ม โดยที่มีผู้มาเฝ้าไข้ไม่ขาด แต่มาบ่อยสุดคงไม่พ้นพญามารผู้เป็นห่วงแบคฮยอนมากกว่าใครและออกห้องไปเมื่อครู่นี้(นาอึนขูดเล็บกับเตียงแบคฮยอนเป็นรอยยาวแล้วในตอนนี้)

    แบคฮยอนฟังเรื่องราวทั้งหมดก็มีทั้งประหลาดใจและซาบซึ้งใจ เขานั้นหากไม่ได้อี้ชิงช่วยชีวิตไว้ก็คงตายแล้วแน่ๆ เทวดาน้อยจึงเข้าสวมกอดท่านแม่เสียยกใหญ่ ต่อไปเขาจะเรียกอี้ชิงว่าท่านแม่บ้าง เพราะเทวดาอาวุโสนี้เหมือนเป็นผู้มอบชีวิตใหม่ให้แบคฮยอนเลยทีเดียว

    แต่ฉากประทับใจไม่ได้อยู่นานนักหรอกเพราะท่านแม่กลับบอกออกมาว่า

    “ในเมื่อท่านชานยอลพอใจในตัวเจ้า ดังนั้นข้าว่าเราต้องเอาบทเรียนเกี่ยวกับการเอาตัวรอดมาใช้ให้หนัก ต่อไปเจ้าจะต้องฝึกหนักกับซาร่า นาอึนและจองฮวานะแบคฮยอน” อี้ชิงพูดเหมือนกับว่าจะส่งตัวเขาเข้าห้องหอกับพญามารนั่นในวันพรุ่งนี้ ต้องเข้าบทเรียนเจ้าสาวกับรุ่นพี่ ทำเอาแบคฮยอนรู้สึกเหมือนกำลังถูกท่านแม่จับแต่งงานกับฮ่องเต้อะไรทำนองนั้น เดี๋ยวนะ ตอนนี้เขาก็มีฐานะเป็นสนมอยู่แล้วนี่นา

    “แต่ท่านแม่ขอรับ ข้าไม่ได้รักเขา...” แบคฮยอนบอกตามตรงแล้วก็ทำให้สันหลังเสียววาบแบบที่ไม่ได้เจอมานาน สามสาวนั่นจ้องจนตัวเขาแทบเป็นรูกว่าล้านรูแล้วตอนนี้ พวกเธอพูดปากขมุบขมิบว่า ท่านชานยอลรักเจ้าแล้วแต่เจ้าไม่รับรักเนี่ยนะ เอาอะไรมาพูด พร้อมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกันใหญ่ ซึ่งตรงนี้บอกเลยว่าแบคฮยอนงงไม่น้อย เอ๋ พวกนางดีใจที่ชานยอลรักเขางั้นเหรอ

    “พวกเจ้า... พวกเจ้าไม่ใช่ว่าเอ่อ กับท่านชานยอล” แบคฮยอนพูดไม่ถูกว่าจะต้องเรียกอะไรเพราะเขาก็เห็นชัดๆ ว่าสามสาวเหมือนจะหลงรักพญามาร แต่ทำไมตอนนี้เหมือนจะหลีกทางให้เขากันล่ะ

    “เจ้านี่มันไร้เดียงสาจริงๆ แบคฮยอน” กลายเป็นซาร่าถอนหายใจก่อนจะพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบพี่สาวพูดกับน้องชาย

    “ข้าไม่ไร้เดียงสานะ ข้าอายุร้อยเอ่อ ร้อยเจ็ดปีแล้ว” แบคฮยอนกำลังจะพูดว่าเขาอายุตั้งร้อยกว่าปีแล้วก็ลืมไป ตรงหน้านี้ท่านแม่ก็สองพันกว่าปีเข้าไปแล้ว ไม่นับว่าสามสาวเป็นลัคกี้วันลำดับก่อนหน้าเขาหลายลำดับ แต่ละลำดับก็ร้อยปี ดังนั้นไม่มีใครอายุน้อยกว่าเขาเลยสักตน แบคฮยอนอยากตบศีรษะตัวเองในความปากเก่งนัก

    “ที่เราขู่เจ้าไว้น่ะ เราไม่ได้ขู่เพราะเรารักท่านชานยอลในเชิงชู้สาวหรอกนะ” ซาร่าพูดต่อ “แต่เราขู่เพราะเรากลัวเจ้าจะมาทำให้ท่านชานยอลลำบากใจต่างหาก เรานึกว่าเจ้าหลงรักท่านชานยอลแล้วจะมาหลอกท่าน เราจึงต้องกันเจ้าไว้”

    หา? เขาเนี่ยนะจะมาหลอกพญามารนั่น

    “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยต่างหาก ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพญามารเลือกข้า จนถึงพิธีส่งมอบตัว ท่านตาก็เป็นผู้ยัดข้าเข้ามาในรถไฟ ข้าไม่รู้เรื่องเลย” แบคฮยอนพูดแล้วก็รู้สึกเหมือนเป็นเหยื่อนิดๆ ที่ผ่านมาสามสาวทำกับเขาเหมือนไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกันเพราะเขาเหมือนจะมาหลอกชานยอลเนี่ยนะ โอ๊ย เขายังกลัวพญามารนั่นมาพรากความบริสุทธิ์ก้นตัวเองอยู่เลย คิดไปกันได้

    “แต่ที่จริงเราก็รักท่านชานยอลจริงๆ นั่นแหละ” นาอึนกล่าวเสริม

    “ทำยังไงได้ล่ะ ก็ท่านเขาไม่รัก” จองฮวาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ทำเอาแบคฮยอนอยากจะดึงเธอมากอดปลอบ ถ้าไม่ติดว่าเขายังจำได้กับความรู้สึกมาร์ชแมลโล่อัดหน้าอยู่น่ะนะ

    “งั้นแสดงว่าท่านชานยอลของพวกเจ้าไม่ เอ่อ ไม่มีอะไรกับพวกเจ้าเลยงั้นเหรอ?” คราวนี้แบคฮยอนขอถามบ้าง เขานึกว่าอย่างพญามารนั่นจะผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเสียอีก

    “งั้นเรื่องนี้ข้าจะเล่าให้ฟังเอง” อี้ชิงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

    เริ่มต้นว่าชานยอลเป็นพญามารเมื่ออายุได้สี่ร้อยกว่าปีเท่านั้น ซึ่งนั่นเรียกว่ายังเด็กสำหรับผู้ได้รับตำแหน่งนี้ เขานั้นเรียนรู้มาจากพญามารรุ่นก่อนว่าจะต้องเลือกลัคกี้วันที่เก่งกาจและหน้าตาดี แถมยังต้องใช้ลัคกี้วันเป็นที่ระบายความใคร่ด้วย ชานยอลรู้เท่านี้ จากนั้นเขาก็เลือกอี้ชิงซึ่งมีพลังอยู่ในระดับร้ายกาจ หน้าตาดี และดูจะถึกทนสำหรับการระบายความใคร่

    อี้ชิงเล่าว่าตอนนั้นชานยอลเหมือนเด็กเล็กๆ พาอี้ชิงมานรกแล้วก็เห่อมากๆ แม้อี้ชิงจะทุกข์ใจเพราะทราบว่าตนอาจจะต้องเป็นที่ระบายความใคร่ของพญามาร แต่ชานยอลก็ปลอบเขาจนหายเศร้าในที่สุด หลังจากนั้นชานยอลก็ติดอี้ชิงเหมือนน้องชายติดพี่ชาย เขาเอาแต่ชมว่าอี้ชิงเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ คอยอ้อนเหมือนลูก ซึ่งคำว่าท่านแม่นั้น ชานยอลเป็นผู้เริ่มเรียกนั่นเอง

    จนครบร้อยปีผ่านไป อี้ชิงจึงตัดสินใจดูแลลูกชายที่เป็นเหมือนน้องชายตนนี้ต่อไป ซึ่งร้อยปีต่อๆ มาชานยอลก็ยังคงเลือกลัคกี้วันแบบเดิมคือเอาคนเก่งไว้ก่อน แต่ด้านหัวใจนั้น ชานยอลกลับยังไม่ชอบใครจริงจังนัก มีบ้างที่เขาเลือกลัคกี้วันบางตนเพื่อระบายความใคร่ หากแต่เมื่อครบร้อยปีเทวดาตนนั้นเมื่อรู้ว่าชานยอลไม่ได้รักก็ขอเลือกไปเกิดแทน

    และสามสาวซาร่า นาอึน จองฮวาก็เป็นลัคกี้วันที่เก่งกาจจนชานยอลไม่คิดอยากใช้พวกนี้เป็นที่ระบายความใคร่ ดังนั้นทั้งสามจีบก็แล้ว ยั่วก็แล้วอย่างไร ชานยอลผู้จริงจังกับงานก็จะคิดว่าเป็นล้อเล่นเรื่อยไป จริงๆ แล้วเขาค่อนข้างอ่อนโยนกับพวกเทวดาเป็นพิเศษด้วยซ้ำ ดังนั้นแม้ไม่ได้รับความรักกลับมาแต่สามสาวก็ไม่ไปไหน ยังคงรับใช้พญามารด้วยความซื่อสัตย์อยู่นั่นเอง

    แบคฮยอนได้ยินเรื่องราวต่างๆ ก็ยอมรับว่าอึ้งไม่น้อย ดูจากใบหน้าหล่อเหลาจริงจังและดูร้ายนิดๆ ของชานยอลแล้ว เขานึกว่าพญามารนั่น จัดการ ‘ฟัน’ อี้ชิงตั้งแต่แรกเสียอีก นึกไม่ถึงว่าขนาดซาร่า นาอึนและจองฮวาสวยเซ็กซี่ขนาดนี้ชานยอลยังไม่สนใจเลย แถมยังชื่นชมเรื่องความเก่งกาจอีกต่างหาก นี่พญามารจะทำตัวให้สมกับเป็นมารหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร หา?

    เอ่อ แต่ก็ไม่ต้องก็ได้ ไม่อย่างนั้นเขาว่าเทวดาแรงน้อยตัวน้อยอย่างเขาคงได้เสร็จพญามารตั้งแต่วันแรกแน่ๆ คิดดูว่าก้นน้อยๆ ของเขาอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ก็คงต้องขอบคุณในความไร้เดียงสาของชานยอลบ้างแล้ว จะว่าไปนิสัยของชานยอลนี่ช่างเหมือนสาวน้อยเสียจริง บริสุทธิ์อ่อนโยนเสียยิ่งกว่ามนุษย์ผู้หญิงเสียอีก

    เดี๋ยวนะ พอพูดถึงมนุษย์ผู้หญิงก็...

    “ท่านแม่อี้ชิง แล้วหยวนชานชาน เอ่อ คือผู้หญิงที่ช่วยเหลือข้าตอนที่อยู่บนโลกมนุษย์ล่ะขอรับ” แบคฮยอนรู้สึกเหมือนเพิ่งนึกได้ แล้วหญิงสาวที่ยังติดค้างกับเขาคนนั้นล่ะ หายไปไหน ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้

    “เอ๋ หญิงสาวไหน พอข้าไปถึงโลกก็มีเพียงเจ้า ชานยอล แล้วก็เซฮุนเท่านั้นนะ ไม่มีหญิงสาวไหนสักหน่อย” อี้ชิงทำท่าครุ่นคิดสักครู่ “จะมีก็แต่ซาร่าที่ตามไปตอนหลังพร้อมยานฉุกเฉินนะ นอกนั้นก็ไม่มีหญิงสาวที่ไหนเลย”

    “ก็หญิงสาวเจ้าของร้านขนมปังไงขอรับ” แบคฮยอนยังพยายามถามข่าวคราว แม้เขาจะรู้ว่าหากมีมนุษย์อยู่ที่นั่นก็อาจจะไม่เหลือชีวิตแล้วก็ตาม ในเมื่อเขาก็เกือบไม่รอด

    “ร้านขนมปังไหน ไม่มีนี่แบคฮยอน ข้าว่าเจ้าจำผิดแล้วล่ะ” อี้ชิงตัดบท แล้วแบคฮยอนก็ทำหน้าเศร้าทันที ท่านแม่ตัดสินใจว่าแบคฮยอนกำลังเหนื่อยจึงบอกให้นอนพักอีกนิด แล้วหลังจากแบคฮยอนนอนลงไปอีกครั้ง เทวดาทั้งสี่ก็จากไปเพื่อให้แบคฮยอนพักผ่อนจริงจัง

    เทวดาหนุ่มก็ตัดสินใจหลับตาลงอีกครั้งเพราะเมื่อครู่การรับรู้ความจริงของพญามารทำให้เขารู้สึกเหนื่อยไม่น้อยเช่นกัน แม้จะกังวลเกี่ยวกับหยวนชานชานแต่เพราะร่างกายยังมีอาการล้าจึงหลับไปในที่สุด

    แกรกๆ

    แบคฮยอนลืมตาตื่นอีกครั้งก็พบกับเสียงแปลกๆ

    เสียงนั้นดังอยู่ที่ประตูเขาจึงหันไปทางนั้น แสงสว่างไม่ค่อยชัดเจนนัก จึงลุกจากเตียงไปมองใกล้ๆ แต่พอมองไปมองมาก็คุ้นเคยอย่างประหลาด ใบหน้านั้น รูปร่างแบบนั้น แล้วยัง...

    “แบคฮยอน”

    น้ำเสียงนั่น! หยวนชานชานนี่นา!




    talk
    ผีหลอกแล้วเพคะ พระสนม
    #luckyonecb
    @noeybaekbd
    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 10 เทวดาตัวร้ายกับนายพญามารใสซื่อ

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:41 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 10
    เทวดาตัวร้ายกับนายพญามารใสซื่อ






    แบคฮยอนเร่งเดินไปให้ทันหญิงสาวข้างหน้า แม้จะเร็วขนาดไหนก็เหมือนจะไม่ทันเพราะหยวนชานชานดูห่างไกลออกไปทุกที จนกระทั่งเธอหยุดยืน ณ ใจกลางสวนกุหลาบ แบคฮยอนถึงได้ตามมาใกล้เธอจนได้

    “ชานชาน” เทวดาหนุ่มเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือไปจับอีกคนช้าๆ แม้จะไม่เข้าใจว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ แต่เขาอยากเห็นเหลือเกินว่าหญิงสาวยังปลอดภัยดี ไม่ได้หายจากเขาไป

    แต่เมื่อแบคฮยอนแตะมือลงกับไหล่บอบบางนั้น เขาก็รู้สึกถึงความเหนียวหนืดติดมือ แบคฮยอนเอามือตัวเองมาดูก็ต้องตกตะลึงเพราะนั่นคือเลือดสดๆ จำนวนหนึ่ง เขาถึงกับมือสั่นแล้วมองไปทางหญิงสาวอีกครั้ง ครานี้ชานชานหันหน้ามาหาเขาแต่ใบหน้างดงามของเธอกลับไม่เป็นเช่นเดิม

    เพราะมันเต็มไปด้วยเลือด ทั่วใบหน้าของชานชานมีแต่เลือด แม้แต่นัยน์ตาสดใสก็ถลนออกมาพร้อมกับเลือดสดๆ จนแบคฮยอนผงะถอยหลัง ประจวบเหมาะว่าเขาสะดุดแท่งไม้จึงล้มลงตรงนั้นแล้วหญิงสาวที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดก็พูดด้วยเสียงอันน่าขนลุก

    “แบค...ฮยอน... มา...หา...ฉัน...สิ...แบค...ฮยอน” มือยืดยาวขยับมาหาเทวดาหนุ่มผู้หวาดกลัวจนฉี่จะราด เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมหยวนชานชานเป็นแบบนี้ นี่คือผีใช่ไหม แต่เขาอยู่ในนรกนะ ถ้าเป็นบนโลกมนุษย์นั้นยังพอมีผีที่หมายถึงวิญญาณหลุดการจับกุมของมาร แต่ผีมาที่นี่ได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ

    “ชาน...ชานชาน ทำไมเธอถึง...” แบคฮยอนค้นพบว่าเขาพูดได้อย่างยากเย็นนัก เหมือนเขาจะร่างแข็งไปหมดแล้ว บ้าจริง

    “ฉันตายแล้ว แบคฮยอน แต่นายไม่ต้องกลัว แค่กๆ เราจะไปด้วยกัน เราจะไปด้วยกัน” ผีหยวนชานชานว่าพลางสำลักก้อนเลือดออกมาอย่างน่ากลัว เลือดบางส่วนกระเซ็นใส่หน้าแบคฮยอนด้วย เขารู้สึกมือเย็นไปหมด

    “ไม่ ชานชาน เธอตายแล้วก็ต้องอยู่ส่วนเธอ” เทวดาหนุ่มใจดีเข้าสู้

    “แบคฮยอนนนนนนน” แต่ผีหญิงสาวก็ยื่นมือมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายปากอันเต็มไปด้วยเลือดนั้นก็เข้าใกล้มาทีละน้อย แบคฮยอนรู้สึกไม่ไหวแล้ว เขาจะร้องให้คนช่วยก็ร้องไม่ออก จนสุดท้ายเมื่อชานชานจับคางเขาไว้แล้วเอาปากมาสัมผัส...

    แบคฮยอนก็รู้สึกสติดับวูบไป...

    ...

    ......

    “เฮือก!”

    แบคฮยอนตื่นขึ้นพร้อมเหงื่อแตกพลั่ก เขาฝันร้ายหรือนี่ แต่ฝันช่างเหมือนเสียจริง ฝันอะไรกันทำไมเขาเหมือนจะได้รับสัมผัสจากหญิงสาวจริงๆ

    “ตื่นแล้วหรือ แบคฮยอน” เป็นอี้ชิงที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมอาหารกลิ่นหอมฉุย

    “ท่านแม่!” เมื่อเห็นเทวดาอาวุโสเข้ามานั่งลงข้างเตียงเขา แบคฮยอนก็พุ่งเข้าไปกอดแล้วร้องไห้วอแวกับอีกฝ่ายทันที

    “เป็นอะไรแบคฮยอน ฝันร้ายหรือ ไม่เอาน่าเด็กน้อย” อี้ชิงลูบหลังเทวดาเด็กอย่างอ่อนโยน พอสักพักแบคฮยอนสงบลงจึงถาม

    “เจ้าฝันว่าอะไร เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ”

    แบคฮยอนจึงเล่าเรื่องราวที่เขาเจอมาเมื่อคืนอย่างไม่ปิดบัง เล่าไปอี้ชิงก็หัวเราะไปเพราะแบคฮยอนคิดว่ามันเป็นเรื่องจริงแต่ท่านแม่กลับบอกว่าเจ้าฝันไปอย่าคิดมาก

    แต่ทำไมเขาจะต้องฝันอะไรอย่างนี้ด้วยล่ะ ตกลงชานชานตายแล้วอย่างนั้นหรือ แบคฮยอนคิด

    “ท่านแม่ ช่วยข้าตามหาหยวนชานชานได้ไหมขอรับ”

    “เจ้าจะทำอย่างไรกับนาง ตามหาแล้วก็พานางมาที่นี่อย่างนั้นหรือ” อี้ชิงถามกลับพาให้แบคฮยอนสับสนทันที เขาก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับหญิงสาวกันแน่ แต่พอฝันถึงเธอแบบนี้แล้วก็รู้สึกผิด เพราะเธอถือเป็นผู้มีพระคุณของเขา แต่เขากลับทิ้งเธอไว้ที่โลกเสียนี่

    “ข้าคิดว่า ข้าแค่อยากขอโทษนาง” แบคฮยอนเอ่ยวัตถุประสงค์ในการตามหาหญิงสาวออกมาในที่สุด

    “งั้นก็ได้ข้าจะลองดูให้ วันนี้เจ้าพักอีกวันก็แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยฝึกหลักสูตรลัคกี้วันกันต่อ ตกลงไหม” เทวดาอาวุโสตอบรับอย่างใจดีพาให้หัวใจแบคฮยอนโล่งไปหนึ่งขั้น เขาแน่ใจว่าท่านแม่ต้องตามหาหญิงสาวเจอแน่ๆ

    ถ้าเจอตัวเป็นๆ ก็ค่อยขอโทษ แต่ถ้าเจอแบบโหดเหมือนในฝันก็...ก็คงขอโทษอยู่ดีแหละมั้ง

    หลังจากนั้นไม่นาน อี้ชิงก็ขอตัวไปทำงานและสืบเรื่องหยวนชานชานต่อ

    แบคฮยอนคิดว่าจะออกไปเดินยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย ถึงแม้ท่านแม่จะบอกให้เขาพักผ่อน แต่ถึงเป็นเทวดาก็เถอะถ้าให้นอนในห้องหลายวันมันก็ปวดเมื่อยเนื้อตัวได้เหมือนกัน สู้ออกไปหาอากาศบริสุทธิ์สูดเข้าให้ชุ่มปอดหน่อยดีกว่าถึงจะดี พอคิดได้ดังนี้เทวดาน้อยก็เดินออกไปสวนกุหลาบข้างตำหนักทันที

    ระหว่างทางเขาก็สำรวจวังเสียหน่อย มาอยู่นรกนี้หากนับเวลาที่ไปอยู่โลกด้วยก็เกือบเดือนแล้ว สำรวจที่ทางของวังลูซิเฟอร์ไปเมื่อครั้งก่อนแล้ว ขอชมสถาปัตยกรรมบ้างคงไม่เลว ที่นี่ต่างจากวันอีเดนของสวรรค์นิดหน่อยในด้านโทนสี แต่ส่วนมากก็คล้ายกันอยู่ดีเพราะสวรรค์นรกมีการติดต่อแลกเปลี่ยนความรู้กันอยู่ตลอด

    ในขณะที่วังอีเดนของสวรรค์เป็นสถานที่ใหญ่โตโอ่อ่าโทนสีทอง ครีมและเหลือง เสาโกธิคตั้งตระหง่านอยู่ทั่ว สลับกับรูปปั้นเทวดามีปีกประปราย ดูคล้ายอารามที่พวกมนุษย์สร้างให้เทพเจ้ากรีกในนิยายก็ไม่ปาน

    วังลูซิเฟอร์ของนรกกลับแตกต่างด้วยการตกแต่งโทนสีเทา ดำและขาวสลับกันไป แบคฮยอนมองดูรูปปั้นมารตัวใหญ่ก็พาให้ตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แม้ว่าเทวดาจะมีปีกสีขาวขนนกเป็นการแสดงระดับพลังและความยิ่งใหญ่ แต่เทียบไม่ได้เลยกับเขาโง้ง หางสีดำรูปร่างต่างๆ และปีกหนังมันเมื่อมของมารซึ่งแสดงระดับพลังเช่นกัน

    เห็นว่าปีกของมารนั้นมีมากที่สุดแปดคู่เช่นเดียวกับปีกของเทวดาแต่เขาโง้งและหางนั้นจะแตกต่างตามพลังที่แต่ละตนมี เขาเองก็เคยเห็นร่างแท้จริงของลอร์ดมารเซฮุนแล้ว มันงดงามใช่ย่อยเสียที่ไหน เขาคู่งามของมารระดับลอร์ดเป็นเขาที่แนบศีรษะด้วยวงโค้งสวย ส่วนหางนั้นมีหนามแหลมคมอยู่ตรงปลายดูแล้วน่าจะฟาดเจ็บใช่ย่อย

    แล้วอย่างพญามารชานยอลนั่น รูปร่างแท้จริงจะงดงามขนาดไหนหนอ แค่ใบหน้ายามปกติยังหล่อเหลาได้ขนาดนั้น

    เอ๊ะ เขาไปคิดถึงเจ้าพญามารบ้านั่นได้อย่างไรกัน

    เดินมาเรื่อยๆ แบคฮยอนก็พบกับสวนกุหลาบเป้าหมายพอดี อันที่จริงเขายังแอบกลัวๆ เรื่องความฝันเมื่อคืนอยู่ แต่ว่าหากจะหาที่ใดมีอากาศบริสุทธิ์น่าเดินเล่นล่ะก็ สวนนี้ก็เข้ากันพอดี ร่างบางของเทวดาเลยค่อยๆ เอื่อยเฉื่อยเดินไปมาในสวนสักหน่อย เขาจำเส้นทางเดินในนี้ได้แล้วเพราะคราวแอบหนีจากวังศึกษาไว้อย่างดี ไม่มีหลงแน่

    แต่ตอนนี้หลังจากเข้าใจว่าหนีไปก็ไม่ได้อะไรแล้วแถมยังเหนื่อยเปล่าต้องไปลำบากที่โลกมนุษย์อีก แบคฮยอนจึงไม่คิดจะหนีให้เสียเวลาอีกแล้ว ก็เหมือนอย่างที่เซฮุนบอก หากเขาไม่เผชิญหน้ากับพญามารแล้วเกลี้ยกล่อมให้ปล่อยเขาไปหรือยกเลิกพันธะสัญญา มันก็ไม่มีความหมายใดๆ เลย

    เอ๊ะ แต่เหมือนตอนนี้พญามารจะหลงรักเขาเข้าเสียแล้ว เจ้านั่นจะยอมปล่อยเขาไปเหรอเนี่ย โอ๊ย เรื่องยุ่งยากเข้าไปอีก แบคฮยอนจะทำอย่างไรล่ะแม่จ๋า ฮือ

    คิดไปคิดมาก็เอามือลูบต้นกุหลาบแถวนี้ไปพลางๆ แต่ก็ต้องร้องจ๊ากเมื่อเขาเผลอไปจับตรงหนามกุหลาบเข้าให้ ลืมไปเลยว่ากุหลาบมันกินเลือดได้ หนามนี่คมชะมัด คอยดูนะถ้าเขามีกรรไกรตัดกิ่ง เขาจะมาลิดหนามออกให้หมด แบคฮยอนคิดในใจไปก็พลางมองหนามของกุหลาบไปอย่างเคียดแค้น

    แต่ทว่า... เขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง ตรงนั้นมันเลือดเป็นวงเลยนี่นา ไม่น่าจะใช่เลือดเขาที่โดนหนามบาดเมื่อกี้ด้วย แล้วมันเป็นเลือดของใครกัน

    แบคฮยอนมองไปรอบๆ แล้วความฝันเมื่อคืนก็ย้อนเข้ามาในหัวสมอง...

    ตรงนี้คือบริเวณเดียวกับในฝันของเขาเลยนี่นา จำได้ว่าตอนนั้นชานชานหยุดยืนกลางสวนแล้วเขาก็วิ่งหนีมาทางนี้ จากนั้นก็ล้มลงแล้วอีกฝ่ายก็เอาใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดขยับมาหาเขา เลือดของมนุษย์สาวไหลเป็นทางยาวหยดลงกับต้นกุหลาบบางส่วน และใบหน้าเขาอีกบางส่วนด้วย

    แบคฮยอนลองจับดูก็พบว่ามันเป็นของเหลวสีแดงสดจริงๆ แต่อาจไม่ใช่เลือดอย่างที่คิด

    พลันสมองก็แว่บเหตุการณ์เมื่อคืนขึ้นมา หากมันไม่ใช่ความฝัน หากอีกคนมีอยู่จริง หากเขาสลบไปแล้วมีใครสักคนไปส่งที่ห้อง หรือหากว่าหยวนชานชานมาที่นี่...

    แล้วแบคฮยอนก็วิ่งไปตามหามารตนหนึ่งทันที มารที่จะช่วยเขาได้...ลอร์ดมารเซฮุน!!


    ****lucky one and monster****


    เซฮุนกำลังเขียนรายงานส่วนหนึ่งเสร็จก็พบว่าประตูที่พักมีเสียงโครมครามใหญ่ ลอร์ดมารทิ้งอุปกรณ์บันทึกไว้บนโต๊ะก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ แล้วออกไปข้างนอกเพื่อดูว่าใครมารบกวนเขา

    “ท่านสนมเดี๋ยวก่อน” ทหารมารลูกน้องเซฮุนตะโกนเสียงดังจากนั้นร่างหนึ่งก็ชนเขาดังตุ๊บ! พร้อมกับแรงตึงที่ท้องมาพร้อมกัน ลอร์ดมือขวาเหมือนจะเดาได้แล้วว่าใครสร้างความวุ่นวายที่นี่

    “โอ๊ย” ก้อนเล็กๆ ที่โดดมากระแทกเขาร้องลั่น เซฮุนจึงสะบัดมือให้ลูกน้องกลับไปทำงานเสีย จากนั้นก็หันมาสำรวจเจ้าตัวเล็กผู้คอยป่วนเขามาตั้งแต่เมื่อร้อยปีที่แล้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    “บอกซิว่า เจ้ามาที่นี่ทำไมแบคฮยอน” เสียงเข้มดุถูกส่งไปก่อนแล้วจากนั้นเจ้าก้อนเล็กๆ ก็ขยับตัวเองออกพลางกุมศีรษะตัวเองก่อนจะกระโดดถอยห่างมารไปหนึ่งช่วงตัวแล้วส่งยิ้มหวานขัดตาทัพมาให้

    “แหะๆ ข้าก็มีเรื่องคุยกับท่านไง เข้าไปในบ้านดีกว่าเนอะ” พูดจบก็ทำท่าจะเปิดประตูเข้าบ้านไปจริงๆ

    “เดี๋ยวก่อนเจ้าตัวเล็ก ตอนนี้เจ้าเป็นเทวดาของพญามาร จะเข้าบ้านมารตนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร” เซฮุนยื่นมือไปขัดคอเทวดาตัวน้อยไว้ จากนั้นก็ลากไปอีกด้านหนึ่งของบ้าน

    ข้างบ้านมารมือขวามีสวนอยู่ และที่นั่นก็มีโต๊ะเก้าอี้สำหรับดื่มน้ำชาซึ่งลอร์ดมารและเทวดาของพญามารสามารถไปนั่งคุยกันได้แบบไม่น่าเกลียดนัก

    “ว้าว ไม่ยักรู้ว่าท่านลอร์ดมารจะมีรสนิยมชมสวนสวยกับเขาด้วย” แบคฮยอนเอ่ยทักแบบกึ่งประชด เซฮุนเลยเอามะเหงกให้เจ้าเทวดาปากมากไปกินเสียหนึ่งจุด เล่นเอาอีกฝ่ายเบะปากพลางบ่นพึมพำใส่เขาไม่หยุดเลย

    “ตกลงเจ้ามีธุระอะไรกับข้า” เซฮุนไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป

    “ข้าสงสัยเรื่องมนุษย์ที่ช่วยเหลือข้าไว้ตอนอยู่บนโลก ท่านจำได้ใช่ไหม” แบคฮยอนก็ตรงเข้าประเด็นทันที

    คำถามนี้เล่นเอาเซฮุนคิดหนัก เขารู้อยู่แก่ใจว่ามนุษย์สองคนนั่นเป็นใครแต่ไม่แน่ใจว่าควรจะบอกแบคฮยอนหรือไม่ในตอนนี้ ในเมื่อเจ้าของเรื่องเหมือนจะไปทำธุระอยู่ แล้วเซฮุนก็ไม่เคยถามเจ้านั่นว่าจะให้บอกเทวดาน้อยหรือไม่

    “เซฮุน ท่านรู้ใช่ไหมว่าพวกเขาไปไหน” พอเห็นลอร์ดเงียบไป แบคฮยอนเลยเอ่ยถามอีกครั้ง

    “ข้าไม่รู้” ซึ่งเซฮุนก็ตัดสินใจตอบแบบลอยตัวไปก่อน เขาไม่รู้ว่าแบคฮยอนมาถามเขาทำไม แต่ตอนนี้พญามารไม่อยู่ ตอบไม่รู้ดูเหมือนจะดีที่สุด

    “งั้นถ้าข้าเล่าเรื่องให้ท่านฟัง ท่านอาจจะช่วยข้าได้” คำพูดประโยคถัดมาทำให้เซฮุนงงไม่น้อย เรื่องอะไรอีก นี่เจ้าตัวเล็กกลับมานรกแค่ไม่กี่วันก็ก่อเรื่องอีกแล้วหรือ?

    “ว่ามา”

    สุดท้ายเซฮุนก็ฟังเรื่องราวความฝันที่แบคฮยอนบอกว่าไม่ใช่ฝันจนจบ

    ซึ่งมันก็ทำให้ลอร์ดมารไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดี เพราะฝันแบคฮยอนอาจจะเป็นความจริงก็ได้ในเมื่อเจ้าของร่างหยวนชานชานที่แท้จริงมีบ้านอยู่ในนรกนี่ ส่วนอาจจะฝันก็ได้ในเมื่อแบคฮยอนยังอาลัยอาวรณ์หญิงสาวไม่น้อย

    “แล้วเมื่อกี้ตอนข้าไปเที่ยวสวนกุหลาบอีกครั้ง ข้าก็พบกับหยดเลือดตรงกับฝันเมื่อคืนเลยล่ะ ท่านว่ามันเป็นเพราะอะไร” สุดท้ายเจ้าตัวเล็กเผยข้อมูลลับ เซฮุนก็เข้าใจอะไรๆ มากขึ้น

    พญามารนั่นแผลงฤทธิ์อีกแล้ว คราวนี้เล่นใหญ่ขนาดมีเลือดจนเทวดาต้องสลบด้วย แถมยังเล่นแบบไม่บอกใครอีก เขาจะช่วยมันอย่างไรเนี่ย

    “แล้วตกลงเจ้าคิดจะให้ข้าช่วยอะไร” เซฮุนจึงถามหยอดเทวดาก่อน อีกฝ่ายคงไม่ลงทุนตามหาบ้านเขาพร้อมหาเรื่องทหารมารเพื่อมาเล่าเรื่องฝันให้เขาฟังเฉยๆ หรอก

    “ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าค้นหาหยวนชานชานหน่อย”
    “แต่โลกมนุษย์นั้นกว้าง...”
    “ไม่ใช่ขอรับ ค้นหาที่นรกนี่แหละ ข้ามั่นใจว่านางจะต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ”

    แบคฮยอนกล่าวออกมาอย่างมั่นใจพร้อมสีหน้ามุ่งมั่นเต็มเปี่ยม แต่เซฮุนกลับรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ ดูท่าเจ้าตัวเล็กจะฉลาดเป็นกรด แค่เห็นคราบเลือดปลอมๆ นั่นก็รู้แล้วว่า ‘ร่างจริง’ ของหยวนชานชานอยู่ในนรกนี่

    “อะไรทำให้เจ้ามั่นใจขนาดนั้นว่าหญิงสาวชาวมนุษย์จะอยู่ที่นี่” ลอร์ดมารถามเทวดาพร้อมจ้องตาอีกฝ่าย

    “ก็ท่านนั่นแหละ ท่านดูไม่ตกใจเลยกับเรื่องที่ข้าเล่าให้ฟัง แสดงว่านางจะต้องเป็นคนที่ท่านรู้จักแน่ๆ” แบคฮยอนตอบพร้อมจ้องตาเขากลับและแลบลิ้น

    ให้ตายเถอะ เซฮุนเสียรู้เจ้าเด็กนี่อีกแล้ว เขาอยากจะตบกะโหลกตนเองเสียจริง

    “แค่นี้เจ้าก็คิดไปเองได้ ข้าคงไม่ต้องช่วยแล้วมั้ง” ลอร์ดมารจึงทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายแล้วพูดกับเทวดาด้วยเสียงเอื่อยเฉื่อย

    “ไม่น้า ข้ายังต้องพึ่งพาท่าน ข้าจะใช้ท่านเป็นใบเปิดทาง แค่กๆ ไม่ใช่หมายถึงข้อมูลบางส่วนข้าต้องให้ท่านช่วย” แบคฮยอนว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากนั้นก็คุกเข่าอยู่ข้างๆ ที่นั่ง “ไม่อย่างนั้นข้าคงค้างคาเรื่องนี้ไปจนวันตาย ท่านลอร์ดมารช่วยด้วยขอรับ” จากนั้นก็เขาศีรษะโขกพื้นหลายรอบจนหน้าผากมีแผล เลือดกระจายเป็นวงกว้าง

    “เฮ้ย ไม่เอาสิแบคฮยอนอย่าทำแบบนี้ ข้าไม่ให้เจ้าทำตัวเองบาดเจ็บเข้าใจไหม ข้ายอมแล้วก็ได้ข้าจะตามหาหยวนชานชานให้” เซฮุนตกใจแรงเมื่อเทวดาหน้าตาหมดจดมีแผลใหญ่ตรงหน้าผาก เขาพยายามส่งพลังรักษาน้อยนิดเท่าที่มารจะทำได้ไปให้อีกฝ่าย แต่กลายเป็นแบคฮยอนกลับหัวเราะคิกคัก

    “ฮิๆ ท่านตบปากรับคำจะช่วยข้าแล้วนะ” เจ้าตัวเล็กทำหน้าทะเล้นบ่งบอกว่าไม่เจ็บแผลสักนิด เซฮุนเลยทดสอบด้วยการเอามือไปแตะหน้าผากน้อย แล้วก็ตามที่สงสัยเมื่อของเหลวหนืดนั่นเป็นเลือดปลอมที่ทำจากน้ำหวานผสมสี เขาโดนเทวดาหลอกเข้าซะแล้ว

    “ฮึ่ย เจ้านี่มัน” อดสบถไม่ได้เพราะความยุ่งวุ่นวายของเด็กเทวดานี่สร้างความเดือดร้อนให้เขาอีกแล้ว

    เขาจะไปหาพญามารอย่างไรเล่าตอนนี้ แถมจะไปคุยอย่างไรให้พ้นแบคฮยอนด้วย เหนื่อยใจจริงๆ

    “เอาน่าๆ ถือว่าช่วยข้าเถอะนะ แล้วข้าจะเป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซนอีก” แบคฮยอนให้คำมั่นสัญญาแทบจะทันทีที่ถูกจับได้ ซึ่งเซฮุนก็รู้ดีว่าเจ้าตัวยุ่งแลกกับการให้เขาช่วยตามหามนุษย์คนนั้น เนื่องจากตำแหน่งเขาเป็นรองก็แค่พญามารเท่านั้น หากต้องการข่าวสารต่างๆ ให้เขาช่วยก็ดีที่สุดแล้ว

    “แล้วถ้าหากว่า... เธอตายไปแล้วล่ะ” เซฮุนลองถามหยอดไว้ก่อน เผื่อชานยอลมันจะเลิกเล่นเมื่อถูกแบคฮยอนจับได้ เขาจะได้ทำเป็นตามข่าวสารว่าเธอตายไปซะ

    “ข้าเคยได้ยินว่าหากมนุษย์ตายไปจะมีมารกลุ่มหนึ่งไปรับวิญญาณเพื่อไปเกิดใหม่หรือไปสวรรค์และนรก ท่านก็น่าจะรู้มากกว่าข้าหรือเปล่า” แบคฮยอนย้อนกลับมาได้อย่างเจ็บแสบนัก หมายถึงว่าถ้าหญิงสาวตายเซฮุนต้องรู้แน่ๆ แต่ถ้าเซฮุนไม่รู้ก็แสดงว่าเธอไม่ตาย และเขาต้องหาเธอให้เจอสินะ

    ร้ายนักนะเจ้าเทวดาตัวยุ่งเอ๊ย เซฮุนหมายหัวแบคฮยอนในใจ

    “งั้นตกลงตามนี้! ข้าต้องกลับวังแล้วล่ะ หากท่านแม่หาข้าไม่เจอจะต้องอบรมข้าแน่ๆ” ว่าเสร็จหลังจากได้คนช่วยตามที่ต้องการ เทวดาตำแหน่งสนมก็วิ่งปราดออกจากบ้านลอร์ดมารไปอย่างรวดเร็ว ทำเอาเซฮุนปฏิเสธอะไรไม่ทันอีก

    มารมือขวานั่งคิดชั่วครู่ว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ เอาจริงมันไม่เกี่ยวกับเขาเลยด้วยซ้ำเพราะหญิงสาวที่แบคฮยอนตามหาไม่ใช่ใครแต่คือพญามารเพื่อนรักนี่เอง อืม เหมือนว่าจะต้องถามเพื่อนสินะว่าเจ้าตัวทำอย่างนั้นเพื่ออะไร ว่าแล้วก็ส่งเวทสื่อสารไปหาเสียหน่อย

    “ไม่จำเป็นหรอกเซฮุน” แต่ยังไม่ทันส่งข้อความผ่านเวทไป พญามารก็มานั่งลงตรงที่เดิมของแบคฮยอนก่อนแล้ว

    “ข้าล่ะเกลียดทักษะอ่านใจของเจ้าจริงๆ” เซฮุนกล่าวทักเพื่อนด้วยใบหน้าเบื่อหน่าย แต่กระนั้นคิ้วโก่งดั่งคันศรของลอร์ดมารรูปงามอันดับหนึ่งของนรกก็ยังยกขึ้นนิดหน่อย บ่งบอกว่าเขาไม่ได้เกลียดจริงๆ ขนาดนั้น

    “ข้าตั้งใจจะมาปรึกษาเจ้าพอดี เมื่อคืนข้าไปพบแบคฮยอนมาจริงๆ เพื่อจะให้เขาไม่คิดถึงหญิงสาวอีก แต่ข้าคิดผิด” พญามารสารภาพอย่างอ่อนแรง เรียกการกลอกตาแปดทิศทางจากเพื่อนมารมือขวาหนึ่งรอบ

    “เจ้านี่มันอ่อนหัดจริงๆ เป็นมารมากี่ปีเรื่องแค่นี้ยังพลาดอีก” ลอร์ดมารติอย่างไม่เกรงใจ

    “เซฮุน เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือเปล่า” จู่ๆ พญามารก็เปลี่ยนเรื่องเฉย

    “โกรธ? ข้ามีอะไรต้องโกรธเจ้า?”
    “ก็...ข้าแย่งเด็กของเจ้า”
    “เด็กไหน?”
    “ก็...แบคฮยอนไง”

    พรืด! เซฮุนแทบสำลักน้ำชา แบคฮยอนเนี่ยนะเด็กเขา

    “เจ้าบ้าไปแล้วเรอะ ไหนว่าเจ้ารักเด็กนั่นยังไงเล่า เจ้ายังจะมาคิดว่าข้าโกรธอะไรอีก” คราวนี้เซฮุนยิ่งเทศน์หนัก

    “แต่ข้าเลือกแบคฮยอนเพราะจงอินบอกว่าเจ้าจะโกรธ แล้วข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้ารักเขา...”
    “หยุดความคิดเจ้าเดี๋ยวนี้! ถ้าไม่ใช่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นพญามาร ข้าจะนึกว่าเจ้าเป็นมารเพิ่งเกิดไม่ประสาความรักนะเนี่ย”

    เซฮุนแทบจะเขกหัวเจ้านายที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้มีพระคุณของเขา ชานยอลน่ะเรื่องงานหรือการจัดการต่างๆ ก็เก่งกาจ การต่อสู้ก็ไม่เป็นรองใคร แต่เรื่องความรักนี่เหมือนจะติดลบ เฮ้อ โทษเจ้านี่ก็ไม่ได้ใครใช้ให้เขาหน้าตาดีจนลัคกี้วันหรือแม้กระทั่งมารสาวตำแหน่งสูงๆ ต่างหลงรักพร้อมทอดสะพานให้ จนเจ้าตัวไม่แน่ใจว่าความรักแท้จริงเป็นอย่างไร พอมารู้ตัวกับเทวดาผู้ไม่เต็มใจเป็นลัคกี้วันอย่างแบคฮยอนก็ดันถูกเจ้าตัวเล็กนั่นกลัวเข้าอีก

    “เจ้าอ่านใจข้าได้ยังไม่รู้หรือว่าข้าไม่ได้คิดกับเด็กนั่นอย่างนั้น” เซฮุนเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ

    “แต่เจ้าก็เคยต่อยข้าที่เลือกเขาแถมยังประกาศด้วยว่าจะช่วยเขากลับสวรรค์ ข้าก็นึกว่า...” ชานยอลเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำตอบจากเพื่อนแบบนั้น

    “ข้าเคยโทษเจ้าที่พาเขาลงมาจากสวรรค์เพราะเขาเองสำคัญกับราชาเทพ แต่ข้าไม่เคยรักเขาแบบชู้สาว และข้าก็นึกว่าเจ้าไม่ได้รักเขาด้วย” เซฮุนพูดไปก็หมดแรงไป เมื่อกี้เจ้าเทวดาตัวยุ่งโชว์ว่าฉลาดหนักหนา มาตอนนี้พญามารมาโชว์โง่ให้เขาดูอีกตน ช่างน่าเบื่อเสียจริง

    “ตอนแรกข้าก็ไม่ได้รักเขา แต่ตอนนี้ข้า...” พญามารก้มหน้าสารภาพความจริง แต่ก็กระดากอายจะพูดว่าเจอคนที่ชอบแล้ว เป็นพญามารมาเกือบสองพันปีเพิ่งเจอคนรักช่างน่าอายนัก

    “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจๆ” ลอร์ดมารตบไหล่พญามารเบาๆ เพื่อปลอบ ชานยอลในภาวะหมดมาดนี่ก็น่าสงสารเกินไป บรรยากาศรอบข้างดูหม่นหมองทำเอาเขาไม่กล้าแกล้งเพื่อนอีก

    “ถ้างั้นเจ้าก็จะช่วยข้าใช่ไหม” พอปลอบเสร็จพญามารตัวแสบก็หันหน้ามามองเขาต่อ ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังนี่มันช่างน่า...ถีบจริงๆ

    แต่แทนที่เซฮุนจะตอบตกลง เขากลับตะโกนไปยังมุมมืดแห่งหนึ่งในสวนแล้วเรียกมารตัวแสบอีกตนมาช่วยกัน

    “ออกมาเดี๋ยวนี้จงอิน!” สั่งการราวกับเจ้านายเลยทีเดียว

    “เฮ้อ กะจะดูว่าเจ้าจะทำอย่างไรต่อนะเนี่ย” มารมือซ้ายทำหน้าง่วงออกมาจากมุมมืดโดยที่ทั้งสองไม่แปลกใจ อยู่กันมากี่พันปีแล้ว แค่จงอินอยู่ไม่ไกลแบบนี้พวกเขารู้สึกตัวแต่แรกแล้ว

    “จำได้ไหมล่ะ ข้าพูดว่าเจ้าจะต้องขอบคุณข้า” มารผิวสีช็อคโกแลตพูดโอ้อวดทันทีที่นั่งลง ทำเอามารผิวขาวอย่างเซฮุนอยากรู้ว่าไอ้เจ้านี่ถ้าโดนลูกไฟของชานยอลจะมีสีผิวไหม้กว่านี้ได้หรือเปล่า

    “ข้าไม่ขอบคุณเจ้าแน่ ตอนแรกข้ากับราชาเทพต้องพยายามทำบาร์เรียป้องกันเด็กนั่นแทบตาย ถึงตอนนี้ชานยอลจะจริงใจกับแบคฮยอนแล้ว แต่ขอบอกไว้ เขาสำคัญกับราชาเทพมากกว่าที่พวกเจ้าคิด” มารมือขวาบ่นอีกหนึ่งย่อหน้าใหญ่ ซึ่งมารมือซ้ายก็แค่แบะมือออกอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว จากนั้นเจ้าตัวก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย

    “จงอิน เจ้ามีแผนอะไร” แน่นอนว่าพญามารอ่านใจจงอินได้บางส่วนก็พูดออกมา

    “ข้ามีแผนจะให้เจ้าทำแน่ๆ ชานยอล คราวนี้แม้แต่แบคฮยอนก็คงต้องขอบคุณข้าด้วย” กล่าวเสร็จก็เอามือหนึ่งวางกับโต๊ะอีกมือเท้าคาง จากนั้นก็ยกน้ำชาขึ้นจิบหนึ่งครั้ง ในสายตาเซฮุน เจ้ามารมือซ้ายนี่มันน่าหมั่นไส้ที่สุดในโลกเลยล่ะ

    “ข้ามีเทวดาตนหนึ่งจะแนะนำให้ท่านรู้จัก แล้วคราวนี้แบคฮยอนจะต้องหลงรักท่านแน่ๆ ชานยอล”

    ลอร์ดมือซ้ายนามจงอินกล่าวก่อนจะเล่าแผนการที่แม้แต่เซฮุนก็ไม่แน่ใจว่าจะรับมือไหว






    talk
    งินมีบทแล้ว เย่ ที่จริงไม่อยากให้มีบทเพราะคนพรูฟฟิคไบแอสงินแรงมาก
    #luckyonecb
    @noeybaekbd
    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 11 แผนของจงอิน

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:47 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 11
    แผนของจงอิน







    ผ่านไปแค่วันเดียวเท่านั้นเอง เซฮุนก็ให้ลูกน้องมาส่งข่าวกับแบคฮยอนว่าพบหยวนชานชานแล้ว

    แบคฮยอนจึงรีบออกเดินทางเพราะเซฮุนบอกว่า ‘เธอ’ มารอเขาที่นั่นแล้ว เทวดาร่างเล็กขออนุญาตท่านแม่ไปพบคนสำคัญ อี้ชิงจึงจัดรถม้าให้คันหนึ่งพร้อมมารรับใช้มาด้วย ทำให้เทวดาผู้ไม่รู้จักที่ทางในนรกมาถึงทะเลสาบสายัณห์ได้อย่างปลอดภัยในช่วงเย็นพอดี

    ร่างเล็กเดินไปตามทางปูหินอ่อนสักพักจึงเจอศาลาแห่งหนึ่ง ดวงตะวันกำลังทอดแสงลงทะเลสาบพอดีจึงเห็นแค่ว่ามีเงาคนนั่งอยู่เพียงลำพัง ต้องเป็นชานชานอย่างแน่นอน แบคฮยอนคิดดังนั้นก็เดินไปหาหญิงสาวทันที

    ลมจากทะเลสาบทำให้อากาศเย็นสบายเหมาะกับการกินลมชมวิวยิ่งนัก แบคฮยอนก็เพิ่งจะรู้ว่าไม่ไกลจากวังลูซิเฟอร์มีสถานที่แบบนี้ด้วย ตอนเขามาสำรวจนรกกับสำนักงานจัดทัวร์ก็เคยได้ยินเหมือนกันว่าทะเลสาบสายัณห์นั้นสวยงามไม่แพ้ทะเลสาบรุ่งอรุณของสวรรค์ แต่พอมาได้เจอเองแบบนี้ เขาว่าทะเลสาบสายัณห์นั้นสวยกว่ามากๆ เลย

    ชานชานนั่งอยู่ตรงนั้นจริงด้วย ผมยาวประบ่าและรูปร่างสูงเพรียวนั้นแบคฮยอนจำได้แม่น เทวดาจึงกระแอมหนึ่งทีแล้วเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ พบว่าหญิงสาวยังไม่หันมาจึงเอ่ยทัก

    “รอนานรึเปล่า ชานชาน”
    “ไม่นานหรอกแบคฮยอน” หญิงสาวหันมายิ้มแล้วตอบเขา
    “เอ่อ ชานชาน...” แบคฮยอนนั้นตั้งใจมาขอโทษชานชานที่ทิ้งเธอไว้บนโลกมนุษย์ หากแต่พอมาเจอจริงๆ กลับไม่แน่ใจว่าจะเริ่มคุยอย่างไร

    “สบายดีไหมแบคฮยอน” ผ่านไปสักพักหญิงสาวจึงทักมาเพื่อทำลายความเงียบ
    “เอ่อ สบายดี เจ้าล่ะ”
    “สบายดี อันที่จริงก็สบายแค่ร่างกายแต่จิตใจไม่ดีเท่าไหร่นัก” แต่หญิงสาวกลับทำหน้าเศร้า
    “เจ้าเป็นอะไรไม่สบายใจตรงไหน บอกข้าได้” แบคฮยอนมองเธออย่างเป็นห่วง เพราะปกติแววตาของชานชานจะสดใสเสมอ พอหม่นหมองเลยไม่ค่อยดีสำหรับเขา
    “ข้าเป็นตรงนี้ แบคฮยอน” ชานชานขยับมาใกล้แล้วจับมือเขาวางไปตรงหน้าอก เล่นเอาเทวดาใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
    “เอ่อ เป็นโรคหัวใจหรือ?”
    “ไม่ใช่ โธ่ เจ้านี่ก็” ชานชานเบะปากไม่พอใจจากนั้นก็ใช้มืออีกข้างจับใบหน้าเขาไว้พลางมองด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม

    “ข้าชอบเจ้าจนปวดหัวใจไปหมดแล้ว”

    คำสารภาพรักจากสาวสวยหน้าตาน่ารักทำเอาแบคฮยอนปั่นป่วน เอาจริงมันก็ไม่เกี่ยวกับหน้าตาหรอกนะหากมองในแง่ของเขา เพราะชานชานที่เขาชอบนั้นมีนิสัยน่ารักมากกว่า ระยะเวลาช่วงอยู่บนโลกตอนมีชานชานคอยดูแลเอาใจใส่ ทำอาหาร ชวนคุยเล่นหรือกระทั่งบอกฝันดีมันอบอุ่นหัวใจมากนัก เขาก็ชอบชานชานมากจริงๆ

    “เจ้า... เอ่อ... คือข้าก็ชอบเจ้า” แบคฮยอนตัดสินใจสารภาพสิ่งที่คิดไปเช่นกัน แล้วนั่นก็ทำให้ชานชานดีใจจนกอดเขาไว้แน่น หน้าอกไม่แน่นหนันเหมือนสามสาวเทวดาคัพดี แต่ความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้แบคฮยอนว่ามันดีกว่ากันเห็นๆ ดีที่เธอไม่มาแบบเลือดสาดเหมือนวันก่อน

    เดี๋ยวนะ มาแบบเลือดสาดงั้นเหรอ? แถมภาษาที่ใช้ก็... พอคิดได้ก็ผละกอดจากอีกคนอย่างเร็วเลย

    “แบคฮยอนเป็นอะไร เจ้าไม่สบายหรือ” หญิงสาวทำท่างงงันก่อนเข้ามาจับเนื้อตัวเขาไปทั่วเพื่อสำรวจซ้ายขวาหน้าหลัง

    “เจ้า... ทำไมใช้ภาษาของนรก”
    “ก็ข้าอาศัยอยู่ที่นี่” ชานชานตอบหน้าตาเฉย
    “แล้วเจ้าไปทำอะไรบนโลกมนุษย์”
    “ข้าไปทำภารกิจ”
    “งั้น งั้น เจ้าเป็นใครกันแน่” แบคฮยอนเกือบจะถามว่าชานชานเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่ก็ยั้งไว้ว่าเป็นใครพอ

    “เข้าใจแล้ว งั้นข้าจะเผยร่างจริงให้เจ้าดู” หญิงสาวทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็ยืนห่างแบคฮยอนไปราวสองช่วงตัวก่อนพลังมืดเข้มข้นจะค่อยก่อตัวอย่างรวดเร็ว

    ปีกหนังค้างคาวมีเขี้ยวตรงปลายแปดคู่เผยมาก่อน สีดำของหนังปีกเงางามและลักษณะปีกหนาหนักแสดงถึงความแข็งแกร่งของมารตนนี้ จากนั้นหางสีดำยาวตรงปลายเป็นหนามแหลมคมราวแมงป่องพิษก็โผล่ให้เห็น ตามด้วยเขาโง้งแนบศีรษะซึ่งเป็นเขายาวสวยสุดที่แบคฮยอนเคยเห็น ร่างเพรียวสูงของมารก่อให้เห็นลักษณะว่าเป็นชายหนุ่ม และสุดท้ายผมสั้นสีแดงเพลิงอันคุ้นตา

    พญามารร่างจริงงดงามยิ่งนัก

    “ท่าน...” แบคฮยอนมองตาค้างกับการแปลงร่างจากหญิงสาวหน้าตาสะสวยหุ่นดีกลายเป็นพญามารหนุ่มร่างสูงน่าเกรงขามเบื้องหน้า

    ไม่จริงใช่ไหม นี่เป็นการล้อเล่นอะไรหรือเปล่า หญิงสาวผู้อ่อนโยนและน่ารักกลายเป็นบุคคลอันตรายหมายเลขหนึ่งผู้จะมาพรากความบริสุทธิ์ของเขา แถมเมื่อกี้เขายังบอกอีกฝ่ายว่าชอบด้วย นี่ไม่ตลกเลยจริงๆ

    “ข้าเอง แบคฮยอน เป็นข้าเอง” รอยยิ้มสว่างไสวผิดจากรูปร่างอันดุดันถูกส่งมาให้จนรู้สึกขนลุก แบคฮยอนบอกไม่ถูกว่าเขาควรรู้สึกอย่างไร รอยยิ้มนี่มันเหมือนชานชานจริงๆ ด้วย ถึงจะไม่ได้หน้าตาเหมือนกัน แต่กลิ่นอายจากรอยยิ้มอันอบอุ่นมันคือสิ่งที่เขาสัมผัสได้

    หยวนชานชานก็คือร่างแปลงของพญามารงั้นหรือ?

    แสดงว่าที่ผ่านมาเขาหลงรักหญิงสาวซึ่งเป็นคนเดียวกับพญามารที่เขาเกลียด แบคฮยอนบอกไม่ถูกกับความรู้สึกนี้ เมื่อครู่ยินดีที่มีคนรักเขาและเขาก็รักเธอ แต่ผ่านไปไม่กี่นาทีจากคนมีความรักก็เหมือนคนถูกทรยศ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนแบคฮยอนรับไม่ไหว

    “เจ้า... ทำไมต้องหลอกข้า” เทวดาหนุ่มพูดด้วยเสียงเบาราวกับไม่ค่อยมีสตินัก เขาอุตส่าห์ดีใจว่าจะได้เจอผู้มีพระคุณและเป็นคนที่เขาชอบ แต่กลับพบว่าหญิงสาวใจดีนั้นคือพญามารผู้เห็นเขาเป็นของเล่น คิดจะเลือกเขามาอยู่เป็นสนมในนรกก็ทำตามอำเภอใจ เขาหนีไปก็หลอกให้ตายใจด้วยร่างแปลง ทำแบบนี้ก็ได้หรือ?

    “เจ้าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ตั้งใจหลอกเจ้า ข้าแค่ต้องการอยู่ข้างกายเจ้า” พญามารตอบเลิกลั่ก

    “แต่เจ้าก็หลอกให้ข้าพูดว่าชอบเจ้า” แบคฮยอนแค่นเสียง
    “เปล่า แบคฮยอน”
    “ทั้งๆ ที่เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้ชอบเจ้าจริงๆ เจ้ามันมารเห็นแก่ตัว เจ้าเห็นข้าเป็นอะไร คิดจะเล่นอะไรกับข้าก็ได้งั้นหรือ!” เทวดาเริ่มมีโทสะแล้ว ขอบตาของเขาเหมือนจะร้อนยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปนั่นเสียอีก

    “ข้าไม่ได้คิดอย่างนั้นแบคฮยอน ข้าชอบเจ้าจริงๆ” พญามารส่งสายตาอ้อนวอนและคุกเข่าต่อหน้า จากนั้นก็กอดร่างเทวดาไว้แน่นราวกับว่าอ้อนวอนแล้วเทวดาจะเปลี่ยนใจไม่โกรธ

    แต่แบคฮยอนกลับไม่คิดอย่างนั้น

    ตอนนี้ข้างแก้มเริ่มร้อนแล้วเพราะน้ำตาไหลไม่หยุด ความรู้สึกของเขาก็พรั่งพรูไม่หยุดเหมือนกัน เคยเข้าใจว่าพญามารเป็นมารที่ดีจากคำบอกเล่าของท่านแม่และสามสาวเทวดา แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเขาคือของเล่นของพญามารอย่างนั้นหรือ ทำไมต้องแปลงเป็นหญิงสาวให้เขาตายใจ และมาหลอกให้รู้สึกดีด้วย แต่สุดท้ายก็บอกมาว่าจริงใจ อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน

    แบคฮยอนรู้สึกว่าตัวเองโง่มากที่โดนพญามารหลอก เขาหนีจากนรกเพื่อหนีพญามารแต่ก็กลายเป็นหนีไม่พ้น ยังต้องเจอพญามารในอีกรูปแบบหนึ่งอีก งี่เง่าจริงๆ เทวดาเอ๋ย ถูกเขาหลอกไปรอบหนึ่งยังมาตามหาคนที่หลอกไปอีก

    “เจ้าไม่ต้องมากอดข้า ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีกแล้ว เจ้าไม่ใช่ชานชานที่ข้ารู้จักอีกแล้ว”

    สุดท้ายแบคฮยอนก็สะบัดพญามารออกไป แล้ววิ่งหนีไปขึ้นรถม้ากลับวังอย่างรวดเร็ว

    ทิ้งให้ชานยอลคิดไม่ตกกับการกระทำนี้ เขาคิดว่าการเผยร่างจริงจะทำให้แบคฮยอนยอมรับเขา แต่กลับกลายเป็นทำให้โดนเกลียดเข้าให้ พญามารทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่ง ได้แต่นั่งคุกเข่าเงียบๆ อยู่ตรงนั้น

    สักพักเมื่อชานยอลเดินคอตกและบินกลับวังไป เงามืดจึงมีเสียงพูดคุยของมารสองตนลอดออกมา

    “แผนหนึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า แถมเจ้ายังทำให้เด็กน้อยนั่นร้องไห้อีกด้วย จะชดใช้ยังไง” มารมือขวากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก ถ้ามารมือซ้ายไม่มีคำแก้ตัวที่ดี เขาเอาเลือดหัวมันออกแน่

    “แผนนี่เป็นเพียง ‘ขั้นที่หนึ่ง’ เท่านั้นเซฮุน เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อนสิ” แต่มารมือซ้ายกลับพูดออกมาสบายๆ พร้อมใบหน้าง่วงตามปกติ ไม่อาทรร้อนใจใดๆ ทั้งสิ้น

    “ก็หวังว่ามันจะดีตามนั้น ข้าขอตัวไปดูทั้งคู่ก่อน สวัสดี” เซฮุนพูดจบก็จากไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ไม่ไยดีคำพูดต่อมาของมารมือซ้ายสักนิด

    “เฮ้อ ใจร้อนจริงๆ เลยน้า” ทิ้งไว้ก็แต่มารมือซ้ายผู้ใจเย็น ราวกับทุกอย่างเป็นไปตามการคาดเดาของเขา



    ****lucky one and monster****


    แบคฮยอนพาร่างอ่อนแอพร้อมใจสลายกลับมาตำหนักแบบไร้สติ พอมาถึงก็ไล่มารรับใช้ออกจากห้องแล้วบอกพวกนางว่าอยากอยู่ลำพัง ห้ามใครรบกวนเด็ดขาด

    ตอนแรกมารรับใช้ก็คาดว่าเทวดาอาจจะเหนื่อยจึงไม่ได้คิดอะไร แต่พอรุ่งเช้าแล้วท่านสนมลำดับล่าสุดก็ยังไม่ยอมเปิดประตูห้องแถมยังได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นมาจากข้างในด้วย จึงรีบร้อนไปหาผู้เป็นใหญ่ในตำหนัก สนมเอกอี้ชิงจึงต้องพาสามสาวกำลังเสริมมาเคาะประตูห้องเรียกแบคฮยอนนานกว่าห้านาทีเลยทีเดียว

    กระทั่งตอนที่ซาร่าคิดว่าจะต้องพังประตูเข้าไป จู่ๆ แบคฮยอนก็เปิดประตูออกมาจากนั้นก็กระโดดกอดอี้ชิงเอาไว้ไม่ปล่อย เล่นเอาจองฮวาแกล้งอีกฝ่ายไม่ออก ตอนแรกว่าจะหยอดเสียหน่อยว่าทำตัวเป็นนางเอกมิวสิควีดิโอไปได้ พอเห็นใบหน้าห่อเหี่ยวพร้อมตาบวมเป่งของแบคฮยอน เทวดาทั้งหลายก็ถึงกับมองหน้ากันและทำอะไรไม่ถูก

    “ไม่เป็นไรนะแบคฮยอน ไม่เป็นไร” อี้ชิงปลอบก่อนจะพยายามลากเทวดาเด็กไปนั่งในห้องดีๆ ราวกับท่านแม่มีเวทมนตร์วิเศษเพราะร้องไห้ซบอยู่ไม่นาน แบคฮยอนก็หลับคาอกเสียอย่างนั้น อี้ชิงจึงอุ้มไปวางบนเตียง จากนั้นก็ห่มผ้าให้เรียบร้อย จึงเดินออกมาจากห้องพร้อมกับจ้องมองผู้มาใหม่อย่างไม่วางตา

    เซฮุนนั้นเมื่อโดนจ้องจากเทวดาทั้งสี่ก็ต้องนั่งลงเรียบร้อยให้โดนไต่สวนอย่างไม่มีข้อแม้ทันที

    “ตกลงแบคฮยอนเป็นอะไร เจ้าต้องเล่ามาให้หมด” ใบหน้าใจดีของเทวดาผู้มีพลังรักษาสุดยอดนั้นหายไปจนหมดพาให้เซฮุนรู้สึกกลัวไม่น้อย เมื่อประกอบกับซาร่า นาอึนและจองฮวาจ้องเขาอย่างกับจะกินเลือดเนื้อ มารมือขวาจึงตั้งหน้าตั้งตาเล่าทุกอย่างให้ฟังแบบหมดเปลือก

    “แสดงว่าตอนนี้ท่านชานยอลก็เศร้าเหมือนกันน่ะสิ” นาอึนกล่าวอย่างเห็นอดเห็นใจเมื่อฟังเรื่องราวจบแล้ว
    “ใช่ ชานยอลเขาก็เศร้าเช่นกัน แต่เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้จงอินมีแผนไว้จัดการแล้ว” เซฮุนไม่แปลกใจที่เทวดาสาวถามหาชานยอลเพราะทั้งสามสาวต่างก็รักชานยอลจริง ถึงได้อยู่ในนรกด้วยกันมาจนป่านนี้ แล้วเขาก็เอ่ยถึงจงอินเพื่อให้อี้ชิงสบายใจด้วย เรื่องนี้ต้องหาผู้รับผิดชอบก่อนอี้ชิงจะโมโหที่พวกเขาทำให้แบคฮยอนเสียใจ

    “เจ้าหมายความว่ามารมือซ้ายมีแผนรับมือแล้ว ถ้าอย่างนั้นจงเล่ามาให้หมด ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ปล่อยไว้แน่ ใครก็ตามที่ทำให้แบคฮยอนร้องไห้ แม้กระทั่งชานยอลก็ต้องรับผิดชอบ” อี้ชิงกล่าวออกมาราวกับคำประกาศิต เล่นเอาเซฮุนตะลึงไปเลย เจ้าตัวเล็กของเขาทำอีท่าไหน เทวดาทั้งตำหนักถึงได้เข้าข้างกันหมด นี่ถ้าแผนจงอินไม่ดีจริง มีหวังอี้ชิงได้อาละวาดในรอบสองพันปีแน่ๆ

    อันที่จริงแบคฮยอนไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เพียงแต่อี้ชิงนั้นอยู่กับชานยอลมานานจนรู้แล้วว่าพญามารรักเทวดาตนนี้จริง หากนับช่วงเวลาที่ชานยอลแปลงเป็นชานชานกับชานเลี่ยนั้นถึงจะไม่กี่สัปดาห์แต่อี้ชิงก็สัมผัสได้ ช่วงนั้นเขาทำภารกิจสำคัญจึงต้องไปพบพญามารบนโลกก็พบว่าชานยอลนั้นดูมีความสุขมาก เขาถึงกับงงว่าในช่วงที่แบคฮยอนไม่อยู่ ทำไมชานยอลถึงไม่ห่วงเทวดาน้อยนั่นเลย ที่แท้ก็แอบไปมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันมานี่เอง

    ระหว่างที่อี้ชิงคิดถึงเรื่องของแบคฮยอนกับชานยอลเหมือนแม่มองเห็นลูกมีความรักนั้น เซฮุนก็เล่าแผนจบพอดี

    “ท่านว่าจะได้ผลจริงหรือ” จองฮวาถามขึ้นมาก่อน จากนั้นอีกสามเทวดาก็จ้องเซฮุนเพื่อขอคำตอบชัดๆ
    “เอ่อ... จงอินบอกว่าน่าจะได้ผลน่ะ” เซฮุนจึงหาทางรอดให้ตัวเองโดยอ้างเพื่อนไว้ก่อน อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ไม่อยากถูกซาร่าหรืออี้ชิงเค้นถามอีก
    “งั้นก็ตกลงตามนี้ แต่เจ้าต้องรายงานผลให้พวกข้าฟังด้วย” อี้ชิงสรุป
    “แต่ว่า...” เซฮุนไม่แน่ใจนักว่าจะดีหรือไม่
    “ไม่มีแต่ เราอยากให้พวกเขาได้เข้าใจกัน” อี้ชิงกล่าวอีกครั้ง “ตกลงตามนี้...” เทวดาตัดจบอย่างไม่มีข้อให้มารมือขวาโต้แย้งได้อีก

    “งั้นก็ได้ ข้าจะไปบอกจงอิน หากแบคฮยอนตื่นขึ้นมา พวกเราก็จะได้จัดการเลย” เซฮุนไม่แน่ใจว่าเหล่าลัคกี้วันจะทำแผนเสียหรือไม่ แต่ขอเพียงแบคฮยอนยอมทำตามหมากที่วางไว้ เขาว่ามันก็น่าจะรอด

    “หวังว่าเราจะช่วยพวกเขาได้”
    “หวังไว้เช่นกัน”

    จากนั้นเทวดากับมารก็สลายตัว เหลือเพียงร่างบอบบางไว้ใต้ผ้าห่มในห้องที่รอการเยียวยาเท่านั้น


    ****lucky one and monster****


    แบคฮยอนตื่นนอนแล้วก็พบว่าตนเองปวดหัวหนักมาก เขาว่าแล้วเชียว การร้องไห้ใครว่ามันจะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น มันแย่ลงต่างหาก แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขามั่นใจว่าพญามารนั่นทำเขาเสียใจขนาดนี้ เขาคงไม่มีวันรักเจ้านั่นแน่ๆ

    “ตื่นแล้วหรือ” เซฮุนนั่นเองที่ทักเขา แต่พอเห็นหน้าลอร์ดมาร แบคฮยอนก็เบะปากทันที
    “เชอะ” ส่งเสียงว่ากำลังงอนไปให้ด้วย
    “เอ้า มีทำงอนอีก ข้าบอกได้เลยนะว่าข้าไม่มีส่วนรู้เห็นอะไรทั้งสิ้น” สองมือมารแบะออกคล้ายนักกีฬายกมือเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจเวลาโดนตัดสินโทษฟาวล์ นั่นทำให้แบคฮยอนฉุกคิด

    บางทีเซฮุนอาจจะหาหยวนชานชานเจอแล้วไม่รู้ว่าเป็นชานยอลก็เป็นได้ ถ้างั้นเขาจะไม่คาดโทษก็แล้วกัน

    “แล้วยังไงล่ะ ท่านไม่รู้เรื่องของพญามารนั่น แล้วท่านจะเอาอะไรกับข้าอีก” เทวดายังไม่หายงอนเท่าไหร่จึงถามด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น
    “ข้ามาถามว่าเจ้ายังอยากกลับสวรรค์หรือไม่ก็เท่านั้น”

    คำถามของเซฮุนเล่นเอาแบคฮยอนหูผึ่งเลยทีเดียว

    “อยากสิอยาก พาข้ากลับสวรรค์หน่อยน้า ท่านลอร์ดสุดหล่อ” แบคฮยอนตอบไปอย่างไม่ยั้งคิดสักนิด เขาแน่ใจสุดๆ ยิ่งเมื่อวานไปเจอเรื่องอย่างการถูกทำร้ายจิตใจจากพญามาร เขาก็ไม่อยากอยู่กับชานยอลคนบ้านี่แล้ว
    “เจ้าจำได้ไหมว่าก่อนหน้านี้เราให้สัญญาอะไรกันไป” แต่เซฮุนกลับเอ่ยถึงสัญญาหนึ่ง
    “สัญญาไหน...” แบคฮยอนถามกลับก็ชะงักเพราะเหมือนจะจำได้ลางๆ ถึงสัญญาอันหนึ่ง

    “แบคฮยอน สัญญากับข้าก่อนว่า เจ้าจะต้องยอมรับให้ได้สักวันหนึ่งว่าตัวเองเป็นลัคกี้วันของชานยอลและกลับไปอยู่ในนรกกับเขา”

    อา... สัญญานั่นเอง เขาจำได้แล้ว แบคฮยอนพยักหน้าหงึกหงัก

    “งั้นเจ้าก็น่าจะรู้ว่าหากเจ้าต้องการกลับสวรรค์เจ้าต้องทำอย่างไร”
    “ต้องทำอย่างไรล่ะ” เทวดาเพิ่งตื่นสมองยังไม่แล่นจึงไม่เก็ทสิ่งที่มารพูดค้างไว้
    “เจ้าต้องเข้าไปใกล้ชิดเขา แบคฮยอน เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เขาปล่อยเจ้าไป” เซฮุนจึงได้พูดสิ่งที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าให้เทวดาเด็กฟังสักที

    ต้องเข้าไปใกล้มารที่เคยทำร้ายจิตใจเขาเนี่ยนะ ล้อเล่นรึเปล่า แบคฮยอนคิด

    “ไม่เอา เซฮุน ข้าจะไม่ใกล้เจ้านั่นอีกแล้ว ข้าเกลียดเขา!” เทวดาเด็กโวยวายทันทีตามคาด แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ว่ามารมือขวาจะไม่ได้เตรียมรับมือไว้
    “ถ้างั้นเจ้าก็ยอมอยู่นี่ให้เขาใช้งานเจ้าไปร้อยปีละกัน ข้าขอลา” เซฮุนพูดจบก็แสร้งทำเป็นลุกขึ้นจะจากไปจริงๆ

    แบคฮยอนเลยหยุดงอแงแล้วมาดึงตัวอีกฝ่ายไว้

    “ไม่เอาน่า ท่านลอร์ดมารที่รัก ข้าหมายถึงมันอาจจะมีหนทางอื่นที่จะเกลี้ยกล่อมพญามารให้ยกเลิกพันธะสัญญาโดยที่ข้าไม่ต้องเข้าใกล้เขาก็ได้” ท่าทางของเทวดาเด็กที่กอดขาลอร์ดมารพลางข้อร้องเกือบทำเซฮุนหัวเราะหนัก ฤทธิ์มากอย่างนี้แสดงว่าน่าจะเกลี้ยกล่อมได้ง่ายแล้ว

    “เสียใจแบคฮยอน ไม่มีทางอื่นแล้ว ยกเว้นเจ้าจะไม่เป็นเทวดาแล้วก็ไปขอพระเจ้าไปเกิดใหม่ได้” เซฮุนกำลังเป็นต่อ จึงแกล้งขู่เข้าให้
    “ไม่เอาอ่า ข้ายังคิดถึงท่านตา คิดถึงเพื่อนๆ ของข้า ข้ายังไม่อยากไปเกิดใหม่” แบคฮยอนโดนขู่ก็เริ่มงอแงเป็นเด็กๆ อีกครั้ง
    “ถ้างั้นเจ้าก็ต้องทำตามข้า เข้าใจไหม”
    “เข้าใจแล้ว ท่านให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำ ขอเพียงให้ข้าได้กลับไปสวรรค์ น้าเซฮุน น้าๆ”
    “งั้นก็ตกลงตามนี้ เจ้าต้อง...” เซฮุนเห็นเด็กน้อยทำท่าน้ำตาจะไหลเลยแกล้งไม่ลงอีก พอแบคฮยอนตอบตกลง จึงได้บอกแผนการส่วนหนึ่งให้ฟัง

    ซึ่งแบคฮยอนก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าระหว่างไปเกิดใหม่กับทำแบบนี้อันไหนดูลำบากกว่ากันแน่



    (สามวันต่อมา)

    แบคฮยอนเทชากุหลาบพันปีลงในตะกร้อชงชาจากนั้นก็ราดน้ำร้อนหนึ่งครั้งเพื่อล้างสิ่งสกปรกและปลุกชาให้ตื่น เทวดาร่างบางเอาตะกร้อนั้นใส่ลงกาน้ำชา เทน้ำร้อนลงจนท่วมแล้วจึงรอสักพักให้กลิ่นของชาหอมกรุ่นกำจายค่อยเทลงถ้วยชาอีกครั้ง

    “ชามาแล้ว” มือสวยขยับยกถ้วยชาเมื่อครู่วางบนโต๊ะงามราคาแพงแล้วยิ้มส่งไป พญามารก็ยิ้มให้เขาเพื่อตอบรับ จากนั้นก็สะสางงานไปพลางมองแบคฮยอนแล้วยิ้มไปด้วยราวกับเป็นชีวิตประจำวันไปเสียอย่างนั้น

    แบคฮยอนก็ยิ้มให้หนึ่งครั้งแล้วจากไปจัดเอกสารต่อ ใบหน้าเหมือนมีความสุขเสียเต็มประดาแต่ว่าในใจกลับมีไฟแห่งความเคืองโกรธอัดแน่น!

    ก็แผนของเซฮุนน่ะสิ บอกว่าให้เขามาทำงานใกล้ชิดกับพญามารโดยแกล้งทำเป็นว่ายกโทษให้ที่โดนพญามารหลอกจึงอยากแสดงน้ำใจด้วยการมาช่วยงาน พอเจ้าบื้อชานยอลนั่นเห็นเขาบอกว่าจะมาทำงานด้วยก็ดีใจใหญ่ ตอนนี้เลยยิ้มส่งมาให้ตั้งแต่เช้ายันเย็น แถมยังหมั่นดูแลเอาใจใส่เขาอีกต่างหาก ผ่านไปไม่กี่วันแบคฮยอนรู้สึกราวกับเป็นหลายปีที่ต้องปั้นหน้าว่าเขายังอยู่ดี แต่ในใจกลับแค้นนัก หลอกเขาไว้ยังไม่รู้ตัวอีกว่าโดนโกรธขนาดไหน พญามารนี่ใสใสดั่งผ้าอ้อมเด็กเสียจริง

    “แบคฮยอน ข้าว่าเย็นนี้เจ้ากับข้า...” จู่ๆ มารในความคิดก็ลุกขึ้นมาหาเขาที่โต๊ะทำงาน จากนั้นก็เกริ่นเบาๆ แต่พูดไม่จบเสียอย่างนั้น
    "ท่านชานยอลขอรับ ตรงนี้ต้องแก้ไขนิดหน่อย” เพราะเลขาลำดับสองชื่อคยองซูเอาเอกสารมาให้เขาดูนั่นเอง

    อันนี้แบคฮยอนก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก ดูเหมือนว่าเลขาร่างเล็กนี้จะเข้ามาได้จังหวะพอดีตลอด เมื่อไหร่ก็ตามที่ชานยอลเข้ามาหาหรือจะคุยกับเขา เลขาตนนี้จะเข้ามาขัดจังหวะได้ถูกเวลามากๆ ราวกับรอเวลานี้นานแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีหรอกนะเพราะเขาก็ไม่อยากคุยกับชานยอลมากเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกแปลกๆ อยู่นิดหน่อย

    “คยองซู ตรงนี้ข้าอธิบายไปแล้วนี่นา หรือเจ้าไม่เข้าใจงั้นข้าอธิบายใหม่ไหม” แบคฮยอนมองชานยอลแล้วกะพริบตาปริบๆ บางทีพญามารมาดนิ่งก็จะมีลักษณะอย่างนี้ การเอาใจใส่ผู้อื่นของชานยอลนั้นให้ความรู้สึกเหมือนชานชานเสียจริง และบางทีภาพชานยอลทำตัวใจดีก็คล้ายจะทับซ้อนภาพชานชานในหัวสมองของแบคฮยอนอยู่เรื่อยไป

    แบคฮยอนสะบัดศีรษะไล่ความคิดถึงชานชานออกไป ชานชานมีที่ไหน มีแต่ชานยอลคนหลอกลวงนี่แหละ ไม่มีวันให้อภัยหรอก

    ตอนนี้ชานยอลพาคยองซูไปนั่งที่โต๊ะทำงานตนเองแล้วสอนงานให้อีกครั้ง และเนื่องด้วยโต๊ะของแบคฮยอนอยู่ไม่ไกลนักจึงเห็นว่าสอนงานกันอย่างไรได้ชัดแจ๋ว

    พญามารจับมือเลขาตัวเล็กให้สัมผัสปุ่มของอุปกรณ์บันทึกแล้วจากนั้นก็ก้มหน้ามองหน้าจอพลางชี้ให้คยองซูเห็นได้ถนัด ซึ่งพอเจอจุดที่ต้องแก้ไขพญามารก็ใจดียกมือของลูกน้องให้แก้ไขตรงที่ผิดด้วยตนเองพลางสอนใกล้ๆ จนใบหน้าแทบจะติดกันเสียอย่างนั้น

    แบคฮยอนมองโต๊ะนั้นไปก็จัดเอกสารไปตามหน้าที่ แต่สักพักเขารู้สึกได้ยินเสียง แคว่ก! หลังจากตนเองเผลอขยุ้มเอกสารจำนวนหนึ่งจนฉีก นี่เขาเหม่อสินะไม่เข้าใจตัวเองเลย พอนึกได้ว่าต้องพิมพ์เอกสารนี้ใหม่ก็พาให้ใจห่อเหี่ยว เฮ้อ อีกแล้ว

    “แบคฮยอน ถ้าเจ้าต้องการกระดาษใหม่ อยู่ข้างโต๊ะข้านะ” คยองซูหันมามองเขาแว่บหนึ่งแล้วเอ่ยพลางยิ้มให้อย่างใจดี ชานยอลก็ยิ้มให้ด้วย แต่ไม่รู้ทำไมเขาไม่อยากยิ้มตอบเสียอย่างนั้น

    “ขอบใจ” แบคฮยอนตอบห้วนๆ ก็ลุกไปเอากระดาษมาพิมพ์เอกสารใหม่ด้วยอารมณ์หงุดหงิดไม่รู้ตัว

    ทำไมเห็นพญามารกับลูกน้องแบบนั้นมันรู้สึกแปลกๆ ก็ไม่รู้ แบคฮยอนไม่เข้าใจเลย








    talk
    พระสนมทรงหึงแล้วเพคะ
    #luckyonecb
    @noeybaekbd on twitter


    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 12 โปรโมชั่นดีๆ จากชานยอลทัวร์

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:48 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 12
    โปรโมชั่นดีๆ จากชานยอลทัวร์








    “เจ้าไหวไหม แบคฮยอน” มารหนุ่มรูปร่างสูงถามเขาด้วยการก้มหน้าลงมา แบคฮยอนผู้อยู่ในอาการ ‘เมาการบิน’ นั้นทำได้เพียงยิ้มตอบเท่านั้นแม้ใจจริงอยากจะบอกว่า...

    จะไหวได้ยังไงกันเล่า เจ้าเล่นบินมาตั้งเกือบวันแบบนี้!

    ตอนนี้ต้องอธิบายก่อนว่าชานยอลนั้นอุ้มแบคฮยอนแนบอกและบินในความสูงระดับแปดพันฟุตเหนือระดับน้ำทะเลซึ่งแม้ว่าพญามารจะใช้สนามความกดดันอากาศจำลองทำให้แรงดันอากาศไม่สูงจนแก้วหูทะลุแล้ว แต่ว่าการบินมากว่าสิบแปดชั่วโมงติดกันก็ทำให้เขาแทบอ้วก

    “ข้าว่าเจ้าสีหน้าไม่ค่อยดี เราพักตรงนี้ก่อนก็ได้นะ” ยัง...พญามารยังจะให้เขาพักอีก ซึ่งการพักนี่เหมือนจะง่ายแต่ไม่ง่ายนักหรอกเพราะการพักคือชานยอลจะร่ายเวทลอยตัวให้แบคฮยอนนั่งบนความว่างเปล่าบนอากาศเป็นเวลากว่าสามสิบนาทีจากนั้นก็พาบินต่อนั่นเอง

    มันจะเรียกว่าพักได้อย่างไรกันเล่า เขาก็กลับมาเมาการบินต่ออยู่ดี สู้ไปถึงเร็วๆ เท้าถึงพื้นจะยังดีกว่า

    “ไม่เป็นไร บินต่อเถอะ ใกล้ถึงแล้วใช่ไหม” แบคฮยอนปฏิเสธการพักแล้วถามชานยอลเรื่องอื่นต่อทันที

    “อีกสักสองชั่วโมงน่าจะถึง เจ้าไหวใช่ไหม งั้นข้าเพิ่มความเร็วนะ” สิ้นสุดคำว่าเร็วนะ...แบคฮยอนก็พบว่าแสงไม่ใช่สิ่งที่เดินทางไวที่สุด แต่เป็นพญามารนี่เวลาเร่งความเร็วต่างหาก เขาจะอ้วกแล้ว

    นับว่าพระเจ้ายังเห็นใจเทวดาในสังกัด เพราะพอเร่งความเร็วก็กลายเป็นสิบนาทีต่อมาพวกเขาถึงจุดหมายกันเสียที

    แบคฮยอนพุ่งพรวดไปอ้วกตรงพุ่มไม้ข้างๆ กองอำนวยการโดยมีชานยอลช่วยลูบหลังอย่างห่วงใย

    ร่างบางรู้สึกหน้ามืดตาลายจนอยากจะตบปากตนเองที่พูดไวไปนัก ไม่เข้าใจเลยตอนนั้นเขาคิดอะไรอยู่


    (ย้อนไปสิบแปดชั่วโมงก่อน)

    ชานยอลได้รับรายงานจากหน่วยดูแลวิญญาณที่สามสิบแปดว่ามีวิญญาณอาละวาดอยู่ ทางนั้นเหมือนจะเอาไม่อยู่แล้ว และมารมือขวาผู้รับผิดชอบก็ถูกส่งไปทำภารกิจลับ พญามารเห็นว่างานเอกสารมีไม่มากจึงคิดจะออกไปดูเสียหน่อย เพียงแต่ลุกขึ้นก็มีใครมาขวางไว้ทันที

    “ท่านชานยอลจะไปไหนหรือขอรับ” เป็นเลขาคยองซูนี่เองดึงชานยอลไว้ พญามารจึงเล่าเรื่องให้ฟังโดยละเอียดซึ่งด้วยความที่โต๊ะอยู่ติดกัน แบคฮยอนจึงได้ฟังทั้งหมดเช่นกัน

    “ข้าขอไปด้วยได้ไหม ข้าเชี่ยวชาญการสกัดจุดวิญญาณ ข้าอาจช่วยท่านได้” เลขาคยองซูเสนอความช่วยเหลืออย่างมีน้ำใจจนชานยอลไม่กล้าปฏิเสธ พญามารจึงหันมาถามเทวดาหนึ่งเดียวในห้อง

    “เจ้าจะไปด้วยไหมแบคฮยอน”
    “ไปสิไป” ซึ่งแบคฮยอนก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อนเลย

    “ถ้างั้นต้องบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้หกพันไมล์ แบคฮยอนเจ้าบินไหวไหม” ชานยอลกล่าวถาม
    “ไหวสิ” แบคฮยอนก็ตอบอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
    “งั้นไปกัน”

    จบตรงนี้ทั้งสามก็ออกจากสำนักงานมา คยองซูกล่าวว่าเขาบินไม่ไหวจึงขอใช้เวทเคลื่อนย้ายล่วงหน้าไปก่อน แต่ชานยอลถนัดบินไปมากกว่าจึงพาแบคฮยอนมาทางลานโล่ง ร่างสูงกางปีกแปดคู่จากนั้นร่างเล็กก็กางปีกบ้าง แต่ปรากฏว่าปีกสามคู่สร้างความประหลาดใจให้พญามารไม่น้อย

    “ทำไมปีกเจ้า...” ถามแค่นั้นแล้วชานยอลก็เอามือกุมคางพลางใช้ความคิด จากนั้นเขาไม่ว่าอะไรอีกแต่ดึงมือแบคฮยอนให้เข้ามาในอ้อมกอดจนเทวดาต้องหุบปีกลง

    “อ๊ะ เจ้า” เทวดาร้องด้วยความตกใจแต่ก็ทำได้แค่นั้น

    พอแบคฮยอนอยู่ในวงแขนพญามารผู้แข็งแกร่งแล้วก็แทบขัดขืนไม่ค่อยได้ จะดิ้นหลุดก็พบว่าชานยอลร่อนขึ้นไปบนความสูงกว่าพันฟุตเรียบร้อย เทวดาผู้ไม่ชินกับอากาศบนที่สูงของภพภูมินรกเลยได้แต่เกาะอยู่บนร่างมารจากนั้นก็มุดลงในแผงอกอันอบอุ่นอย่างว่าง่าย

    “เจ้าไม่ต้องบินเองหรอก ข้าจะพาเจ้าไปเอง” ในตอนนั้นแบคฮยอนแหงนหน้ามองชานยอลแล้วก็รู้สึกว่าพญามารนั้นเท่จริงๆ นอกจากปีกแปดคู่จะทรงพลังอย่างไม่มีใครเทียบแล้ว ใบหน้างดงามประดับด้วยเขาโง้งแนบศีรษะนั่นยังทำให้น่าหลงใหลไปอีก

    ทำเอาเทวดาสะบัดศีรษะไล่ความคิดว่าพญามารเท่ออกไป เขายังโกรธการแปลงร่างเป็นหยวนชานชานอยู่นะ ชานยอลตรงหน้าไม่ใช่คนใสซื่อแต่เห็นเขาเป็นของเล่นต่างหาก จำไว้

    บินไปสักพักแบคฮยอนก็รู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก พญามารจึงร่ายเวทยกให้ลอยนิ่งอยู่อย่างนั้น ที่ชานยอลไม่กล้าเอาเขาลงไปข้างล่างเพราะเป็นเขตกักกันวิญญาณ หากลงไปแบคฮยอนอาจจะถูกดูดพลังแบบคราวก่อนได้ ชานยอลอธิบายว่าตอนนั้นแบคฮยอนสาหัสขนาดไหน เทวดาจึงคิดได้ว่าคราวนั้นก่อนจะหมดสติไปก็คือพญามารนั่นเองที่อุ้มเขากอดแนบอก

    มือสวยยกสัมผัสหน้าอกตนเองที่ใจเต้นไม่เป็นเวลาแล้วก็หายใจลึกๆ ในตอนนั้นชานยอลดูห่วงเขาก็จริงแต่เขาจะไม่ให้อภัยที่เห็นเขาเป็นของเล่นเด็ดขาด ท่องไว้ว่ามาทำงานใกล้ชิดพญามารเพื่อหาทางกลับสวรรค์ พอคิดได้หัวใจก็สงบจากนั้นจึงให้ชานยอลพาบินต่อ

    ซึ่งชานยอลเหมือนจะเห็นการบินครั้งนี้เป็นการไปเที่ยวเสียอย่างนั้น สักพักเรียกให้แบคฮยอนในอ้อมกอดดูนั่นนี่ บางทีหยุดพักแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยโดยให้เหตุผลว่าแบคฮยอนจะเหนื่อย แม้วิวทิวทัศน์บางส่วนจะสวยงามจริงแต่เพราะอยู่ภายใต้แขนอันแข็งแกร่งของคนที่ไม่ชอบ เทวดาจึงไม่สบอารมณ์นักแม้หัวใจจะเต้นหนักบางทีแบบไม่ฟังเขาเลยก็ตาม

    จากนั้นก็อย่างที่เห็น เพราะบินๆ หยุดๆ จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสิบแปดชั่วโมงแล้ว หลังจากร่อนลงพื้นเรียบร้อย แบคฮยอนวิ่งไปอ้วกหนึ่งระลอก ชานยอลก็พาเขามาพักผ่อนในเรือนรับรองก่อน

    แบคฮยอนอยากจะข่มตานอนแต่เขายังจำได้ว่ามาเพื่อทำงาน ดังนั้นจึงไถ่ถามเรื่องงานก่อนพอเป็นพิธี

    “สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง” หมายถึงวิญญาณหลุดการควบคุมซึ่งเป็นเหตุผลในการมาที่นี่
    “ตอนนี้ควบคุมได้บางส่วนแล้ว คยองซูที่มาก่อนพวกเราจัดการไปได้เยอะมาก” พญามารตอบแล้วยิ้มด้วย แต่นั่นทำให้แบคฮยอนลุกพรวดขึ้นมาเพราะรู้สึกเหมือนตอนชานยอลชมว่าคยองซูทำงานดีมากแล้วเผลอฉีกกระดาษในมือแบบไม่ทราบเหตุผล

    “เจ้าจะไปไหน?” ชานยอลเห็นแบคฮยอนลุกจึงถาม
    “ข้าจะไปช่วยเจ้าดูสถานการณ์ก่อน” เทวดาตอบอย่างมุ่งมั่น
    “เจ้าเมาการบินนี่ พักก่อนไหม”
    “ไม่ ไม่พักแล้ว เจ้าพาข้าไปดูหน่อย” สั่งการราวกับตนเองเป็นนายไม่ปานพร้อมสีหน้าแววตามุ่งมั่น จนพญามารแอบกลั้นขำในความน่ารัก
    “ได้ ข้าจะพาเจ้าไป” สุดท้ายก็พาบินขึ้นไปสำรวจหน่วยที่สามสิบแปดสักรอบ


    แบคฮยอนเบิกตามองกว้างเมื่อเห็นกลุ่มผู้จัดการวิญญาณและวิญญาณคลั่งเบื้องหน้า เขาจำได้ว่าไอ้ตัวก้อนที่เขมือบเขาขนาดใหญ่มากแต่เทียบไม่ได้เลยกับขนาดของวิญญาณคลั่งที่นี่ ไอ้ตัวตรงนั้นที่คยองซูกำลังสู้อยู่ตัวใหญ่กว่าก้อนเขมือบไปประมาณสามเท่าเลย แถมพลังตอนมันส่งมายังแปลกประหลาดอีก เหมือนควันแต่สามารถกัดกร่อนคู่ต่อสู้ให้บาดเจ็บได้

    “นั่นเรียกว่าวิญญาณรวมคลั่งน่ะ พวกมันคือวิญญาณคลั่งหลายตัวรวมกัน มันเปลี่ยนพลังที่เราใช้กดดันให้มันสำนึกกลายเป็นความแค้นและก่อตัวเป็นหมอกวิญญาณ สามารถกัดกร่อนพลังมืดได้” ชานยอลราวกับรู้ว่าแบคฮยอนกำลังสงสัยจึงตอบออกมา

    “แล้วถ้ามันหลุดไปโลกจะเป็นอย่างไร” แบคฮยอนอดถามไม่ได้ ขนาดเขาเป็นเทวดาที่มีพลังปกป้องตนเอง ยามโดนเจ้าก้อนวิญญาณกลืนกินยังแทบจะเอาไม่รอด ถ้าเป็นตัวนี้หลุดไปบนโลกคงทำร้ายมนุษย์ไม่น้อย

    ชานยอลกระชับเอวแบคฮยอนให้แนบชิดตนเองอีกครั้ง แม้แบคฮยอนจะเข้าใจว่าร่างสูงกลัวเขาจะตกลงไปยังดงวิญญาณคลั่งนั่น แต่ก็อดใจสั่นไม่ได้ เขากับพญามารนั้นลำตัวตั้งแต่หน้าอกจนถึงเท้าใกล้กันสุดๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พอเทวดาเริ่มรู้สึกหน้าร้อน ชานยอลก็ตอบออกมา

    “ตอนนี้มันจะไม่หลุดไปหรอก เว้นแต่ว่าจะมีนักเวทมิติมาช่วยมันแบบคราวก่อน” พูดจบก็เม้มปากแน่นราวกับเผลอหลุดข้อมูลสำคัญ เล่นเอาแบคฮยอนฉุกคิด นักเวทมิติอย่างนั้นหรือ ของแบบนั้นมีแค่ที่สวรรค์กับมนุษย์ผู้ได้รับการอวยพรบางส่วนเท่านั้น แสดงว่าคราวแล้วพวกนี้สินะที่ป่วนนรก พวกอี้ชิงกับเซฮุนจึงต้องไปจัดการด้วยตนเอง

    “งั้นจะให้ข้าช่วยอะไร” พอเห็นว่าคยองซูกำลังต่อสู้กับวิญญาณเบื้องล่างอย่างแข็งขัน แบคฮยอนก็อดถามไม่ได้ เขาอุตส่าห์ตามมาช่วยก็ต้องลองช่วยดู แม้ว่าพลังตนเองจะมีเพียงน้อยนิดสู้ผู้อื่นไม่ได้ก็ตาม

    “ไม่เป็นไรเจ้าอยู่ที่นี่ หากข้ามีบาดแผลเจ้าก็ช่วยรักษา ได้ไหม” ชานยอลกลับร่ายเวทลอยตัวแล้วให้แบคฮยอนอยู่ในก้อนอากาศ จากนั้นก็พุ่งลงไปยังเบื้องล่างโดยไม่รับคำตอบกลับด้วย

    “ก็ได้น่า” เทวดาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเซ็งนิดๆ ตรงนั้นเอง


    (ห้านาทีต่อมา)

    ชานยอลกำจัดวิญญาณไปได้หลายตัวแล้ว เหลือแค่ไม่กี่ตัวก็จะสามารถจัดการได้หมด แต่ทันใดนั้นวิญญาณตนหนึ่งก็โจมตีเขาด้านหลัง แบคฮยอนจึงยิงลำแสงส่วนหนึ่งไปที่วิญญาณนั้นทำให้วิญญาณไหม้ทันที

    พญามารจัดการวิญญาณต่อ หลังจากจัดการหมด จึงขึ้นมารับตัวแบคฮยอนกลับที่พัก

    แบคฮยอนสังเกตว่าระหว่างทางกลับ ชานยอลบินช้าลงกว่าที่ควร แถมยังไม่พูดอะไรสักคำด้วย เมื่อถึงที่พัก ก่อนชานยอลจะออกจากห้องเขาไปแบคฮยอนจึงเรียกให้พญามารมาใกล้ๆ จากนั้นก็สั่งให้กางปีกออก

    ชานยอลเชื่อฟังอย่างว่าง่าย ร่างสูงกางปีกออกแต่ไม่ขยายกว้าง ถึงกระนั้นก็มองเห็นได้ชัดว่าปีกคู่ที่แปดมีรอยเลือดแถมยังหยดแหมะลงบนพื้นอีก

    “เจ้าบาดเจ็บจริงๆ ด้วย” เทวดายกมือขึ้นจับปีกหนังค้างคาวอย่างเบามือ จากนั้นก็ร่ายเวทรักษาจนเลือดหยุดไหล
    “ขอบใจ” พญามารกล่าวขอบคุณพลางขยับตัวแต่โดนห้ามไว้เสียก่อน
    “ชู่ว ข้ายังรักษาไม่เสร็จ” พูดจบแบคฮยอนก็ร่ายเวทอีกครั้ง คราวนี้นานกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะเป็นเวทรักษาขั้นสูงสุด ปากพึมพำบทเวทไปแต่ในใจกลับบ่นขรม เมื่อครู่ชานยอลก็ยังดึงดันจะบินพาเขากลับมาอีกทั้งๆ ที่ตัวเองบาดเจ็บ ปกติชานยอลมีปีกแปดคู่แต่ตอนบินกลับกางแค่หกคู่ แบคฮยอนเลยสงสัยว่าจะบาดเจ็บซึ่งใช่จริงด้วย อย่างนี้มันน่าจะปล่อยให้เจ็บจนเข็ด

    สักพักแสงสว่างอันอบอุ่นก็เติมเต็มรอยแผลจนไม่เหลือรอยอะไรเลย มันหายไปหมด หัวใจชานยอลก็เช่นกัน หายไปอยู่กับแบคฮยอนหมดแล้ว

    ร่างสูงของพญามารทำเป็นว่าเจ็บอยู่และหดปีกกลับเข้าไป จากนั้นก็ทำท่าจะล้ม แบคฮยอนจึงเซไปนั่งตรงเตียงเพราะต้านทานน้ำหนักชานยอลไม่ไหว แล้วมารเจ้าเล่ห์ก็ทรุดลงเอาศีรษะวางบนตักเทวดาตัวน้อยก่อนจะร้องโอดโอยพอเป็นพิธี

    “โอย”
    “เจ้าเป็นอะไร ยังไม่หายหรือ ข้าใช้เวทรักษาขั้นสูงสุดแล้วนะ” เทวดากล่าวละล่ำละลักจากนั้นก็พยายามพลิกตัวมารมาดูแผลแต่แค่จะยกแขนยังไม่มีแรง นับประสาอะไรกับพลิกตัวในเมื่อตอนนี้พญามารเหมือนจะหลับไปแล้ว
    “ขอนอนนะ” น้ำเสียงออดอ้อนราวกับละเมอดังออกมาจากปากมาร
    “ชานยอล ตื่นสิ” แบคฮยอนจึงพยายามปลุกสักหน่อย อยากนอนก็ไปห้องตัวเองสิโธ่
    “นะ” เสียงเบาๆ กล่าวออกมาอีกครั้งแล้วก็เหมือนพญามารจะหลับไปจริงๆ

    แบคฮยอนทำอะไรต่อไม่ได้เลย แม้ตอนนี้จะนั่งบนเตียงแล้วพิงหลังได้ก็เถอะ แต่เหมือนชานยอลจะนอนบนตักเขาไปแบบนี้จนกว่าจะตื่น ร่างบางถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนจะปล่อยเลยตามเลย ถือเสียว่าวันนี้ชานยอลพาเขาบินจนเหนื่อย พอจะจัดการงานตนเองก็บาดเจ็บอีก แบคฮยอนช่วยได้เพียงรักษาแต่ช่วยสู้ไม่เป็น ดังนั้นเขาจะไม่ถือสาก็แล้วกัน

    แต่ผมปรกหน้าชานยอลนี่มันเห็นแล้วขัดลูกตาชะมัด มือวางสะเปะสะปะนั่นอีก ว่าแล้วก็จัดผมเสียหน่อยเอาที่ปรกหน้าผากเก็บไปไว้ด้านข้าง ส่วนมือก็ยกมาวางไว้...

    “อ๊ะ” แบคฮยอนสบถเบาๆ เมื่อมือของชานยอลที่เขายกไปวางไว้บนหน้าอกอีกฝ่าย กลับกำมือเขาไว้แน่น จะสะบัดก็กลัวว่าจะตื่น ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาจะปล่อยไว้อย่างนั้นก็แล้วกัน

    แม้ว่าการจับมือของชานยอลจะทำให้มือแบคฮยอนมีเหงื่อซึมแล้วก็ทำให้ใจสั่นแปลกๆ ก็เถอะ


    ****lucky one and monster****


    ชานยอลสะดุ้งตื่นอีกครั้งก็พบว่ามือของเขาโดนอีกฝ่ายจับจนแน่นและชื้นแฉะไปหมด เอาจริงมันไม่ถูกสุขอนามัยแต่มันดีต่อใจมากมาย แบคฮยอนนั่งพิงกับขอบเตียงแล้วหลับลึกไปแล้ว ใบหน้ายามเข้าสู่ห้วงนิทราช่างน่ารักเสียจนอยากหยิกแก้ม หากไม่กลัวว่าเทวดาตัวน้อยจะตื่นชานยอลคงจับฟัดเสียตรงนี้

    ร่างสูงยกตัวเองขึ้นนั่งแล้วบีบนวดไหล่เสียหน่อย เมื่อครู่เขาเกร็งตัวและแอบร่ายเวทลอยตัวไว้จึงทำให้น้ำหนักไม่ลงตักแบคฮยอนโดยตรง หากไม่ใช่ว่าเหนื่อยล้ามากไปจริงๆ ชานยอลคงหลับตานอนไม่ลงแน่ แต่การบินกว่าหกพันไมล์ในเวลาอันรวดเร็วพร้อมกับอุ้มผู้ที่ตนทะนุถนอมพร้อมสร้างบาร์เรียป้องกันภัยไปด้วยนั้นพญามารใช้พลังไปมากจริงๆ

    หลังจากยืดหยุ่นร่างกายสักหน่อย พญามารก็จัดท่าทางให้เทวดาตัวน้อยนอนบนเตียงดีๆ ห่มผ้าให้พร้อมแล้วจากนั้นก็มองอีกสักรอบ หน้าตาแบคฮยอนปากนิดจมูกหน่อย จมูกโด่งรั้นแบบเด็กดื้อแล้วปากยังเชิดขึ้นเหมือนงอนนิดๆ ด้วย มันน่า...นัก

    ชานยอลไม่รู้ตัวเลยว่าเขาหลงรักอีกฝ่ายได้อย่างไร แต่พอรู้ตัวชีวิตก็อยากจะมีแต่แบคฮยอนตลอดไปเสียแล้ว คิดถึงตอนแบคฮยอนเจ็บหนักจากปิศาจตอนนั้นเขาแทบทำใจไม่ได้ ดังนั้นวันนี้เลยไม่ยอมให้แบคฮยอนต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณเด็ดขาด

    แต่ช่างน่าขำนัก เขาอยากเจอแบคฮยอนทุกวันเลยชวนเทวดาตัวน้อยมาด้วยแต่ก็เผลอปกป้องมากไปจนต้องเจ็บตัวอีก เดือดร้อนร่างเล็กต้องมารักษาให้เขาแม้ว่าแบคฮยอนจะมีพลังรักษาที่ดีมากก็เถอะ

    มือหนาของมารลูบไปบนใบหน้าเทวดาด้วยความรัก สักพักก็ก้มลงจูบหน้าผาก ตา แก้มและสุดท้ายจบตรงปากน้อย พึมพำเบาๆ ว่าขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงจากนั้นหวังจะลูบผ้าห่มให้แนบตัวอีกหน่อยก็พบว่ามือโดนคว้าไปอย่างไม่ทันตั้งตัวเสียแล้ว

    “อย่าไป! ชานชาน!” แรงดึงจากมือน้อยพร้อมเสียงละเมอทำเอาชานยอลชะงัก

    ยังสินะ แบคฮยอนยังคงคิดถึงรูปลักษณ์ชานชานของเขาอยู่ เขามันโง่เองที่คิดว่าจะเข้าหาเทวดาน้อยด้วยนิสัยไม่ใช่รูปร่างหน้าตา อย่างไรเสียการทำแบบนั้นมันก็ถือว่าหลอกแบคฮยอนจริงๆ ไม่แปลกที่จะยังโดนโกรธอยู่ แม้อีกฝ่ายจะทำเหมือนกับว่าไม่โกรธเขาก็เถอะ

    ใช่... ชานยอลรู้ว่าแบคฮยอนมาทำงานกับเขาเพราะอะไร ถ้าเทวดาลัคกี้วันตนนี้ยังคงมาทำงานทุกวัน แสดงว่าทำตามคำสั่งเซฮุนเพื่อมาเกลี้ยกล่อมเขาให้ปล่อยตนเองกลับสวรรค์ตามแผน ซึ่งนั่นก็ทำให้ชานยอลทั้งดีใจและปวดใจในเวลาเดียวกัน

    ดีใจ...เมื่อได้เห็นเทวดาที่รักทุกวัน
    และปวดใจ...ยามตระหนักได้ว่าเทวดานั้นมาเพื่อต้องการไปจากเขานั่นเอง

    ชานยอลตกอยู่ในภวังค์สักพักก็พบว่าแบคฮยอนคลายมือออกแล้ว มือใหญ่จึงพยายามปลดตนเองออกจากมือเล็กแต่พอจะดึงออกหมดแล้ว กลับพบว่าอีกฝ่ายดึงมือเข้าไปมากกว่าเก่า คราวนี้ดึงไปทั้งแขนเลยทีเดียว ทำไมจู่ๆ ถึงได้แรงมากขนาดนี้นะ

    “อย่าไป ชาน...”

    ตึกตัก... เสียงหัวใจชานยอลเต้นแรงกว่าปกติเพราะลุ้นว่าคราวนี้จะเป็นชานอะไร ชานชาน ชานเลี่ย หรือตัวตนที่แท้จริงของเขา...ชานยอล

    แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาหลังจากนั้น แบคฮยอนยังคงดึงทั้งแขนเขาไปกอด เอาใบหน้ามาถูๆ กับแขนอีกต่างหาก คราวนี้จะถอนตัวออกมาได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อชานยอลยังใจสั่นกับคำว่าชาน... ของแบคฮยอนไม่หาย แถมตอนนี้เขาแทบจะโหนตัวลงนอนข้างแบคฮยอนไปด้วยแล้ว

    ทำอะไรไม่ได้ชานยอลก็ทิ้งตัวลงนอนข้างเทวดาขี้ละเมอไปเสีย อย่างไรตอนแรกแบคฮยอนก็ยอมให้เขานอนหนุนตักอยู่แล้วไม่ใช่หรือ แม้จะไม่แน่ใจว่าแบคฮยอนดีกับเขาเพราะตอนแรกแอบลักไก่ทำเป็นเจ็บแล้วนอนหนุนตักหรือเปล่า แต่ตอนนี้เขาก็จะถือว่าลืมแผนการหนีกลับสวรรค์ของเทวดาไปเสีย

    ไม่คิดมากแล้ว เกิดมากว่าพันเก้าร้อยปีชานยอลก็ไม่เคยคิดมากขนาดนี้มาก่อน พอรู้ตัวจึงดึงผ้าห่มผืนเดียวกันมาคลุมตัวจากนั้นก็ปล่อยให้แบคฮยอนนอนกอดแขนตนเองต่อไป

    ฝันดีนะแบคฮยอน


    ****lucky one and monster****


    แบคฮยอนตื่นมาในตอนเช้าด้วยอารมณ์แจ่มใสพร้อมความอบอุ่นที่รู้สึกว่าไม่ใช่มาจากผ้าห่มผืนหนาบนตัวในตอนนี้ ตาเรียวกะพริบปริบๆ ให้ชินกับแสงสว่างแล้วก็พบกับใบหน้าอันคุ้นเคย ใบหน้างดงามมีจมูกโด่งได้รูปรับกับปากอวบอิ่มและผมสีแดงเพลิงพร้อมอ้อมกอดอบอุ่นแนบแน่นนาบทั้งร่างของเขาให้ติดเข้ากับร่างใหญ่ตรงหน้าจนรู้สึกถึงอะไรต่ออะไรมากกว่าที่เคย…

    เดี๋ยวนะ ตรงนั้นมันแปลกๆ เหมือนมีอะไรทิ่มอยู่ตลอดเวลา…

    “อ๊ากกกกกก” เทวดาร้องลั่นแล้วดันร่างใหญ่ออกจากตนเองทันที ด้วยว่ามารไม่ทันตั้งตัวจึงแทบตกเตียง จากนั้นทั้งหมอนและอะไรต่อมิอะไรก็เขวี้ยงใส่ชานยอลจนรับแทบไม่ทัน

    “แบคฮยอนเดี๋ยวก่อน เจ้าเป็นอะไรไป” หลังจากหมดมหกรรมขว้างของต้อนรับยามเช้า ชานยอลจึงได้ฤกษ์ถาม

    “ก็...ก็...เจ้า” อึกๆ อักๆ พร้อมกับพยายามย้อนความหลัง แบคฮยอนจำได้ว่าเขามาช่วยจัดการวิญญาณที่เขตสามสิบแปดพอเห็นชานยอลบาดเจ็บก็เลยช่วยรักษา แล้วชานยอลยังเจ็บอยู่จึงฟุบลงบนตัก จากนั้นเขาก็...เขาก็

    ลูบเสื้อผ้าหน้าผมก็ปกติไม่มีชิ้นไหนถูกกระชากลากถู พอมองไปข้างหน้าก็พบว่าท่านพญามารแม้จะสภาพไม่ค่อยดีมีแผลถลอกเพราะเขาโยนของใส่ แต่โดยทั่วไปก็ไม่มีอะไรถอดออกจนน่าเกลียด แบคฮยอนจึงเงียบแล้วก็ตั้งสติสักเล็กน้อย

    “เจ้าเป็นอะไร บอกข้าได้” พญามารมาดใจดีมาอีกแล้ว ถ้ามาแบบนี้แบคฮยอนจะปวดหัวเป็นพิเศษเพราะอีกฝ่ายจะไม่เลิกตอแยหากเขายังไม่พูดความจริงใส่

    “มะ ไม่เป็นไร ข้าแค่คิดว่า...”
    “คิดว่าอะไร” นั่นไงล่ะ แบคฮยอนเดาแล้ว อีหรอบนี้เขาต้องตอบจริงๆ หรือ
    “ก็คิดว่าข้ากับเจ้า...” ตอบไปก็หน้าแดงไป จะพูดยังไงล่ะเนี่ย

    “ข้ากับเจ้าอย่างไร” พญามารทำหน้างงงันใส่เขาไม่เลิก จะบอกว่าตกใจที่นอนข้างกันก็ไม่แน่ใจว่าจะหายเพราะเมื่อวานเขายอมให้อีกฝ่ายนอนหนุนตักแท้ๆ มารังเกียจตอนนี้เหมือนจะไม่เนียน
    “ก็ข้ากับเจ้ามี เอ่อ มี” เทวดาหน้าแดงจัด ที่นรกเขาเรียกการเสียความบริสุทธิ์ว่าอะไรล่ะหืม
    “มีอะไรหรือแบคฮยอน” ยัง...ยังไม่เลิกถามอีก
    “เอ้อ คือเมื่อครู่ข้ารู้สึกเหมือนท่านอยู่ใกล้ข้ามากไป” สุดท้ายตอบเลี่ยงๆ ให้จบเสีย
    “แต่เมื่อวานเจ้าให้ข้านอนหนุนตักด้วยซ้ำ”
    “ก็เมื่อกี้เจ้าเอาไอ้นั่นดุนหน้าขาข้า อุปส์” พูดแล้วตะครุบปากตนเองแทบไม่ทัน เทวดาหน้าม้านไปหมดแล้ว ในที่สุดก็พูดไปแล้ว อ๊าก

    ชานยอลมองร่างกายตนเองแล้วสะดุดตรงกางเกงมีส่วนนูนมากกว่าปกติ มือหนาจึงยกมาลูบท้ายทอยแก้เก้อจากนั้นก็ยอมรับหน้าตาเฉย

    “อ้อ ขอโทษ บางทีตอนเช้ามันก็จะตื่นน่ะ”
    “เจ้า!”

    สุดท้ายเทวดาจึงวิ่งเข้าห้องน้ำไปพร้อมใบหน้าแดงจัดลามไปจนถึงหูเลย






    talk
    แหม่ ใครว่าชานยอลใสใส
    คนพรูฟฝากมาบอกว่า ถ้าชานยอลคนจริงต้องไม่แค่เอาไอ้นั่นทิ่มหน้าขาแน่ๆ ./////.

    #luckyonecb
    @noeybaekbd


    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 13 สังเกตดีๆ มีไคมา

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:49 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 13
    สังเกตดีๆ มีไคมา






    หลังเหตุการณ์อะไรทิ่มกันนั่นเคลียร์เรียบร้อย แบคฮยอนก็เดินทางด้วยเวทเคลื่อนที่กลับมาสำนักงานเขตกลางพร้อมคยองซู โดยชานยอลจะตามมาทีหลังเนื่องจากต้องจัดการงานต่อนิดหน่อย ซึ่งมันทำให้แบคฮยอนสงสัยมากว่าทำไมตอนแรกชานยอลไม่ส่งเขาไปที่นั่นด้วยเวทกับคยองซูแต่แรก จะมาลำบากอุ้มเขาบินไปกว่าสิบแปดชั่วโมงทำไมกัน

    นอกจากนั้นแบคฮยอนยังรู้สึกผิดที่มีส่วนทำให้ชานยอลบาดเจ็บอีกด้วย เขามาคิดได้ตอนเช้านี้เองว่าเวทควบคุมแรงดันที่ชานยอลใช้ตลอดการเดินทางมีกลิ่นอายคุ้นๆ มันคือเวทป้องกันเหมือนซูโฮกับเซฮุนทำให้เขานั่นเอง เห็นว่ามันเสียพลังไปหลายล้านหน่วยหากจะทำให้คงสภาพไปสิบแปดชั่วโมง ดังนั้นพญามารจึงมีแรงเหลือน้อยจนพลาดให้วิญญาณเข้ามาทำร้ายได้

    เมื่อรู้ว่าตนเองมีส่วนผิด แบคฮยอนก็เลยไม่ถือสาหาความใดๆ กับเรื่องเมื่อเช้าอีก จากนั้นก็ทำตัวว่าง่าย ให้ไปไหนก็ไปทำอะไรก็บอกมา จึงได้กลับมาสำนักงานเขตกลางแล้วนั่งแหมะอยู่บนโต๊ะทำงานเพื่อจัดเอกสารต่อไปอย่างนี้

    ก๊อก ก๊อก

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น แต่ในห้องมีแค่คยองซูที่มาจัดการงานต่อกับแบคฮยอนเท่านั้น เทวดาหนุ่มจึงขานรับ

    “เข้ามา”

    จบคำก็ปรากฏมารหนุ่มรูปร่างหน้าตาดีตนหนึ่ง แบคฮยอนไม่แน่ใจว่าเคยเห็นหน้าหรือไม่แต่รู้สึกคุ้ยเคยอย่างประหลาด อาจจะเป็นลูกน้องของชานยอลหรือเซฮุนที่ตนเคยเห็นหน้าก็ได้ เทวดามองไปทางคยองซูก็เห็นว่าอีกฝ่ายมองมารหนุ่มแว่บหนึ่งแล้วก็ทำงานต่อไป จึงรู้ว่าต้องเป็นหน้าที่ตนเองถามมารหนุ่มสินะ

    “เจ้ามีธุระอะไร?”
    “ข้าชื่อจงอินขอรับ มาช่วยท่านเลขาทำงานตามคำสั่งของท่านพญามาร” มารหนุ่มผิวสีช็อคโกแลตเอ่ยตอบเสียงใสพลางส่งยิ้มมาให้ทั้งเขาและคยองซู แบคฮยอนไม่เข้าใจเหมือนกันว่างานเขามันมีอะไรให้ช่วยจึงต้องส่งมารหน้าตาดีร่างกายกำยำมาช่วย หน้าที่เลขาพิเศษมีแค่จัดเอกสาร ชงชาแล้วก็ยิ้มหวานให้พญามารเท่านั้นเอง สงสัยงานคยองซูจะยุ่งล่ะมั้ง

    “อ้อ งั้นหรือ เจ้าไปช่วยคยองซูก็แล้วกัน” แบคฮยอนตอบเสร็จก็คิดว่าควรชงชาให้กับผู้มาใหม่ คยองซูและตัวเขาสักกาหนึ่ง จากนั้นจึงเข้าห้องด้านข้างไป ปล่อยให้จงอินกับคยองซูทำงานด้วยกันไป



    (ในอีกด้านหนึ่ง)

    จงอินเดินเข้าไปหาคยองซูด้วยหัวใจลิงโลด หลังจากได้รับคำสั่งให้มาคุ้มครองแบคฮยอนเขาก็ถามชานยอลว่าคยองซูก็อยู่ที่นั่นด้วยใช่ไหม พอพญามารตอบว่าใช่ก็เร่งหายตัวมาอยู่หน้าห้องเลย เคาะประตูพอเป็นพิธีก็แนะนำตัวแค่ชื่อและมาเพื่อช่วยงาน เหมือนแบคฮยอนจะจำเขาไม่ได้และคยองซูก็ไม่เคยเจอเขา จึงไม่มีใครเอะใจเรื่องมารหนุ่มที่มาช่วยงานแม้แต่น้อย

    ลอร์ดมารมือซ้ายลากเก้าอี้มานั่งข้างเลขาคยองซูแล้วก็เอ่ยเสียงใส

    “ให้ข้าช่วยอะไรดีขอรับ ท่านคยองซู” ยิ้มหวานให้ด้วย หวังว่าคยองซูจะเห็นนะ
    “อ้อ เจ้าทำอะไรได้บ้าง”
    “ข้าทำได้ทุกอย่าง...ที่ท่านต้องการ” หยอดนิดหน่อยแต่เหมือนคยองซูจะไม่รู้ความนัยนั่น เขาทำทุกอย่างได้เพื่อคยองซูจริงๆ
    “งั้นเจ้าช่วยข้าตรงนี้” คยองซูหยิบเครื่องมือบันทึกออกมาแล้วกดเปิดจากนั้นก็ยกมือตนเองไปจับหน้าจอซึ่งจงอินก็จับตามทำทีว่าเผลอแตะมือของท่านเลขาด้วย
    มือนุ่มมาก จงอินคิด
    “เจ้าบันทึกข้อความทั้งหมดลงในนี้” เลขาคยองซูเป็นมารที่ตั้งใจทำงานเสมอ จึงไม่ได้ใส่ใจว่ามือตนเองจะจับกับมารหนุ่มแล้วทำให้จงอินหน้าแดงเคลิ้มหรือไม่

    แต่จงอินสิไม่ไหวแล้ว ร่างเล็กของท่านเลขามีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาตลอด แถมยังดูเอาการเอางานและจริงจังอย่างน่ารักแบบที่เขาชอบแอบมอง มารมือซ้ายไม่ได้เจอคยองซูสักระยะแล้วเพราะมัวไปจัดการงานอื่น พอมีโอกาสมาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้จึงได้แต่ภาวนาว่าชานยอลอย่าเพิ่งกลับมาเลย เขาขออยู่กับคยองซู ไม่ใช่สิ ขอคุ้มครองแบคฮยอนต่อไปก่อน

    ว่าแล้วก็หันไปมองเทวดาที่รักของชานยอลบ้าง ตอนนี้แบคฮยอนเข้าไปชงชาได้สักพักแล้ว กลิ่นชาลอยหอมกรุ่นอีกสักครู่ก็คงออกมานั่งกับเขาและคยองซู ดูแล้วไม่น่ามีอะไร มารมือซ้ายจึงหันมาตั้งใจฟังท่านเลขาพูดต่อ

    “เจ้าเข้าใจไหม” เสียงคยองซูลอยมาใกล้
    “หืม?” จงอินจึงหันหน้ามาอย่างรวดเร็ว
    “อ๊ะ” และคยองซูก็ร้องขึ้นเบาๆ

    เพราะจงอินมองคอยืดคอยาวดูว่าแบคฮยอนชงชาใกล้เสร็จหรือยัง คยองซูจึงนึกว่ามารหนุ่มไม่เข้าใจและขยับหน้ามาใกล้เพื่อถาม แต่เนื่องจากยื่นหน้าเข้าใกล้มากไป ปากคยองซูจึง ‘จิ้ม’ เข้ากับแก้มจงอินเข้าอย่างจังคล้ายเข้ามาหอมแก้มเสียอย่างนั้น ท่านเลขาเลยสบถนิดหน่อย แล้วเบะปากไม่พอใจ

    “ขอโทษขอรับท่านเลขา” จงอินรีบก้มหน้าขอโทษทันทีแต่แท้จริงเขาแอบยิ้มในใจและแก้มแดงไปถึงหูแล้ว เมื่อครู่ทำไมไม่เป็นปากชนปากเนี่ย เขาจะได้เนียนจูบเสียให้รู้แล้วรู้รอด

    “มะ ไม่เป็นไร” คยองซูก็หันหน้าไปทางอื่นเช่นกัน

    “ชามาแล้ว พวกเจ้าดื่มให้ชื่นใจเถอะ พญามารไม่อยู่ไม่ต้องเคร่งเครียดนักหรอก” สักพักเมื่อเกิดความเงียบ แบคฮยอนก็มาทำลายความเงียบนั้นแล้วเสิร์ฟชาให้ทั้งคู่ เหมือนว่าเทวดาจะไม่ได้สงสัยเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

    “ขอบคุณขอรับ” จงอินจึงเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็ทำทีว่าแยกไปนั่งโต๊ะที่ว่างอีกโต๊ะ แต่ก็ทำให้โดนแบคฮยอนทักแปลกๆ เสียอย่างนั้น

    “จงอิน เจ้ากำลังนั่งโต๊ะพญามารน่ะ...” พอเทวดาทัก มารมือซ้ายก็สะดุ้งเล็กน้อย เขากำลังทำตัวเป็นมารพนักงานตัวเล็กๆ จะไปนั่งเก้าอี้ของผู้เป็นใหญ่ในนรกได้อย่างไร

    “ขอโทษขอรับ” เขาจึงโค้งลงเพื่อขอโทษ จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะขึ้นมาครั้งหนึ่ง ทำให้มารมือซ้ายหันขวับไปหาเสียงนั่น

    คยองซูที่หลบหน้าเขาเพราะเหตุการณ์ปากจุ๊บแก้มเมื่อครู่กำลังหัวเราะในความเปิ่นเป๋อของจงอินจนปากเป็นรูปหัวใจน่ารัก แค่มองก็ทำให้จงอินแทบละลายอยู่กับพื้นห้องไอ้ท่านพญามารเพื่อนรักเสียแล้ว

    หวังว่าชานยอลจะยังไม่กลับมาในเร็วๆ นี้ เขาอยากจะเฝ้าคยองซูไปทั้งวัน ไม่สิ หลายๆ วันเลยล่ะ

    จงอินไม่รู้หรอกว่าพระเจ้าน่ะได้ยินคำขอของเขาแล้ว และทำให้มันเป็นจริงจนมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ


    ****lucky one and monster****


    หลังจากนั้นหลายวันก็ยังไม่เห็นแม้เงาพญามาร นั่นทำให้แบคฮยอนไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้งานของเขาแค่ชงชาและจัดเอกสารเป็นงานสบายๆ ไม่เหนื่อย แต่งานยิ้มหวานใส่พญามารที่แบคฮยอนทำประจำ พอไม่ได้ทำมันก็เหมือนขาดหายอะไรไป

    เขาไม่ยอมรับหรอกนะว่าเขาเป็นห่วงพญามารนั่น ชานยอลเป็นถึงผู้ปกครองนรก ที่หายไปก็อาจจะเป็นเพราะไปจัดการวิญญาณอีกหลายเขตก็เป็นได้ ดีนะแบคฮยอนใช้เวทสื่อสารไม่เป็นจึงไม่ต้องส่งอะไรไปถาม แต่ทำไมมันถึงหงุดหงิดใจแปลกๆ นี่ก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน

    กลับกันคยองซูนั้นเหมือนจะใช้เวทสื่อสารหรือไม่ก็ใช้อุปกรณ์สื่อสารบางอย่างจึงดูไม่ห่วงชานยอลสักนิด หลายวันมานี้จงอินมารหนุ่มช่วยงานคยองซูได้มาก ถึงแม้แบคฮยอนจะไม่เข้าใจงานของพวกนั้น แต่เหมือนคยองซูจะดีใจเมื่องานเสร็จเร็วแถมบางทียังแอบยิ้มให้แบคฮยอนผู้หงุดหงิดงุ่นงานใจด้วย

    มันน่าเข้าไปถามชะมัดว่าชานยอลไปไหน ทำอะไร และจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่ว่าแบคฮยอนหาเหตุผลให้ตนเองไม่ได้ว่าจะถามไปทำไม เขาไม่ห่วงชานยอลหรอกน่า ไม่ห่วง ไม่ห่วง...

    “คยองซู เจ้าได้ข่าวจากพญามารบ้างไหม” ถามเสร็จก็หน้าม้านไปครึ่งแถบ ไหนว่าจะไม่ถามไงแบคฮยอน…

    “อ้อ ท่านพญามารติดต่อมาว่าจัดการวิญญาณที่เหลือได้หมดแล้ว จะกลับมาวันนี้แหละ” คยองซูตอบออกมาเสียงใสราวกับดีใจที่ชานยอลจะกลับมา ซึ่งนั่นทำให้แบคฮยอนหงุดหงิดและดีใจไปพร้อมๆ กัน

    เดี๋ยวนะ ทำไมต้องหงุดหงิดด้วยล่ะ แล้วทำไมต้องดีใจด้วย แบคฮยอนงงมากกับความรู้สึกนี้ แต่ถ้าชานยอลกำลังจะกลับมา อาจจะอยากดื่มชาหอมๆ ก็ได้ ว่าแล้วไปชงชาดีกว่า

    มือสวยบรรจงใช้คีมคีบใบชาโดยคัดมาเฉพาะใบสวยๆ จากนั้นใช้ที่วัดอุณหภูมิจุ่มน้ำร้อนดูว่าได้ที่หรือเปล่า เมื่อน้ำได้อุณหภูมิตามต้องการก็ล้างชาหนึ่งรอบจากนั้นก็เทลงในกาน้ำร้อนด้วยความคล่องแคล่ว ชานยอลต้องชื่นชมชาของเขาแน่ๆ ว่ามันหวานหอมขนาดไหน อาจถึงขนาดคุกเข่าขอร้องให้เขาชงชาให้ทุกวันก็เป็นได้

    เอ๊ะ แบคฮยอนจะชงชาให้ชานยอลทุกวันได้อย่างไร เขาต้องหาทางกลับสวรรค์สิ จนตอนนี้ยังหาแผนกลับที่เข้าท่าไม่ได้ เขาต้องพยายามมากกว่าเดิมเสียแล้ว

    แบคฮยอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะรอชาเข้าที่ โดยไม่รู้เลยว่าอีกไม่กี่นาทีจะเกิดเรื่องขึ้น

    จู่ๆ ใจกลางห้องทำงานก็ปรากฏวงเวทขนาดใหญ่ แบคฮยอนกำลังเดินออกไปดูก็โดนจงอินลากมาไว้ข้างหลังพร้อมกางบาร์เรียอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดเบาๆ แต่ชัดเจน “หลบหลังข้าไว้”

    แบคฮยอนสัมผัสได้ว่านี่คือบาร์เรียแบบของชานยอลจึงรู้ว่าจงอินเก่งใช่ย่อย มารร่างสูงลากคยองซูมาไว้ในบาร์เรียด้วยกันพร้อมกล่าวเสียงเครียด “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ห้ามออกจากบาร์เรียนี้โดยเด็ดขาด”

    “จงอิน เจ้าเป็นใครกันแน่...” คยองซูขมวดคิ้วแล้วถาม เลขาลำดับสองเหมือนจะเข้าใจอย่างแบคฮยอนว่าฝีมือจงอินใช่ย่อย แล้วมาทำอะไรที่นี่กันแน่

    “พญามารให้ข้ามาคุ้มครองท่าน เชื่อข้าเถอะ” จงอินยังคงจ้องไปที่วงเวทนั้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ซึ่งแบคฮยอนเชื่อหมดใจเนื่องจากกลิ่นอายเวทคุ้มครองนี้ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น

    ที่อันตรายกว่าน่าจะวงเวทซึ่งขยายพื้นที่เกือบจะเต็มห้องทำงานนี้ กลิ่นอายเวทคล้ายเวทเคลื่อนที่ฉับพลัน แต่ถ้าเป็นชานยอลมาจริงทำไมนานมากกว่าอีกฝ่ายจะออกมา แบคฮยอนว่ามันไม่ค่อยเข้าท่าแล้วแบบนี้จึงรวมพลังสว่างไว้ส่วนหนึ่ง

    ฉับพลันวงเวทกลางห้องก็สว่างวาบ ปรากฏเงาของสองร่างต่อสู้กันพัวพัน ร่างหนึ่งมีเงาโง้งและผมสีแดงเพลิงคือชานยอลนั่นเอง สภาพไม่ค่อยดีนักเพราะมีเลือดไหลหยดทุกครั้งที่ขยับ ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ดีนักเช่นกัน เป็นนักเวทมนุษย์ที่เก่งกาจคนหนึ่ง


    จงอินยิงกริชพลังมืดไปทางนักเวทมนุษย์นั่นหนึ่งรอบ ราวกับนกรู้ เจ้านั่นหลบอย่างรวดเร็วทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่นั่นก็เพียงพอจะให้ชานยอลโต้กลับอีกฝ่ายได้

    ร่างสูงของพญามารเงื้อดาบสีดำเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยความเร็ว แต่นักเวทกลับใช้บาร์เรียเวทมากั้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน นั่นทำให้แบคฮยอนขมวดคิ้ว ความเร็วขนาดนั้นแสดงว่ามนุษย์คนนั้นเป็นผู้ได้รับพรจากพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย นักเวทมิติคือหนึ่งในพวกผู้ได้รับพรนั้น และเหมือนเขาจะจำได้ว่านักเวทมิติที่ชานยอลบอกว่ามาป่วนนรกนั้นแอบปล่อยวิญญาณคลั่งออกไป ต้องเป็นมนุษย์คนนี้แน่ๆ

    จงอินเล็งกริชพลังมืดใส่มนุษย์อีกครั้ง คราวนี้ได้ผล มนุษย์หนุ่มทรุดลงกับพื้นทันที ชานยอลก็ยืนคุมท่าทีอยู่ด้านข้าง พญามารเหมือนจะบาดเจ็บไม่น้อยเพราะเลือดหยดลงพื้นทุกครั้งที่ก้าวเดิน แบคฮยอนเริ่มใจเสียหลังจากเห็นเลือดชานยอลเริ่มนองพื้น จากนั้นมนุษย์หนุ่มเหมือนจะรู้ว่าตนสู้ไม่ไหว จึงล้วงเอาผงเวทศักดิ์สิทธิ์ออกมา จากนั้นก็ร่ายคาถาเคลื่อนที่หายไปอย่างรวดเร็ว

    แบคฮยอนพุ่งเข้าไปชานยอลทันทีแต่ก็แพ้คยองซูไปหนึ่งก้าว

    ร่างสูงของพญามารคล้ายอดทนมาตลอด พอนักเวทมิติจากไปจึงล้มลงอย่างไม่น่าให้อภัย ล้มลงในอ้อมแขนคยองซูพอดีจนแบคฮยอนเสียหลัก เมื่อเขาเห็นคยองซูรวบรวมพลังเพื่อรักษาชานยอล จึงทำบ้าง หากแต่กลายเป็นว่าจงอินกลับอุ้มชานยอลขึ้นก่อนจะพูดว่า “ข้าจะพาเขาไปหาอี้ชิง” แล้วหายตัวจากไปเสียอย่างนั้น

    คยองซูอึ้งกับทักษะการหายตัวของจงอินไม่น้อย ร่างของเลขาลำดับสองนั่งนิ่งกับพื้นและอ้าปากกว้าง การจะเคลื่อนที่ในพริบตานั้นสามารถใช้เวทได้ก็จริง แต่จงอินไม่ร่ายเวทเสียด้วยซ้ำ ทำราวกับเป็นทักษะที่มีมาแต่กำเนิด อย่างนี้จะเป็นเพียงมารเล็กๆ ระดับองครักษ์ได้อย่างไร คยองซูคิด

    กลับกันแบคฮยอนมองพื้นตรงที่ชานยอลล้มเมื่อครู่ด้วยใจสับสน ทำไมเขาต้องรู้สึกเสียใจตอนชานยอลล้มลงในอ้อมแขนคยองซูด้วย...

    แต่สักพักก็มีสติระลึกได้ว่าจงอินจะพาชานยอลไปหาอี้ชิง พอทราบดังนี้ก็รีบออกจากสำนักงานไปตำหนักสนมของวังลูซิเฟอร์ทันที

    ออกจากสำนักงานไปก็พบว่าจงอินเตรียมทหารมาคุ้มกันและพาไปวังราวกับรู้ว่าเขาจะตามไป แบคฮยอนไม่รอถามคยองซูว่าจะไปพร้อมกันไหมเพราะอีกฝ่ายออกห้องมาติดๆ จากนั้นก็ขึ้นรถม้าไปวังอย่างรวดเร็ว


    (ห้านาทีต่อมา)

    แบคฮยอนมาถึงวังก็รีบวิ่งไปตำหนักอี้ชิงโดยมีคยองซูวิ่งตามมาไม่ห่าง แต่ก็พบกับจงอินที่หน้าประตูพอดี เทวดาจึงถามหาพญามารเป็นอย่างแรก
    “ชานยอลล่ะ”
    “อี้ชิงร่ายเวทรักษาให้แล้ว กำลังพักน่ะ” จงอินตอบด้วยสีหน้าเรียบ
    พอได้ยินคำตอบแบคฮยอนจึงเดินไปตำหนักอย่างรวดเร็ว คยองซูก็กำลังจะตามไปแต่โดนจงอินรั้งไว้

    “ท่านเลขาขอรับ พญามารสั่งให้ข้ากับท่านไปเคลียร์พื้นที่ ท่านกลับสำนักงานกับข้าได้หรือไม่”
    “อ้อ...เอ้อ ได้” แม้คยองซูจะเป็นห่วงพญามารขนาดไหนแต่ถ้าเป็นเรื่องงาน เลขาลำดับสองอย่างเขาก็ต้องรับผิดชอบโดยไม่บิดพลิ้ว จึงได้เพียงเอ่ยปากเออออตามไป

    โดยหารู้ไม่ว่าจงอินแอบยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพาคยองซูกลับสำนักงานด้วยการโอบกอดท่านเลขาตัวเล็กไว้แนบอก จากนั้นก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว


    แบคฮยอนไปถึงห้องพักพญามารไม่นานหลังจากนั้น แม้ว่าเขาจะไม่เคยมาห้องนี้แต่ก็เคยรับรู้ไว้เมื่อครั้งจองฮวาสอนให้รู้จักห้องต่างๆ ของวังลูซิเฟอร์ เมื่อผลักประตูเข้าไปก็พบว่าอี้ชิงกำลังลูบศีรษะชานยอลอย่างอ่อนโยนโดยมีสามสาวเจ้าเก่ายืนมองอยู่ไม่ห่าง

    “มาแล้วหรือแบคฮยอน” อี้ชิงหันมายิ้มให้แล้วแสร้งไอเล็กน้อย “แค่กๆ ข้าใช้พลังรักษาชานยอลไปไม่น้อย ตอนนี้ขอไปพักก่อนนะ สาวๆ พาข้าไปพักหน่อย” ท่านแม่ขยิบตาให้แบคฮยอนหนึ่งทีก่อนจะเดินออกจากห้องไป

    พอแบคฮยอนกำลังจะอ้าปากถามว่ารีบไปไหนกัน ซาร่าก็หันมายิ้มให้ตามด้วยนาอึนและจองฮวาซึ่งน้องเล็กในกลุ่มเข้ามาบีบแก้มเทวดาตัวเล็กแล้วกระซิบ “ดูแลท่านชานยอลดีๆ ล่ะแบคฮยอน” เทวดาตัวน้อยจึงได้แค่พยักหน้าแล้วยิ้มรับ

    แล้วประตูก็ปิดลง เหลือเพียงแบคฮยอนกับชานยอลในห้องลำพัง

    ครั้นได้ยินแค่เสียงหายใจของตนเองกับพญามารบนเตียงแบคฮยอนก็เพิ่งเริ่มรู้สึกแปลกๆ ทำไมเขาต้องรีบร้อนมาหาชานยอลถึงที่นี่ด้วย ใจร้อนรุ่มหลังจากเห็นการต่อสู้เมื่อครู่ซึ่งสงบลงเมื่อเห็นสภาพร่างมารไร้รอยแผลนอนหลับสบายบนเตียงนี่อีก ทำไมเขาจะต้องรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นชานยอลปลอดภัยด้วยนะ

    แบคฮยอนไม่ได้ห่วงชานยอลจริงๆ สาบานได้
    อ้อ... เขากลัวว่าชาที่ชงไว้จะไม่มีใครดื่มต่างหากล่ะ

    แต่พอเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างเตียงเรียบร้อย พลันมือน้อยก็ยกมือใหญ่ซึ่งวางแนบกายให้มาแนบแก้มตนเองอย่างไม่เข้าใจ อืม มืออุ่นดี น่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว

    อ๊ะ ทำไมเขาจะต้องดีใจเมื่อชานยอลไม่เป็นอะไรด้วย แบคฮยอนเหมือนจะรู้สึกตัวและใจลอยเป็นพักๆ จากนั้นเขาก็นึกได้ว่าวันนี้อยากจะอู้งานเสียหน่อย เขาเป็นเลขาพิเศษมีหน้าที่ติดตามดูแลและคอยยิ้มให้ชานยอล ถ้าอย่างนั้นเขาจะเฝ้าพญามารไว้อย่างนี้ก็แล้วกัน

    แบคฮยอนจึงนั่งจ้องมองชานยอลบนเตียงต่อ โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองเผลอยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางเกลี่ยเส้นผมอีกฝ่ายเล่นไปจนบ่ายคล้อยจึงฟุบลงหลับเสียอย่างนั้น


    (ในมุมมืด)

    “เจ้าว่าแบคฮยอนเริ่มใจอ่อนหรือยัง” สาวผมแดงกล่าวขึ้น
    “ไม่ใช่” สาวผมสีทองตอบ
    “หา? ขนาดมานั่งดูแลท่านชานยอลถึงข้างเตียงเนี่ยนะ เจ้าบอกว่าไม่ใช่” สาวผมแดงแย้ง
    “ไม่ใช่เริ่มต่างหากเล่า อาการอย่างนี้น่าจะใจอ่อนและรักท่านชานยอลนานแล้ว ฮิๆ” หญิงสาวผมสีส้มกล่าวพลางขำท่าทางอึ้งของหญิงสาวผมแดง ซาร่าก็อย่างนี้ล่ะน้า ความรู้สึกช้าจริงๆ เลย
    “ถ้าอย่างนั้นแผนที่ท่านแม่ให้เราเป่าหูแบคฮยอนก็เริ่มได้แล้วสินะ” หลังจากโดนแกล้ง ซาร่ากลับมาทำสีหน้าเคร่งขรึมอีกครั้ง
    “ใช่ ข้าว่าเราต้องลงมือได้แล้ว ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” นาอึนสรุป
    “เห็นด้วย งั้นข้าจะไปบอกท่านเซฮุนไว้ก่อน แล้วเราจะลงมือตอนไหน” ซาร่าถาม
    “อีกสักพัก รอท่านชานยอลตื่นก็แล้วกัน”
    “ได้ เพื่อความรักของของทั้งสอง”
    “ใช่! เพื่อความรักของทั้งสอง!” หญิงสาวกล่าวแล้วก็วางมือซ้อนกัน อีกไม่นานท่านชานยอลก็จะได้สมหวังในรักเสียที แม้พวกเธอจะเสียใจที่พญามารไม่รักแต่ก็ดีใจเมื่อในที่สุดท่านชานยอลจะได้สมหวังรักกับเขาบ้าง

    นับตั้งแต่ท่านชานยอลรู้สึกดีกับแบคฮยอน พวกนางก็เห็นได้ชัดว่าพญามารมีความสุขมากขนาดไหนเวลาอยู่ใกล้เทวดาน้อย ยิ่งตอนที่หายไปสวีทกันบนโลกมนุษย์นั้นยิ่งมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นพญามารรักแบคฮยอนจริงแน่นอน พวกนางก็รักท่านชานยอลเช่นเดียวกัน ทำไมจะไม่ช่วยให้ท่านสมหวังในรักเล่า

    แม้จะโกหกไม่ได้ว่าพวกนางรักท่านชานยอลแต่ก็เสมือนว่าทำใจได้แล้ว เพราะแบคฮยอนเทวดาตนนี้ไม่เหมือนใครเลย ใบหน้าก็น่ารักรวมถึงนิสัยแม้จะดูเหมือนเด็กป่วนๆ แต่ก็จริงใจและไม่เคยคิดร้ายใคร ขนาดพวกนางแกล้งเทวดาตัวเล็กไปไม่น้อย แบคฮยอนยังไม่เคยคิดโกรธพวกนางหรือทำร้ายกลับ แถมยังนับถืออี้ชิงเป็นท่านแม่แบบพวกนางอีก

    หากจะยกท่านชานยอลให้ใคร พวกนางก็ตอบได้ตอนนี้เลยว่าเป็นแบคฮยอนอย่างไม่ต้องคิด

    ถ้าอย่างนั้นก็ได้เวลาสามสาวร่วมใจช่วยให้รักของท่านชานยอลได้สมหวังกันเถอะ!


    ****lucky one and monster****


    แบคฮยอนรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งก็พบว่าห้องของชานยอลมีทั้งมารและเทวดาอยู่ครึกครื้น

    อี้ชิงกำลังนั่งอยู่ปลายเตียง ส่วนเทวดาสามสาวนั่งข้างเตียงรายล้อมมารน้อยตนหนึ่ง พอมองดีๆ ก็พบว่านั่นคือคยองซูเลขาลำดับสองนั่นเอง

    ไม่ใช่ว่าคยองซูไปเคลียร์งานกับจงอินอย่างนั้นเรอะ? แบคฮยอนคิดพลางทำปากเบะคล้ายไม่พอใจอยู่นิดๆ

    “อ้าว แบคฮยอน ตื่นแล้วก็มาตรงนี้สิ” เป็นซาร่าที่ทักแบคฮยอนก่อน เทวดาหนุ่มจึงยันตัวเองลุกจากโซฟางามในห้องพัก อืม คงมีใครอุ้มเขามานอนบนโซฟาล่ะมั้ง จากนั้นก็ไปนั่งเก้าอี้ข้างๆ คยองซูด้วยอารมณ์หงุดหงิดบอกไม่ถูก

    “ข้าต้องขอบใจคยองซูมากทีเดียวในการจัดการงานหลายวันมานี้” พอนั่งลงปุ๊บ พญามารที่นั่งบนเตียงก็กล่าวชมเลขาลำดับสองปั๊บ เรียกให้แบคฮยอนหันขวับแล้วเบะปาก นี่... แล้วเขาล่ะ เขาก็ช่วยนะ...
    “ขอบคุณพญามารขอรับ” คยองซูหน้าแดงแล้วลุกขึ้นโค้งรับคำขอบคุณ จากนั้นก็นั่งลงตามเดิม

    “เก่งจริงๆ คยองซู เก่งกว่าเลขาบางตนอีก” จู่ๆ นาอึนกล่าวแล้วยิ้มมาทางแบคฮยอนอย่างมีเลศนัย
    “นั่นสิ เจ้าน่ะ เก่งจนเทียบพวกเราลัคกี้วันได้เลยนะคยองซู” จองฮวาเสริมทัพอีกแรง หมายความว่ายังไงเนี่ย

    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกเปรียบเทียบกับคยองซูเสียอย่างนั้น

    ยิ่งเห็นพญามารมองคยองซูด้วยสายตาชื่นชมก็ยิ่งหงุดหงิด รู้สึกว่าตนเองกำลังเป็นส่วนเกิน เดิมทีเขาอุตส่าห์มานั่งเฝ้าพญามารนึกว่าตื่นมาจะได้รับคำชม แต่นี่กลายเป็นว่าคยองซูที่มาเยี่ยมทีหลังได้รับคำชมมากกว่าจากทั้งพญามารและสามสาวลัคกี้วันนั่น

    “แบคฮยอนไปหยิบเอาคุกกี้ที่ข้าทำในห้องครัวมาหน่อยสิ ข้าจะมอบเป็นรางวัลให้กับคยองซู” เอ้า อี้ชิงก็เอากับเขาด้วย มีมารรับใช้กลับไม่ใช้ มาให้เขาไปหยิบรางวัลให้เลขาดีเด่นตนนั้นได้อย่างไร

    แบคฮยอนเบะปากนิดหน่อยแต่ก็ลุกไปเอาคุกกี้ตามคำสั่งท่านแม่โดยไม่รีรอแม้แต่น้อย แม้ในใจจะรู้สึกหงุดหงิดสุดๆ เมื่อเห็นเทวดาทุกตนหันไปเอาใจคยองซูมากกว่าตัวเอง แต่เพราะท่านแม่สั่งมาเขาจึงไม่กล้าขัด

    แบคฮยอนเข้าไปในห้องครัวหยิบเอาคุกกี้สองถุงแล้วจึงออกจากห้องครัวมา แต่ดันพบเทวดาสามสาวซุบซิบข้างห้องครัวราวกับมีความลับ เทวดาหนุ่มรู้สึกประหลาดใจจึงซุ่มอยู่ข้างประตูด้านในเพื่อแอบฟังอยู่เงียบๆ

    “เจ้ารู้ไหมว่าคยองซูน่ะไม่ใช่มารธรรมดาหรอกนะ” จู่ๆ ซาร่าก็เอ่ยขึ้น
    “หา?” จองฮวาเลิกคิ้ว
    “เขาน่ะเป็นเทวดาในกลุ่มผู้ถูกเลือกน่ะสิ” ซาร่าตอบ
    “ว้าว ข้าก็รู้สึกว่าเขาเป็นเทวดา นึกไม่ถึงว่าจะอยู่ในกลุ่มผู้ถูกเลือกแน่ะ” จองฮวาตอบเสียงสูง
    “ข้าก็เพิ่งรู้เพราะท่านแม่ให้เราสังเกตเขาไว้ จะว่าไปแล้วเขาน่ะ ถ้าเป็นเทวดาในกลุ่มผู้ถูกเลือกจะต้องเป็นระดับท็อปที่สามารถเป็นลัคกี้วันได้ดีแน่ๆ” นาอึนเอ่ยเสริมแล้วทำสีหน้าชื่นชม
    “แต่ไม่รู้ทำไมเขาจะต้องแกล้งปลอมเป็นมารธรรมดาเพื่อเป็นเลขาให้ท่านชานยอลด้วย” ซาร่าเอ่ยพลางทำท่าคิด
    “หรือว่าเขาจะชอบท่านชานยอลของเรา!” นาอึนพูดแล้วก็เอามือปิดปากโดยไว
    “ตายล่ะสิ บางทีเขาอาจจะปลอมตัวมาเพราะอยากแย่งตำแหน่งลัคกี้วันของแบคฮยอนก็ได้” จองฮวากล่าวพลางทำตาโต “จะเป็นอย่างไรถ้าเขาทำให้ท่านชานยอลรักหรือมีสัมพันธ์ทางกายกันนะ ข้าว่าแบคฮยอนของเราอาจจะหลุดจากตำแหน่งลัคกี้วันก็คราวนี้”
    “แย่แล้วล่ะ แต่เขาก็เก่งจริงๆ มีหวังแบคฮยอนโดนแย่งตำแหน่งแล้วกลับสวรรค์ไปแน่” ซาร่ากล่าวแล้วพวกนางก็ส่ายหน้าให้กันเบาๆ ก่อนจะเข้าห้องน้ำด้านข้างไป

    แบคฮยอนใจเต้นตึกตักหลังจากได้ยินความลับดังกล่าว หมายความว่าคยองซูเป็นถึงเทวดากลุ่มผู้ถูกเลือกอันเก่งกาจ แถมยังน่าจะเป็นระดับสูงซึ่งสามารถเป็นลัคกี้วันได้ด้วย มิน่าล่ะถึงไม่ยอมบินไปเขตกักวิญญาณเมื่อคราวก่อน เพราะหากเผยปีกก็จะทราบทันทีว่าเขาไม่ใช่มาร

    ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา จะเป็นอย่างไรถ้าคยองซูกับชานยอลมีความสัมพันธ์กัน แล้วถ้าคยองซูมาเป็นลัคกี้วันแทนเขา แบคฮยอนก็จะได้กลับสวรรค์

    แม้จะพบว่าหนทางกลับสวรรค์เริ่มปรากฏตรงหน้าแต่ไม่รู้ทำไมใจรู้สึกปวดแปลบไปได้

    เทวดาหนุ่มส่ายศีรษะจากนั้นก็ตั้งใจมั่น เขาเองอยากจะกลับไปอยู่สวรรค์ อยากเจอท่านตา อยากอยู่กับเพื่อนๆ แม้จะเป็นแค่มัคคุเทศก์ต๊อกต๋อยแต่ก็ดูจะไม่ต้องกังวลกับการอยู่กับพญามารแล้ว

    เขารังเกียจพญามารจริงๆ หรือ?

    ส่ายศีรษะอีกครั้ง แบคฮยอนพบว่าเขาสามารถใช้คยองซูเป็นประโยชน์ได้ อย่างที่สามสาวบอกหากชานยอลมีสัมพันธ์กับคยองซูก็อาจจะปลดแบคฮยอนจากตำแหน่งลัคกี้วันงี่เง่านี่

    รู้สึกว่าต้องรีบลงมือแล้ว แบคฮยอนจะได้กลับบ้านเสียที สวรรค์จ๋า รอข้าก่อนน้า







    talk
    พระสนมนี่คิดจะทำอะไรน่ะ สวรรค์ไม่มีท่านชานยอลนะ

    #luckyonecb
    @noeybaekbd

    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 14 แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:50 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 14
    แกงจืดจึงรู้คุณเกลือ





    โดคยองซูเป็นเทวดาหน้าตาดีตนหนึ่งแต่เขาไม่ใช่เทวดาธรรมดาเพราะเขาเป็นถึงอันดับหนึ่งในกลุ่มเทวดาผู้ถูกเลือกซึ่งมีโอกาสจะเป็นลัคกี้วันถึงหนึ่งพันเปอร์เซนต์ ใช่...เขาเกือบจะได้ดำรงตำแหน่งอันทรงเกียรติของสวรรค์แล้วถ้าไม่ใช่ว่าจู่ๆ พญามารกลับไปเลือกเทวดานอกกลุ่มเข้าให้

    และนั่นทำให้คยองซูรู้สึกเสียหน้าเป็นอันมาก ขนาดว่าทนไม่ไหวต้องลงมาถึงนรกเพื่อทวงคืนตำแหน่งที่มันเป็นของเขา!

    แต่การจะลงมาทวงตำแหน่งนั้นใช่ว่าจะง่าย เทวดาอย่างเขาจึงต้องปลอมเป็นมารแล้วจากนั้นลองสมัครทำงานใกล้ชิดกับพญามารดูก่อน สืบมาได้ข้อมูลว่าสำนักงานของลอร์ดมารมือซ้ายกำลังรับสมัครผู้มีความสามารถเข้าไปช่วยทำงานในสำนักงานกลาง คยองซูจึงไม่ลังเลที่จะมาสมัครทันที

    นึกไม่ถึงว่าการเข้าใกล้พญามารจะง่ายดายขนาดนี้ เมื่อเข้าทำงานได้ไม่นานเขาก็ได้เป็นถึงเลขาลำดับสองซึ่งสำคัญเป็นรองแค่เลขาลำดับหนึ่งเท่านั้น คยองซูพบว่าพญามารนั้นไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้ ทั้งสง่างาม รูปร่างสูงและหล่อเหลา ทำเอาคยองซูอยากเข้าไปเสนอตัวเป็นลัคกี้วันหรือมากกว่านั้นให้อีกฝ่ายเรื่อยไป

    แต่พญามารนั้นมีเลขาพิเศษอยู่ตนหนึ่ง เป็นเทวดาเหมือนเขาเสียด้วยแถมยังมีตำแหน่งลัคกี้วันพ่วงท้าย นั่นคือลัคกี้วันที่แย่งตำแหน่งเขาไปนี่เอง คยองซูลอบมองอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยามแล้วจึงแสร้งยิ้มให้

    “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะขอรับ” เทวดาลัคกี้วันชื่อแบคฮยอนตอบเขามา
    ซึ่งคยองซูนั้นก็พยักหน้าให้พร้อมยิ้มแต่ในใจก่นด่าเทวดาหน้าไม่อายที่ตำแหน่งเขาไปตั้งแต่หัวจรดเท้าเรียบร้อย

    “เจ้าไม่เข้าใจตรงนี้หรือคยองซู งั้นข้าจะอธิบายให้เจ้าอีกรอบนะ”
    คยองซูมักจะเข้าไปถามคำถามเวลาท่านชานยอลหรือพญามารกำลังคุยกับแบคฮยอนเป็นส่วนใหญ่ เหตุผลนั้นไม่ต้องสงสัย เพราะเขาไม่ชอบลัคกี้วันงี่เง่านั่นไงเล่า เท่าที่ดูพลังก็น้อยนิดความสามารถด้านเวทหรือการทำงานก็ต่ำ เป็นถึงเลขาพิเศษกลับทำหน้าที่แค่ชงชาและจัดเอกสาร เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าพญามารเลือกเจ้านั่นมาได้อย่างไร

    คยองซูจึงตัดสินใจขัดขาเจ้านั่นเรื่อยไปเพราะนอกจากจะได้ใกล้ชิดพญามารผู้แข็งแกร่งที่เขาชื่นชอบแล้ว ยังได้เห็นสีหน้าของแบคฮยอนในบางคราวซึ่งตลกมากๆ อีกด้วย

    เทวดาแบคฮยอนนั่นชอบทำหน้าบูดเสมอเมื่อพญามารเข้าใกล้ตัวเอง แต่นั่นก็ไม่บูดเท่าตอนพญามารเข้าใกล้คยองซูสักนิด มิหนำซ้ำบางทีเจ้านั่นยังเผลอฉีกกระดาษ หักดินสอ หรือแม้กระทั่งทำถ้วยชาร่วงใส่กองเอกสารยามเมื่อคยองซูกับท่านชานยอลกำลังสอนงานกันอีก ช่างน่าขำยิ่งนัก ลัคกี้วันผู้ทรงเกียรติของสวรรค์เก่งได้ไม่ถึงครึ่งของเขาด้วยซ้ำ ยังมีหน้าอยู่ใกล้ท่านพญามารผู้เก่งกาจอีก

    “แบคฮยอน เจ้ารู้ตัวไหม ว่าเจ้าไม่เหมาะสมกับตำแหน่งลัคกี้วันเลย” คยองซูถามแบคฮยอนในวันหนึ่ง เขาคาดว่าเทวดาหน้าโง่จะต้องเสียใจจนพูดไม่ออกเป็นแน่ แต่...
    “ใช่ไหม เจ้าก็รู้สึกใช่ไหม เจ้าคิดเหมือนข้าเลย โอ๊ย คยองซู ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องเข้าข้างข้า” แบคฮยอนไม่แม้แต่จะหน้าเสียสักนิดแต่กลับดีใจด้วยซ้ำ คยองซูมองแบคฮยอนด้วยความฉงนจากนั้นก็ตัดสินว่าเจ้านี่อาจไม่เต็มเต็งก็ได้

    “เอ่อ ข้าว่าข้าอาจพูดอะไรผิด” เขาตัดสินใจไม่รับผิดชอบคำพูดเมื่อครู่
    “ไม่ได้นะคยองซูอ่า ข้าอุตส่าห์หาพรรคพวกในนรกนี่ได้น้อยนิดแล้ว เจ้าจะทิ้งข้าอย่างนี้ไม่ได้” เทวดางี่เง่าฟูมฟายทันทีที่คยองซูผละออกมา สองมือนั่นยกมาคล้องแขนเขาอย่างสนิทสนม เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าไปสนิทกันตอนไหน

    “ปล่อยข้านะ” เสียงดุจึงส่งออกไป
    “ฮือ อย่าทิ้งข้า ข้ามีพรรคพวกน้อยจริงๆ ถ้ามีเจ้ามาช่วยล่ะก็ ข้าต้องรอดแน่” แบคฮยอนยังกอดแขนเขาไม่หยุดแถมตอนนี้เริ่มร้องไห้แล้วด้วย คยองซูไม่ชอบทำให้ใครร้องไห้ จึงได้แต่ตอบรับ
    “ก็ได้ๆ เจ้าจะให้ข้าช่วยอะไรล่ะ”
    “คือว่า...” เทวดาไม่เต็มบาทนั่นเล่าแผนให้เขาฟังอย่างละเอียด นั่นยิ่งทำให้คยองซูแน่ใจว่าเจ้านี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

    แต่กระนั้นแผนการของแบคฮยอนคนโง่ก็เป็นผลดีกับคยองซูไม่รู้กี่เท่า นอกจากเจ้าเทวดานั่นจะเขี่ยตัวเองออกจากตำแหน่งลัคกี้วันแล้ว มันยังทำให้เขามีโอกาสทวงคืนตำแหน่งที่ควรจะได้อีกด้วย หลังจากฟังแผนจบ คยองซูก็ลอบยิ้มในใจ เมื่อตำแหน่งลัคกี้วันกลายเป็นของเขา เจ้าพวกเทวดาที่เคยเยาะเย้ยเขาจะต้องตกตะลึงเป็นแน่


    ****lucky one and monster****


    แบคฮยอนตื่นนอนด้วยอารมณ์แจ่มใสเป็นพิเศษ เขาถึงกับฮัมเพลงไปแต่งตัวไป กินข้าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นก็ขึ้นรถม้าไปทำงานด้วยความรื่นเริงราวกับจะไปงานฉลองเทศกาลสักอย่างหนึ่ง

    เพราะว่าวันนี้เขากับคยองซูเลขาลำดับสองนัดกันทำแผนนั่นยังไงล่ะ!

    เมื่อถึงที่ทำงานก็พบว่าคยองซูมาถึงแล้ว แบคฮยอนขยิบตาใส่อีกฝ่ายแล้วยิ้มให้ จากนั้นก็ไปนั่งทำงานตามปกติ

    พญามารตามมาถึงในเวลาไม่นาน แบคฮยอนก็ชงชาไปวางให้บนโต๊ะเช่นทุกวัน แต่วันนี้มีพิเศษหน่อย เขายิ้มหวานให้ชานยอลจากนั้นก็เอ่ยต่อด้วยเสียงใส

    “ชานยอลจ๋า” เรียกหนึ่งครั้งให้ชานยอลเงยหน้ามามองเขาชัดๆ แล้วพูดต่อ “วันนี้ตอนเย็น ข้าอยากไปทานอาหารร้านอร่อยร้านหนึ่ง ไปกับข้าได้หรือเปล่า” พูดจบก็ทำตาวิ้งใส่ด้วย

    “จริงหรือแบคฮยอน ร้านไหนล่ะ ข้าจะไปกับเจ้า” ตามคาดเมื่อชานยอลตาเป็นประกายพร้อมตอบรับทันที เรียกให้เทวดากลอกตาในหัวหนึ่งรอบกับความเจ้าชู้ของพญามารนี่

    “ร้านไวท์ซอส เวลาหกโมงเย็น แล้วเจอกันนะ” แบคฮยอนเอ่ยแล้วยิ้มหวาน จากนั้นก็ไปนั่งโต๊ะทำงานตนเองทันที พอเงยหน้ามาเจอพญามารส่งยิ้มมา เขาก็ยิ้มส่งพลางคิดแผนเย็นนี้ในใจ

    คยองซูได้ยินบทสนทนาระหว่างเจ้านายและเลขางี่เง่าก็ลอบยิ้มเช่นกัน ได้เวลาทวงคืนตำแหน่งแล้ว

    (เวลาหกโมงเย็น ร้านไวท์ซอส)

    “ไม่ยักรู้ว่าเจ้าชอบร้านนี้ ความจริงข้าก็ชอบร้านนี้เช่นกัน” ชานยอลยิ้มหวานเมื่อมาถึง จากนั้นก็เอ่ยชม “วันนี้เจ้าแต่งตัวน่ารักมากแบคฮยอน”

    คำชมทำเอาแบคฮยอนรู้สึกหูร้อน เขาเองก็แต่งตัวธรรมดานะ ทำไมพญามารต้องชมด้วย ว่าแล้วก็สั่งอาหารดีกว่า

    “ข้าสั่งไวน์รสชาติดีมาด้วย หวังว่าเจ้าจะชอบ” พูดจบก็เรียกบริกรออกมาพร้อมเทน้ำเมารสชาติดี ไวน์ของนรกนั้นเหนือชั้นกว่าโลกมนุษย์มากนัก ในขณะที่บนโลกหมักกันอย่างมากสุดแค่ไม่กี่ร้อยปีกว่า แต่ไวน์ที่นี่หมักไว้กว่าพันปีแล้ว เรียกว่าเด็ดยิ่งกว่าเด็ด

    พอเทน้ำเมาเสร็จพวกเขาก็สั่งอาหารมา แบคฮยอนพยายามยิ้มหวานให้ชานยอลพลางเทไวน์ใส่แก้วให้ตลอด เขาสืบมาแล้วว่าพญามารนี่คอไม่แข็ง หึๆ เสร็จแน่

    ทุกอย่างดูจะเป็นไปตามแผนด้วยดี หลังจากดื่มน้ำเมาดีกรีหนักหมักเป็นพันปีไม่กี่แก้ว ชานยอลก็แสดงทีท่าว่าไม่ค่อยมีสติออกมาอย่างเห็นได้ชัด

    เข้าแผน!

    “ชานยอล ข้าว่าเราไปพักผ่อนกันไหม ข้างบนนี้เป็นโรงแรมพอดี” แบคฮยอนส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มให้มารพลางทำท่าทางเหมือนจะเมานิดๆ ที่จริงเขาดื่มไวน์แค่นิดเดียวนอกนั้นดื่มน้ำผลไม้หลอกๆ จึงทำเหมือนว่าเมาเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจด้วย


    “ไปสิสนมของข้า” ชานยอลต้องเมาแล้วแน่นอน ถึงได้กล้าเรียกแบคฮยอนว่าสนม แหม ปากดีนัก มันน่าต่อยสักตุ๊บ

    ว่าแล้วก็ต่อยไปหนึ่งทีจนชานยอลร้อง ‘อั่ก’ แบคฮยอนได้ยินก็สมน้ำหน้ามารเจ้าชู้นัก กะจะต่อยอีกสักสองสามหมัด แต่มีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นมาก่อน
    “เจ้าทำอะไรน่ะ” คยองซูทักขึ้นเมื่อเห็นเขาลากพญามารร่างใหญ่ไปพลางต่อยอีกฝ่ายไปพลาง
    “อ๋อ ข้าแค่ เอ่อ ช่วยทำให้ลากพญามารง่ายขึ้นไง” แบคฮยอนแก้ตัว แม้มันจะทำให้คยองซูยักคิ้วอย่างสงสัย “ไปกันเถอะน่า” เขาตัดบท

    คยองซูใช้เวทยกร่างชานยอลขึ้นไปบนห้องในโรงแรมอย่างเชี่ยวชาญ สร้างความรู้สึกโง่ให้แบคฮยอนไม่น้อยเพราะเขาใช้เวทบทนี้ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ พอเห็นคยองซูร่ายเวทจึงพยายามจดจำไว้ คราวหน้าจะได้ไม่ต้องลากพญามารร่างหนักอีก ไม่ใช่สิ หากแผนครั้งนี้ได้ผล เขาจะมาลากเจ้าบ้านี่อีกทำไม

    พอถึงห้องที่นัดกันไว้ คยองซูก็เปิดประตูห้องจากนั้นลากพญามารเข้าไป วางร่างใหญ่บนเตียงแล้วก็เตรียมแผนการต่อ ร่างเล็กของเลขาลำดับสองขึ้นคร่อมพญามารไว้ จากนั้นก็เตรียมทำอย่างว่า แต่พอมองด้วยหางตาไปด้านหลังกลับต้องชะงัก

    เพราะแบคฮยอนยังอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน เทวดาร่างเล็กรู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว เหมือนกับว่ามารร่างใหญ่บนเตียงนั่นเป็นของเขาและคยองซูไม่ควรทำอย่างนั้น

    “เจ้ายังไม่ไปอีก” คยองซูพูดขึ้นพร้อมชักสีหน้าใส่ แบคฮยอนที่ยืนมองจึงรู้สึกว่าตนควรไปเสียที

    “เอ้อ จริงด้วยสินะ เจ้าต้องทำเอ่อ เรื่องอย่างว่านี่นา เอ้อ ข้าต้องไปก่อน เอ่อ โชคดีนะ” พูดจบก็รู้สึกเจ็บตรงหัวใจแปลกๆ บางทีไวน์ที่เขาแอบจิบเมื่อกี้อาจจะดีกรีแรงเกินไปหน่อย แบคฮยอนถึงได้ไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้

    พอคิดว่าน่าจะไปหาอะไรกินเพื่อลดอาการเมา แบคฮยอนก็ลงไปข้างล่างทันที แต่พอลิฟท์เปิดที่ชั้นล่างก็เจอกับสาวสวยคัพดีเข้าให้

    “อ้าว แบคฮยอน ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ล่ะ อ้าว แล้วร้องไห้ทำไม” จองฮวาเอ่ยทักเมื่อเห็นหน้าเขา

    เอ๊ะ เขากำลังร้องไห้อย่างนั้นหรือ?

    มือลูบหน้าก็เจอของเหลวร้อนๆ ไหลลงข้างแก้มเป็นสาย ไวน์ที่เขาชิมเมื่อกี้ดีกรีร้ายนัก ทำให้เขาน้ำตาไหลไม่รู้ตัวได้ด้วยหรือเนี่ย

    “ไม่เอาไม่ร้องนะ มานั่งตรงนี้ก่อน” เทวดาสาวกล่าวอย่างใจดีพลางชี้ชวนให้มานั่งตรงล็อบบี้ก่อน แบคฮยอนจึงเดินตามเธอไปแล้วนั่งรออย่างว่าง่าย เขาลืมไปแล้วว่าจะตอบเธอว่าอย่างไร ความคิดเหมือนจะไม่เรียบเรียงตัวดี มันเสียใจนิดหน่อยเพราะเรื่องอะไรไม่รู้ แล้วก็คิดว่าจะปล่อยชานยอลกับคยองซูไว้อย่างนั้นแน่หรือ

    “ดื่มชาสักหน่อยนะ เจ้ามาเที่ยวหาใครหรือ?” เทวดารุ่นพี่เอาชามาให้แล้วก็ไถ่ถามด้วยน้ำเสียงแจ่มใส แบคฮยอนไม่รู้ทำอย่างไรจึงได้แต่กล่าวอึกๆ อักๆ

    “ข้า... ใช่... ข้ามาหาเพื่อน” ตอบไปก็เหมือนใจจะไม่อยู่ตรงนี้ มันเอาแต่คิดว่าป่านนี้พญามารกับเลขานั่นจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วนะ

    “หืม เจ้าร้องไห้ทำไมอีกละแบคฮยอน ไม่เอาไม่ร้องสิ ใครทำอะไรเจ้าข้าจะจัดการให้เอง” จองฮวากลับไม่ถามต่อ แต่บอกว่าเขาร้องไห้อีกแล้ว แบคฮยอนเปล่าสักหน่อย

    แต่พอยกมือลูบใบหน้าก็พบว่าน้ำตาไหลจริงๆ โอ๊ย เขาเป็นอะไรเนี่ย

    “ทำอย่างไรดีจองฮวา ฮึก” คราวนี้แบคฮยอนเชื่อว่าเขาร้องไห้แล้ว เขาได้ยินเสียงสะอึกของตนเองด้วย
    “ค่อยๆ เล่านะ เจ้าไม่สบายใจอะไรก็ปรึกษาข้าได้” จองฮวากล่าวอย่างใจดีพลางดึงตัวแบคฮยอนไปกอด มาร์ชแมลโล่นุ่มนวลทำให้อบอุ่น นึกถึงหน้าอกชานยอลยามกอดเขาไว้แล้วพาบินไปกว่าหกพันไมล์ในตอนนั้น มันไม่นุ่มขนาดนี้แต่ก็อบอุ่นกว่ามาก

    ชานยอล...

    “เฮือก” แบคฮยอนผลักจองฮวาออก จากนั้นก็กุมศีรษะตนเอง จู่ๆ เขาก็เห็นภาพชานยอลกับคยองซูกำลังทำเรื่องอย่างว่า พลันหัวใจก็เต้นหนักเมื่อคิดว่าชานยอลกำลังจะตกเป็นของเทวดาตนอื่น แบคฮยอนไม่ต้องการแบบนั้นแล้ว อ้อมกอดของชานยอลเป็นของเขา ไม่นะไม่ เขาไม่ยกให้คยองซูหรอก

    ราวกับหัวใจเรียกร้องหาชานยอล ร่างกายก็ลุกพรวดทำตามทันที

    แบคฮยอนวิ่งไปทางลิฟท์จากนั้นกดชั้นที่ต้องการ จองฮวารีบตามเขามาพลางถามตลอดทางว่าแบคฮยอนเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม แต่เทวดาน้อยไม่ตอบ ในใจเขาได้แต่ภาวนาว่าขอให้ทัน ขอให้ทัน ขอให้ทันด้วยเถิด แค่นี้เท่านั้น

    ถึงห้องที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่แบคฮยอนก็รีบเข้าไปเปิดประตู แต่เขาลืมไปว่าตนเองไม่มีกุญแจจึงเปิดไม่ได้ ขณะที่กำลังว้าวุ่นว่าจะเปิดประตูอย่างไร ก็พลันได้ยินเสียงประหลาด

    เสียงนั้นฟังไม่ได้ศัพท์ ดังอืออาราวกับมีใครกำลังครวญคราง นั่นหมายความว่า... ไม่ทันแล้ว...

    “แบคฮยอน เจ้าอยากเปิดประตูหรือ ข้าช่วยไหม” จองฮวาเสนออย่างใจดี จากนั้นก็ทำท่าจะพังประตูเข้าไปจริงๆ
    “ฮือ ไม่ทันแล้วจองฮวา ไม่ทันแล้ว ไม่ทัน...”
    แต่แบคฮยอนกลับเสียใจอย่างหนักแล้วทิ้งตัวทรุดลงกับพื้น นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าห้องอยู่อย่างนั้น ร่างบางสั่นระริกและหัวใจก็แตกสลาย เป็นเขาเองที่คิดแผนนี้และเป็นเขาเองที่เจ็บตรงนี้ แบคฮยอนกุมตรงหัวใจเอาไว้ แค่คิดว่าชานยอลกับคยองซูกำลัง... เขาก็รู้สึกเจ็บหัวใจไปหมดแล้ว

    เจ็บปวดเมื่อคนรักกำลังมีความสัมพันธ์ทางกายกับผู้อื่น มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...

    แบคฮยอนเผลอหัวเราะออกมา เคยมีนักปราชญ์สวรรค์กล่าวไว้ว่าเราจะรู้คุณค่าของที่เรามียามของนั้นจากไป...ความรักก็เช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเอาแต่คิดว่าไม่ชอบชานยอลเพราะโดนหลอกลวง แต่ความจริงเขานั้นรักอีกฝ่ายมากด้วยซ้ำ เขาโกรธเพราะชานยอลแปลงเป็นชานชานกับชานเลี่ยต่างหาก ไม่ได้โกรธเพราะอีกฝ่ายมารักเขา แบคฮยอนเพิ่งรู้ใจตนเองว่าชอบชานยอลมานานแล้วและไม่สำคัญว่าพญามารเป็นใคร แค่นิสัยแบบชานยอลก็คือใช่สำหรับเขาแล้ว

    เพียงแต่ทิฐิยามโดนหลอกตอนอยู่บนโลกมนุษย์ครอบงำและไม่เคยมองชานยอลอย่างไม่อคติมาก่อนจึงทำให้หลงผิด

    หากสังเกตให้ดีจึงเข้าใจว่าพฤติกรรมที่ผ่านมาของตนเองแท้จริงเป็นอย่างไร น่าขำนักตอนพญามารเข้าใกล้คยองซู แบคฮยอนมักเกิดอาการควบคุมตนเองไม่ได้บ่อยๆ ตอนแรกก็คิดว่าคงเพราะแค้นหนักเจ้าชู้แต่ตอนนี้รู้แล้วมันน่าจะเป็นหึง หึงเขาโดยที่ไม่รู้ตัวนี่ตลกตนเองชะมัดเลย

    แต่มารู้ตัวตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว...

    เสียงครางยังคงดังออกมาจากห้องที่คยองซูกับชานยอลเข้าไปเมื่อครู่ไม่หยุด น้ำตาของแบคฮยอนก็ไหลไม่ขาดสาย มือน้อยจับเอาไว้ที่เสื้อของจองฮวาข้างหนึ่ง อีกข้างก็ยกห้ามไว้ไม่ให้เทวดาสาวพังห้อง หมดสิ้นกันแล้วหัวใจแบคฮยอน พอรู้ตัวว่ารักเขาก็คือวันที่มอบเขาให้ผู้อื่นไปแล้ว หมดกัน

    ชานยอล ท่านไม่รักข้าแล้วหรือ?

    “จองฮวาไปเถอะ ที่เหลือข้าจัดการเอง” ราวกับภาพหลอนเมื่อจู่ๆ ชานยอลก็เข้ามาหาพร้อมโอบกอดเทวดาใจสลายเอาไว้ ซึ่งแบคฮยอนก็ไขว่คว้าด้วยความต้องการยามสติใกล้พัง

    “เจ้าค่ะ” เทวดาสาวตอบรับแล้วจากไป

    “ชานยอล ท่านเป็นฝันใช่ไหม ข้าขอโทษ ชานยอล ท่านอย่าจากข้าไปเลยนะ” แบคฮยอนเริ่มไม่มีสติแล้วในตอนนี้ ความจริงปะทะจิตใจจนรู้สึกปวดหนึบไปหมด คล้ายไวน์เมื่อครู่จะออกฤทธิ์ให้เมา หรือจะเป็นพิษของความรัก…

    “ไม่ไปไหนแบคฮยอน ไม่ไปไหนจากเจ้าอีกแล้ว” ชานยอลในภาพหลอนจูบหน้าผากเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นเทวดาก็ไม่รู้สึกถึงสติของเขาอีก

    (อีกด้านหนึ่ง)

    หลังจากแบคฮยอนสลบคาอ้อมกอดไปพร้อมกับคำออดอ้อนแสนน่ารักของเทวดาตัวน้อย ชานยอลก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

    “แผนของจงอินสำเร็จจริงๆ ด้วย” เซฮุนโผล่ขึ้นมาด้านหลังก่อนจะเอ่ยทักหลังจากแบคฮยอนสลบไปเพราะความเหนื่อยอ่อนและช็อก “แต่ไวน์ของเจ้านั่นทำให้เด็กน้อยของข้าสลบด้วย มันน่าต่อยจริงๆ” มารมือขวาไม่วายคาดโทษมารมือซ้ายจอมวางแผน

    “แล้วเจ้าจะไปต่อยเขาในห้องตอนนี้น่ะหรือ” ชานยอลเอ่ยยั่วเย้า เขาอารมณ์ดีจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้วจึงหาเรื่องเพื่อนได้

    “จะบ้าเรอะ ไปขัดขวางมันตอนนี้ มันได้ต่อยข้ากลับไม่รู้กี่เท่า” เซฮุนกล่าวพลางมองไปยังห้องเจ้าปัญหาซึ่งมีเสียงอืออาครางลั่นอยู่ไม่หาย

    “งั้นเจ้าไปเตรียมรถม้าให้ข้าหน่อย ข้าจะพาแบคฮยอนกลับ” ชานยอลจึงยิ้มแล้วสั่งการ

    “ได้ขอรับท่านพญามาร ได้เลย ได้ๆ ขอเพียงเจ้าอย่าข่มเหงเด็กข้า ข้าก็จะทำทุกอย่างให้เจ้า” เซฮุนกล่าวประชดแล้วก็เดินลงไปข้างล่างทันที

    ชานยอลอุ้มเทวดาตัวน้อยขึ้นแนบอกในท่าเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาว จากนั้นก็เดินตามเซฮุนไปด้านล่าง

    ที่จริงแผนของจงอินวันนี้ในส่วนของชานยอล เซฮุนและจองฮวาจบไปแล้ว เซฮุนมีหน้าที่ป้อนข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับการดื่มเหล้าของชานยอล แบคฮยอนจึงเข้าใจว่าเขาเมาทั้งๆ ที่พญามารคอแข็งยิ่งกว่าอะไร ไวน์แค่นั้นทำอะไรเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาจึงแค่แกล้งเมาเท่านั้นเอง

    ส่วนจองฮวาก็มีหน้าที่เตรียมรับด้านแบคฮยอนซึ่งไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหนอีก โชคดีที่แบคฮยอนรู้ตัวเร็ว เทวดาสาวจึงไม่ต้องออกแรงในการยั่วยุให้อีกฝ่ายหึงหวงชานยอลมากนัก

    แต่ก็ผิดคาดนิดหน่อยเมื่อกลายเป็นว่าแบคฮยอนเกิดอาการช็อกจนสลบแบบนี้ น่าจะเป็นเพราะแผนมีส่วนของจงอินผู้ก่อให้เกิดเสียงครางลั่นมาจากห้องห้องนั้นเป็นแน่

    เอาล่ะ ส่วนของเขาจบแล้ว พรุ่งนี้เขากับแบคฮยอนอาจจะต้องคุยกันอีกรอบ แต่จงอินนั้นก็...ปล่อยเจ้ามารมือซ้ายนั่นจัดการเองก็แล้วกัน!

    ชานยอลคิดได้ดังนี้แล้วก็พาแบคฮยอนขึ้นรถม้ากลับวังไป


    ****lucky one and monster****


    คยองซูตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนศีรษะแบบประหลาด เขาจำได้ว่าตนเองไม่ได้ดื่มน้ำเมาใดๆ และไม่ได้ใช้ยากล่อมประสาท ทำไมมึนได้ขนาดนี้

    ร่างเล็กของเทวดาผู้แอบอ้างว่าเป็นมารพยายามยกตัวขึ้นจากเตียงแต่ก็มีแขนอันแข็งแกร่งคาดทับตัวเขาไว้ พอขยับไม่ได้จึงคิดยอมแพ้ เรี่ยวแรงพญามารมีมากขนาดไหนเขาว่าตนเองคงไม่สู้ จากนั้นจึงนอนมองหน้าอีกฝ่ายต่อไป

    ว่าแต่เขาสายตาไม่ดีหรืออย่างไร ทำไมพญามารผู้นอนอยู่ข้างกายเขาถึงได้หน้าตาแปลกไปขนาดนี้

    ใบหน้าได้รูปนั้นยังน่ามองแต่สันกรามชัดเจนจนแปลกใจ จมูกโด่งเป็นสันรับกับตาสองชั้น เอ่อ ตาบวมนิดหน่อย ชานยอลอาจจะนอนหลับไม่เพียงพอก็เป็นได้ ส่วนปากอวบอิ่มก็...เหมือนจะจูบกันหนักไปหรือเปล่าถึงได้บวมส่วนบนจนรูปร่างไม่เหมือนเดิม กระทั่งมองเห็นสีผิวก็ไหม้ปานออกกำลังกายกลางแจ้งอย่างหนักทั้งๆ ที่เมื่อวานยังขาวใส

    นี่ไม่ใช่ท่านชานยอลแล้ว!

    คยองซูคิดได้ก็พยายามลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ทำไม่ได้เพราะลำแขนที่กอดเขาไว้ไม่ยอมขยับสักนิด เขาจำได้แล้วว่านี่คือจงอินมารองครักษ์ที่ชานยอลเคยส่งมาช่วยงาน แต่ทำไมจงอินถึงมานอนอยู่ข้างเขา แล้วท่านชานยอลหายไปไหน?

    “ตื่นเดี๋ยวนี้ เจ้า!” เทวดาพยายามผนึกเวทกำลังแล้วยกแขนนั้นขึ้นอีกทีแต่ไม่เป็นผล จึงต้องอาศัยเสียงตนเองช่วย

    “อือ อีกนิดนะ คยองซูอ่า” จงอินไม่ตอบรับคำสั่งของเขาสักนิด แถมยังกอดรัดคยองซูแน่นขึ้นด้วย แน่นจนทุกส่วนในร่างกายแนบชิด รวมถึงส่วนที่มักจะตื่นมาในเวลาเช้าอีกด้วย

    แสดงว่านี่เขากับมารตนนี้... แค่คิด คยองซูก็อยากจะร้องไห้แล้ว

    “เจ้าทำอะไรกับข้า เจ้ามารชั่วช้า เจ้านี่มัน...” เทวดาเริ่มผลักไสอีกฝ่ายแล้วฟูมฟายพลางทุกอก หมดกันแล้วแผนของเขา จากที่วันนี้จะต้องตื่นมาในอ้อมกอดของพญามารและร้องขอตำแหน่งลัคกี้วันให้สมใจอยาก กลายเป็นต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของมารตนอื่น เทวดาบนสวรรค์คงได้หัวเราะเยาะเขาอีกแน่

    “ตื่นเดี๋ยวนี้นะ เจ้ามารบ้า ตื่น!” คยองซูโวยวายไปก็น้ำตาไหลไป ศักดิ์ศรีเทวดากลุ่มผู้ถูกเลือกตอนนี้ย่อยยับไม่เหลือชิ้นดีแล้ว

    “คยองซูไม่เอาไม่ร้อง ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ” มารผิวสีน้ำผึ้งจึงตื่นขึ้นมา พอพบว่าเขาร้องไห้ก็ตกใจใหญ่ จงอินพยายามปลอบให้เทวดาไม่ร้องไห้ไปด้วยและช่วยเช็ดน้ำตาไปด้วย

    “เจ้ามันหน้าไม่อาย เจ้าทำลายศักดิ์ศรีข้า เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นถึงเทวดาชั้นสูง ข้าเกือบจะได้เป็นลัคกี้วันแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เพราะเจ้า!” คยองซูร้องไห้อย่างหนัก มือที่ผ่านการฝึกใช้พลังสว่างตบตีอีกฝ่ายไม่หยุด ถึงกับเผลอบอกอีกฝ่ายว่าตนเองเป็นเทวดาไปแล้ว
    “โอ๊ย เจ้าฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเจ้า ฟังข้าก่อน ฟังข้าก่อน” มารร่างใหญ่พยายามจับมือทั้งสองของคยองซูไว้ด้วยมือข้างเดียว จากนั้นก็ใช้อีกมือลูบศีรษะและจูบกระหม่อมปลอบขวัญ
    “ข้าไม่ฟัง ข้าจะ...ข้าจะ...จะเกลียดเจ้า!” คยองซูไร้ซึ่งสติแล้วตอนนี้
    พอได้ยินว่าจะโดนเกลียด จงอินก็ดึงเขาเข้าไปกอดพลางขอโทษอย่างจริงใจราวกับกลัวคยองซูจะหายไป
    “ข้าขอโทษจริงๆ คยองซู แต่ข้ารักเจ้า ข้ารักเจ้ามานานแล้ว อย่าเกลียดข้าเลย”
    คยองซูชะงัก จงอินรักเขามานานแล้วอย่างนั้นหรือ ย้อนนึกไปถึงช่วงเวลาที่จงอินช่วยงานเขา ตอนนั้นจงอินทำงานได้ดีจริงๆ แถมยังเชื่อฟังเขามากด้วย จงอินรักเขาตั้งแต่ตอนนั้นหรือ? ไม่สิ อาจจะเป็นก่อนหน้านั้น คำว่านานแล้วคือตอนไหน…

    “เจ้าว่าอย่างไรนะ” เทวดาตัวเล็กหยุดโวยวายจากนั้นก็ทำเสียงอู้อี้ถาม
    “ข้ารักเจ้ามานานแล้วคยองซู เจ้าอยากฟังเรื่องทั้งหมดไหม” ซึ่งพอจงอินตอบกลับมาเสียงนุ่ม น้ำตาของเทวดาก็หยุดไหลอย่างเชื่อฟัง เมื่อสติเริ่มมาจึงพยักหน้าเบาๆ
    “เรื่องมันก็ตั้งแต่...” จงอินจึงเล่าทุกอย่างให้คยองซูฟัง ซึ่งนั่นก็ทำให้คยองซูไม่กล้าขัดขืนอีกต่อไป…






    talk
    จงอินนี่เด็ดอ่ะ มาปั๊บเคลมปุ๊บ /เหลือบมองพญามารที่ยังไม่เคลมลัคกี้วันของตัวเอง...
    #luckyonecb
    @noeybaekbd



    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 15 จะอยู่ข้างกายข้าได้ไหม

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:51 pm

    [NC-17]


    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 15
    จะอยู่ข้างกายข้าได้ไหม







    ชานยอลเกลี่ยเส้นผมนุ่มสีน้ำตาลที่ปรกใบหน้าออกจากแก้มน้อยแล้วขมวดคิ้วนิด เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนเลยเพราะเป็นห่วงเทวดาตนนี้มาก แบคฮยอนสลบไปตอนนี้ก็เกือบสิบสองชั่วโมงแล้ว เกินเวลาสำหรับการพักฟื้นร่างกายไปหลายชั่วโมง ไม่แน่ใจว่าตอนนี้ร่างเล็กบนเตียงจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า

    แผนการทั้งหมดของจงอินคือการส่งคยองซูเข้ามาทำงานกับชานยอลและแบคฮยอนพร้อมๆ กัน ตัวตนที่แท้จริงของคยองซูนั้นเป็นถึงเทวดาตัวเก็งลัคกี้วันดังนั้นต้องชอบชานยอลพลอยทำให้แบคฮยอนรู้ใจตนเองแน่ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจงอินไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าแบคฮยอนนั้นชอบชานยอลแต่ตอนนี้พญามารก็เชื่อสุดใจหลังจากไปรับคำขอโทษของเทวดาตัวเล็กเมื่อวาน

    จงอินเชื่อว่าคยองซูจะต้องเข้าหาชานยอลและแบคฮยอนจะต้องใช้คยองซูเป็นตัวตายตัวแทนหากยังคิดจะหนีกลับสวรรค์ ดังนั้นเมื่อเซฮุนมารายงานว่าแบคฮยอนมาถามเรื่องแปลกๆ อย่างเช่นมอมเหล้าชานยอลต้องใช้สุราแรงสักกี่แก้ว จงอินก็ทราบได้ทันทีว่าต้องใช้ ‘ไอ้นั่น’ ของเขาแล้ว

    ‘ไอ้นั่น’ ที่ว่าไม่ใช่ต้นเหตุเสียงครางเมื่อคืนของคยองซูหรอก หากแต่เป็นน้ำยาเวททรงพลังชนิดหนึ่งต่างหาก มันสามารถกระตุ้นความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจให้ใครก็ตามที่ดื่มเข้าไป พวกเขาจึงให้บริกรร้านอาหารผสมลงในน้ำผลไม้ที่แบคฮยอนดื่มเมื่อคืนนี้

    ผลลัพธ์ช่างเกินความคาดหมายเพราะนอกจากแบคฮยอนจะร้องไห้เป็นเผาเต่าเมื่อคิดว่าชานยอลกับคยองซูมีอะไรกันไปแล้ว แต่ยังทำให้ชานยอลแน่ใจว่าเทวดาตัวเล็กชอบเขาจริงๆ แม้จะเคยคาใจว่าแบคฮยอนชอบชานชานที่เป็นหญิงสาวแต่ไม่ใช่ตัวเขา แต่เมื่อคืนได้ยินชื่อตนเองชัดเต็มสองรูหู ชานยอลมีความสุขมากเลยเมื่อได้ยินดังนั้น

    แต่ไม่รู้ว่าน้ำยาเวทนั่นมีผลข้างเคียงอะไรหรือเปล่า แบคฮยอนจึงได้สลบไปหลังจากเอ่ยชื่อเขา ร่างเล็กนั่นเมื่อไหร่จะตื่นเสียที

    “อือ”

    แบคฮยอนขมวดคิ้วแล้วครางอือเรียกให้ชานยอลหลุดจากภวังค์ มือใหญ่จึงรีบเข้าไปจับมือน้อยเป็นอย่างแรก แล้วหลังจากนั้นแพขนตาก็กะพริบปริบๆ ก่อนจะตะโกนออกมาว่า “ชานยอล!”

    พร้อมปล่อยพลังสว่างยิงออกมามั่วซั่วหนึ่งสาย

    แบคฮยอนดูราวกับเด็กน้อยเพิ่งตื่นเลยงัวเงียและงอแงเป็นพิเศษ หลังจากชานยอลกางบาร์เรียกันพลังสว่างที่เทวดาเผลอปล่อยออกมาแล้ว นี่อาจจะเป็นอาการละเมอ พญามารจึงเข้ามากอดแบคฮยอนเอาไว้

    “ไม่เป็นไรแล้วแบคฮยอนข้าอยู่นี่” เสียงนุ่มทำให้เทวดาสงบลงแล้วจากนั้นแบคฮยอนก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
    “ฮือ ชานยอลอย่าไปไหนอีก ข้าไม่ให้เจ้าไปไหนแล้ว ห้ามไปกับคยองซูด้วย ห้ามไป” เทวดาร้องไห้จนเสื้อชานยอลเปื้อนคราบน้ำตาเป็นปื้น ทำเอาชานยอลจะหัวเราะก็ไม่กล้าเพราะคนในอ้อมกอดน่ารักเหลือเกิน แม้จะงงว่าแบคฮยอนปล่อยพลังมาทำไม แต่ตอนนี้เขามีความสุขมากกว่าจะกังวลเรื่องอื่น

    “ได้ ข้าไม่ไปไหนจากเจ้าอีกแล้ว” เอ่ยคำสัญญาแล้วชานยอลก็จูบลงบนกระหม่อมเรียกขวัญ

    แต่เหมือนเทวดาจะฤทธิ์มากเป็นพิเศษ จึงไม่ยอมปล่อยชานยอลและพยายามจะล้วงนั่นจับนี่จนเขาตามไม่ทันเสียอย่างนั้น เมื่อครู่ปล่อยพลังสว่างสุ่มสี่สุ่มห้า ตอนนี้ก็รุ่มร่ามใส่เขาอีก

    “เจ้าเป็นอะไรแบคฮยอน” ชานยอลรู้สึกว่าผิดสังเกต จึงดันแบคฮยอนออกแล้วเอ่ยถาม
    “ไม่เอา ไม่ให้ชานยอลไปไหนอีก จะไม่ยกให้ใครด้วย” แต่แบคฮยอนกลับยังทำเบลอ พูดจบก็เอามือสองข้างกุมใบหน้าชานยอลแล้วประกบปากจูบทันที
    “เดี๋ยว...” ชานยอลกำลังจะพูดว่าเดี๋ยวหยุดก่อนแต่ก็ไม่ทันแล้ว เมื่อปากน้อยประกบก็รุกรานเข้าถึงวงในทันที ลิ้นร้อนจากเทวดาเพิ่งตื่นเหมือนผสานพลังสว่างทำให้ชานยอลใจอ่อนยวบ แม้จะงุนงงว่าทำไมจู่ๆ ก็รุกแบบนี้แต่เขาก็ยอมรับว่าชอบมาก ดังนั้นเมื่อลิ้นเล็กพยายามเข้ามาหา เขาก็ใช้ลิ้นใหญ่กว่าตอบโต้กลับไป

    ชานยอลดันแบคฮยอนให้นอนลงหลังแนบฟูกเตียง จากนั้นก็สอดมือซ้ายเข้าใต้ท้ายทอยและสอดมือขวาเข้าเอวบาง ใช้ลิ้นใหญ่รุกรานอีกฝ่ายดูแล้วไม่โดนต่อต้านก็ได้ใจใหญ่ ตรงเข้าไล่เรียงทั้งขบทั้งเม้มเพื่อให้แบคฮยอนได้สติด้วย แต่ทำไปทำมาเหมือนจะตรงข้ามมากกว่าเพราะเขาเริ่มติดใจการจูบแบบนี้เสียแล้ว ดูท่าจะได้เสียสติกันไปทั้งคู่

    จวบจนเวลาผ่านไปชั่วครู่มือน้อยก็ยังไม่หยุดลูบไล้กล้ามอกแน่นของมารหนุ่ม ความอดทนจึงหมดลง ชานยอลขบเม้มริมฝีปากแบคฮยอนอีกรอบจากนั้นก็ไล่ขบลงไปที่คอขาว ไหปลาร้าร่องลึกนั้นคล้ายจะมีน้ำอยู่ภายในพญามารจึงเลียลงไปหวังดื่มน้ำดับกระหาย จากนั้นก็จัดการหน้าอกแดงก่ำร้อน

    “อือ” แบคฮยอนครางเสียงแผ่วเมื่อชานยอลจูบลงตรงหน้าอก ร่างบางไม่ดีดดิ้นหรือมีแรงมากอย่างเช่นเมื่อครู่แล้ว แต่กลับอ่อนปวกเปียกเหมือนช็อคโกแลตกำลังละลายลงบนมือชานยอลเลยทีเดียว

    พญามารยิ่งได้ใจใหญ่เมื่อเห็นท่าทางของเทวดาแบบนั้น จากที่สงสัยว่าทำไมร่างเล็กแปลกไปก็มีความ ‘ช่างมันเถอะ’ เข้ามาแทนที่ เขาหยุดไม่ได้แล้วตอนนี้ แบคฮยอนช่างยั่วยวนเสียเหลือเกิน

    ก๊อกๆ

    เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำเอาชานยอลสะดุ้งโหยง

    ก๊อกๆๆๆๆๆ

    มันจะอะไรกันนักหนาวะ!

    พญามารสบถในใจก่อนจะวางร่างเล็กซึ่งสลบไปอีกครั้งลงกับเตียง มือหนายกขึ้นมาลูบหน้าหนึ่งครั้งเพื่อเรียกสติ เอาจริงเขาควรขอบคุณใครก็ตามที่มาเคาะประตูสินะ ชานยอลถูกร่างบอบบางทำให้ใจเตลิดจนเกือบลืมว่าถ้าฉวยโอกาสทำอะไรกับแบคฮยอนตอนไม่รู้ตัวอาจจะทำให้เทวดาตัวน้อยโกรธก็เป็นได้ แม้ว่าแบคฮยอนจะจูบเขาก่อนก็เถอะ

    พญามารจัดที่นอนให้เทวดานอนดีๆ จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าตนเองก่อนจะร้องว่า “เข้ามาได้”

    “แบคฮยอนตื่นหรือยัง?” เป็นเซฮุนนั่นเองที่ขัดจังหวะเขา เอ่อ ต้องขอบคุณรึเปล่าล่ะที่มาช่วยไม่ให้เขาปล้ำแบคฮยอนไว้ เอ หรือเจ้านี่จะรู้อยู่แล้วถึงได้มาพอดีเนี่ย

    ชานยอลมัวแต่คิดว่าเซฮุนรู้หรือไม่ว่าเขากับแบคฮยอนกำลังทำอะไรอยู่ จึงไม่ได้ตอบอีกฝ่ายทันที มารมือขวาใจร้อนจึงเดินเข้าไปสำรวจร่างกายเทวดาเด็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้ว

    “เจ้าได้ถามจงอินหรือไม่ว่าน้ำยาเวทของเจ้านั่นผสมอะไรบ้าง” เซฮุนเอ่ยถามชานยอลเมื่อพบสิ่งผิดปกติ
    “ไม่ได้ถาม มีอะไรหรือ?”
    “ข้าว่าแบคฮยอนดูเหมือนมีพลังมากขึ้น” เซฮุนว่าพลางพลิกตัวเทวดาดูรอยด้านหลังจากนั้นก็เบิกตากว้างพร้อมสบถ “แย่ละ”

    ชานยอลจึงขมวดคิ้วแล้วมาดูด้วย พอได้เห็นร่องรอยที่หลังของแบคฮยอน เขาก็รู้เลยว่าเมื่อครู่การยิงลำแสงออกมามั่วซั่วของแบคฮยอนไม่ได้เป็นเพียงการละเมอธรรมดา

    ปีกที่เขาเคยเห็นมีสามคู่ ตอนนี้มีรอยพับด้านหลังเพิ่มมาอีกหนึ่งคู่และรอยจางๆ อีกหลายคู่ด้วย!

    ปีกของเทวดาเป็นสิ่งแสดงถึงระดับพลังเช่นเดียวกับปีกของมาร แม้จะต่างกันตรงที่ปีกเทวดาเป็นปีกขนนกและปีกมารเป็นปีกหนังค้างคาว แต่ความสามารถพื้นฐานนั้นเหมือนกันทั้งหมด เทวดาที่มีพลังไม่กี่ล้านหน่วยจะมีปีกเพียงแค่ไม่กี่คู่ แต่ถ้าเป็นเทวดาพลังมาก ปีกจะมีสูงสุดถึงแปดคู่ด้วยกัน เช่นกันกับปีกมารซึ่งชานยอลมีพลังกว่าแปดแสนล้านหน่วย จึงมีปีกแปดคู่ด้านหลัง

    เทวดาและมารเป็นผู้ได้รับพลังวิเศษจากพระเจ้า พวกเขาจะมีปีกจำนวนหนึ่งเมื่อเริ่มเกิดในภพใหม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มีพลังมากขึ้นก็สามารถเพิ่มระดับพลังและมีปีกเพิ่มได้ ซึ่งกว่าจะมีปีกขึ้นมาสักคู่นั้น เทวดาหรือมารบางตนต้องใช้เวลากว่าพันปีเลยทีเดียว

    ไม่กี่วันก่อนแบคฮยอนมีปีกแค่สามคู่เท่านั้น ผ่านไปไม่นานจะมีปีกเพิ่มมาอีกคู่ได้อย่างไร?

    “เกิดอะไรขึ้นกันแน่...ไม่ได้การ ข้าคงต้องไปพบซูโฮ เจ้าก็ถามจงอินด้วยว่าน้ำยาเวทของเจ้านั่นมีอะไรบ้าง” เซฮุนเอ่ยเสียงเครียด จากนั้นก็ร่ายเวทเคลื่อนที่วงใหญ่ สงสัยจะพุ่งตรงไปสวรรค์เลย “มีอะไรเพิ่มเติมเจ้าก็ใช้เวทสื่อสารมาละกัน”

    กล่าวแค่นั้นแล้วมารมือขวาของชานยอลก็หายวับไป

    ทิ้งให้ชานยอลอยู่กับแบคฮยอนตามลำพังอีกครั้ง


    ****lucky one and monster****



    “อือ...” ผ่านไปอีกหลายชั่วโมงกว่าแบคฮยอนจะขยับตัว ร่างบางกะพริบตาสองสามครั้งแล้วก็จ้องมองชานยอลซึ่งนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง
    “ตื่นแล้วหรือ” พญามารเอ่ยทัก
    “ตะ ตื่นแล้ว” แบคฮยอนกล่าวพลางรู้สึกว่าตนหน้าร้อนเมื่อเห็นชานยอลระยะใกล้แบบนี้ ร่างบางจึงยกผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้า จากนั้นก็ถามอะไรที่ตนไม่ถนัดจะถามนัก “เมื่อคืนเจ้ากับคยองซู...”

    เอ่ยเพียงแค่นั้นก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ แบคฮยอนได้แต่คิดว่าถ้าเสียงที่เขาได้ยินลอดประตูนั้นไม่ใช่ชานยอลกับคยองซู มันอาจจะเป็นเสียงใครก็ได้ แต่เขาก็เห็นนี่ว่าชานยอลนอนบนเตียงกับคยองซูก่อนที่เขาจะออกจากห้องนั้นมา

    พญามารหัวเราะเบาๆ

    แบคฮยอนเดาว่าเรื่องที่ถามคงช้าไปแล้ว นี่ก็ผ่านมาคืนหนึ่งแล้วสินะ ชานยอลทำไมยังมานั่งข้างเตียงเขาอีก พลันความน้อยใจก็บังเกิดจึงได้เอ่ยถามไป “ฮื่อ ท่านกับคยองซูมีอะไรกันแล้วจริงหรือ”

    คราวนี้ชานยอลตอบ “อืม”

    “ฮือ มารใจร้าย เจ้ากับคยองซูสมหวังกันไปแล้วจะมาอยู่ข้างเตียงข้าทำไม” เทวดาตัวเล็กกล่าวแล้วทุบอกพญามารรัวๆ มันน่าน้อยใจนัก ทำไมชานยอลจะต้องมาอยู่ตรงนี้ด้วย ทั้งๆ ที่เขา... ฮือ เขาเสร็จคยองซูไปแล้ว

    เมื่อโดนกำปั้นน้อยทุบรัวๆ พญามารจึงหยุดยิ้มแล้วรวบมือน้อยด้วยมือซ้าย จากนั้นก็ใช้มือขวาจับเอวแบคฮยอนไว้ก่อนจะโน้มร่างเล็กให้เข้าสู่อ้อมกอด

    “ปล่อยนะ ปล่อย ฮือ” แบคฮยอนไม่เข้าใจพฤติกรรมชานยอลเลย จึงโวยวายมากขึ้นและดิ้นขัดขืน

    เขาไม่รู้หรอกว่านั่นทำให้ชานยอลยอมแพ้ ไม่แกล้งแล้วก็ได้

    “โอยๆ ทำไมคนรักของข้าแรงเยอะขนาดนี้กันนะ” ประโยคเดียวจากปากพญามารทำเอาแบคฮยอนงงไปหมด
    “คะ...คนรักหรือ?” ร่างเล็กเอ่ยทวนและหยุดโวยวายทันที
    “ก็ใช่น่ะสิ เมื่อคืนนี้ใครกันน้าบอกว่าห้ามไม่ให้ข้าไปไหน แถมยังขอโทษข้าด้วย” ชานยอลดันแบคฮยอนออกจากอกเล็กน้อย แล้วก้มหน้ามายิ้มให้

    “งั้นแสดงว่าเมื่อคืนไม่ได้ฝัน งั้นเจ้ากับคยองซูก็ไม่ได้...” แบคฮยอนเหมือนจะเพิ่งจับใจความได้ จึงเอ่ยถามอีกครั้ง
    “ไม่มีอะไรเลยแบคฮยอน เมื่อคืนข้าไม่ได้อยู่กับคยองซูในห้องนั้น”
    “แต่ข้าได้ยินเสียงคราง...” เทวดายังติดใจและไม่เชื่อ

    ซึ่งนั่นทำให้ชานยอลหัวเราะดังๆ
    “ฮ่าๆ เสียงในห้องนั้นเป็นจงอินต่างหากเล่า”
    ชานยอลเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แบคฮยอนฟัง ตั้งแต่การแกล้งเมาของตนเอง จากนั้นก็ให้จงอินวาร์ปเข้าห้อง ทำให้คยองซูสลบ จากนั้นก็พบแบคฮยอนแล้วอุ้มมาถึงห้องนอนนี่

    “เจ้าเล่ห์ที่สุด ฮึ” พอแบคฮยอนรู้ว่าตนเองโดนซ้อนแผนเข้าให้จึงเบะปากแล้วผละออกจากอ้อมกอดพญามารซะ
    “แล้วที่คนรักของข้าเอาข้าไปประเคนให้เทวดาตนอื่นนี่ไม่เจ้าเล่ห์หรือไร หืม” ชานยอลจึงย้อนถามเข้าให้ เล่นเอาแบคฮยอนชะงัก

    “คำก็คนรัก สองคำก็คนรัก เจ้าขอข้ารึยังล่ะ” เทวดาจึงไพล่ไปเรื่องคำพูดของอีกฝ่ายเสียอย่างนั้น
    “ยังเลย เจ้าจะให้ข้าบอกรักก่อนหรือเจ้าจะบอกก่อนล่ะ แบคฮยอน”
    “ฮึ เจ้าต้องบอกว่าเจ้ารักข้าก่อน” เมื่อเห็นว่าตนเองได้ที เทวดาจึงรีบเอ่ย
    “เจ้ารักข้า”
    “ไม่ใช่สิ โธ่ ต้องเป็นข้ารักเจ้า” แต่พอเห็นชานยอลแกล้งบื้อ เขาก็เอ่ยแก้ให้ก่อนจะตงิดใจแล้วร้อง
    “อ๊ะ เจ้าแกล้งข้านี่นา” มือน้อยยกขึ้นมากุมปากเมื่อดันเผลอบอกรักพญามารไปก่อน ฮื่อ มารเจ้าเล่ห์

    แต่สักพักใบหน้าก็แดงระเรื่อเมื่อชานยอลยกมือเขามาจูบเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ยคำหวานหูนัก “ข้ารักเจ้า แบคฮยอน”
    “ข้ารักเจ้าจากใจจริง ได้โปรดอยู่ข้างกายข้าได้ไหม อย่ากลับสวรรค์เลยนะ”

    เป็นคำบอกรักที่น่ารักสุดเท่าที่เคยได้ยินพร้อมใบหน้าออดอ้อนแบบลูกหมาซึ่งหาได้ยากจากพญามารหน้าเข้มตนนั้น แบคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังละลายไปกับมือของชานยอลแล้ว

    “ฮื่อ ไม่ไปไหนแล้ว ชานยอลก็ห้ามไปไหนด้วย” เทวดาจึงเอ่ยคำเสมือนเป็นสัญญา จากนั้นก็กอดร่างใหญ่ไว้ไม่ปล่อย เขาจะไม่ยอมให้ยกชานยอลให้ใครอีกแล้ว


    (จบ)



    (ซะที่ไหนกันเล่า)

    หลังจากฟังคำสารภาพรักและตกลงกันว่าแบคฮยอนจะอยู่เป็นลัคกี้วันของชานยอลต่อไปแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นอี้ชิงพร้อมเทวดาสามสาวก็ปรากฏตัวมาพร้อมขนมเพื่อแสดงความยินดีกันใหญ่ ทำเหมือนกับว่าแอบฟังตอนเขาสารภาพรักกันอย่างนั้นแหละ ต้องใช่แน่ๆ แบคฮยอนคิดในใจแต่ว่าไม่กล้าถามออกไปตรงๆ เท่านั้นเอง

    ท่านแม่อี้ชิงเรียกมารรับใช้ให้เอาข้าวต้มมาให้แบคฮยอนกิน พอมารสาวยกมาชานยอลก็แย่งไปไว้ในมือเพื่อจะป้อนคนรักเอง นั่นทำให้ลัคกี้วันสามสาวขยิบตาใส่แบคฮยอนกันใหญ่ จากนั้นทั้งสี่ก็ออกจากห้องไปปล่อยพวกเขาทั้งสองให้อยู่ด้วยกัน

    “อ้าม” ชานยอลยกข้าวต้มคำโตจากนั้นเป่าสักครู่แล้วยกมาจ่อปากแบคฮยอน
    “งั่ม” เทวดาตัวน้อยก็รับอย่างว่าง่าย ค่อยๆ เคี้ยวแล้วกลืนจากนั้นก็ถาม “เซฮุนล่ะ ไปไหน”
    “เซฮุนไปทำธุระน่ะ เจ้ารีบกินเถอะ เดี๋ยวข้าจะพาไปเที่ยว” ชานยอลตักข้าวต้มอีกคำ ว่าแต่พูดถึงเรื่องเที่ยว แบคฮยอนก็อยากจะถามสักหน่อย
    “ชานยอล ข้าไปหาท่านตาได้ไหม”
    “เจ้ายังอยากกลับไปอยู่สวรรค์งั้นหรือ” พญามารตอบพลางทำหน้าเศร้า เล่นเอาเทวดาเอ็นดูในท่าทางนั้นก่อนจะยกมือบีบแก้มเบาๆ แล้วเอ่ย
    “ที่ไหนกันเล่า ข้าหมายถึงไปเที่ยวหาท่านตาบ้างน่ะ นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วนะ ข้าคิดถึงท่านตา” แบคฮยอนยิ้มแล้วรับข้าวต้มจากชานยอลอีกคำ
    “ได้สิได้ ถ้าแค่ไปเที่ยวน่ะได้” ซึ่งพอได้รับคำตอบจากชานยอลแล้ว แบคฮยอนก็ยิ้มกว้าง ส่วนชานยอลก็ยิ้มกว้างด้วย

    ดูเหมือนตอนนี้อะไรๆ ก็ดีไปหมดสำหรับแบคฮยอนแล้ว ร่างเล็กจึงโน้มตัวไปจูบแก้มคนรักเสียหน่อย ท่าทางตอนชานยอลก้มหน้าเมื่อได้ยินว่าเขาจะไปหาท่านตานี่น่าแกล้งจริงๆ พอเขาบอกว่าไปเที่ยวเฉยๆ ก็เงยหน้ามายิ้มเหมือนเด็กไม่กี่ขวบ หากไม่รู้มาก่อนว่าพญามารคือมารตรงหน้านี้ แบคฮยอนจะคิดว่านี่คือเด็กมารที่ไหนไม่รู้

    “เจ้าทำแก้มข้าเปื้อนไปหมดแล้ว” ชานยอลวางข้าวต้มลงแล้วเอาผ้ามาเช็ดแก้ม เมื่อครู่แบคฮยอนแกล้งด้วยการจูบแก้มทั้งๆ ที่ข้าวต้มยังเต็มปาก แก้มพญามารเลยมีแต่เศษข้าวเสียอย่างนั้น

    จุ๊บ!

    แบคฮยอนจูบแก้มชานยอลอีกครั้ง รอยข้าวต้มรูปปากอีกรอยก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

    “เจ้า! แกล้งกันอย่างนั้นหรือ” ชานยอลจึงวางข้าวต้มไปไกลๆ แล้วเอาผ้าเช็ดพลางบ่น “ไม่ต้องกินมันแล้วไหม ข้าวต้มเนี่ย”

    “ไม่กินข้าวต้มแล้ว กินชานยอลแทนได้ไหมล่ะ” แบคฮยอนก็เอ่ยยั่วเย้า มีแลบลิ้นเลียปากหนึ่งทีด้วย
    “แน่ใจหรือว่าอยากกินพญามารหนุ่มรูปหล่อ” พอโดนยั่วจากเทวดา ท่านพญามารเลยแลบลิ้นยั่วบ้าง
    “แน่ใจสิ หรือจะยอมให้พญามารกินข้าดีน้า” คราวนี้แบคฮยอนไม่ยอมแพ้ มือทั้งสองข้างปลดกระดุมหนึ่งเม็ดแล้วแหวกเสื้อเล็กน้อย

    และนั่นก็ทำให้ชานยอลจัดการปิดปากเทวดาไม่ให้เอ่ยยั่วอีกต่อไป

    ร่างเล็กโดนผลักให้แนบลงกับเตียงพร้อมปากอิ่มโดนปิดแทบไม่ได้หายใจ ลิ้นของทั้งสองสัมผัสกันทันทีและคลุกเคล้ากันไปในปากเล็ก มือน้อยพยายามไขว่คว้าหาที่ยึดจึงจับเข้ากับเสื้อของมารไว้ ชานยอลเห็นท่าทางคนรักก็ย่ามใจดูดรสหวานจากปากงามจนกระทั่งอีกฝ่ายนั้นทุบอกเนื่องจากหายใจไม่ทันแล้ว

    แฮ่ก...

    เสียงหอบเหนื่อยราวกับวิ่งมาราธอนพาให้พญามารอารมณ์ขึ้น ริมฝีปากสดชุ่มฉ่ำของแบคฮยอนนั้นงดงามเสียจนเขาทนไม่ไหว พอเห็นอีกฝ่ายหายใจหายคอพอประมาณแล้วชานยอลก็ลงไปเก็บน้ำหวานต่อ ราวกับข้าวต้มที่แบคฮยอนกินนั้นกลายเป็นข้าวหมักเพราะชานยอลเริ่มมึนเมาบ้างแล้ว

    เมื่อจูบจนหนำใจแล้วปากใหญ่ก็ไล่ไปแก้มสวย ระดมจูบทั่วทุกตารางนิ้วแล้วก็ไล่ไปที่คอระหง แบคฮยอนครางฮื่อเมื่อชานยอลกัดลงเพื่อทำรอย พญามารอยากทำเครื่องหมายไว้ว่าเทวดาตนนี้เป็นของเขาจึงกัดตรงบริเวณซึ่งเห็นได้ชัดแบบเสื้อแทบบังไม่ได้ มารตนอื่นจะได้รู้ว่าเทวดาน้อยน่ารักมีเจ้าของแล้ว

    [nc-17]

    เสื้อตัวบางถูกปลดออกในเวลาเสี้ยววินาที จากนั้นปากใหญ่ก็ระดมจูบพรมไปทั่ว “อ๊ะ...อา” เสียงแบคฮยอนครางทุกครั้งที่ชานยอลสัมผัสนั้นกระตุ้นอารมณ์ดีนัก พญามารเลยต้องห้ามใจไว้อย่างหนักไม่ให้รุนแรงกับเทวดาในอ้อมกอด แต่พอคิดดังนี้แล้ว กลายเป็นมือน้อยของร่างเล็กขยับไล้ไปตามกล้ามท้องเป็นลอนของเขาก่อนจะหยุดตรงกระดุมกางเกงแล้วปลดมันทันที

    ชานยอลแกล้งงับเข้าตรงหน้าท้องแบนราบของแบคฮยอนให้อีกฝ่ายได้ร้องเพราะความเสียว จากนั้นก็โดนเอาคืนด้วยการเอื้อมมือน้อยไปจับส่วนกลางของลำตัวเข้า เล่นเอาพญามารหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจ

    “จะกินละนะ” ร่างเล็กเอ่ยยั่วเย้าก่อนจะเอื้อมมือไปเล่นกับของใต้กางเกงนั้น ชานยอลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะปล่อยให้แบคฮยอน ‘จัดการ’ ตรงนั้นสักหน่อย เจ้านี่ทำความผิดไว้เมื่อคราวนั้นเขายังจำได้ บังอาจนักที่ขยายร่างแล้วทิ่มหน้าขาแบคฮยอนไปรอบหนึ่งแล้ว

    มือใหญ่สองข้างค้ำยันตนเองเพื่อให้มือน้อยข้างหนึ่งหยอกเย้ากับน้องชายร่วมสายเลือด ชานยอลครางอย่างพอใจเมื่อมือสวยบีบคั้นมันทีละน้อย ค่อยๆ ลูบคลำจนเจ้านั่นแข็งขืนและขยายขนาด

    “นี่แน่ะ คราวนี้จะกล้าทิ่มหน้าขาข้าอีกไหม” แบคฮยอนกล่าวกลั้วหัวเราะกับแท่งเนื้อในมือ เขาจับแล้วรูดรั้งไปมาราวกับไม่เห็นสีหน้าเจ้าของที่คร่อมร่างตนเองอยู่ แม้เทวดาร่างเล็กจะไม่เคยทำเรื่องอย่างว่านี้กับเทวดาหรือมารตนไหน แต่เขาก็เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรเพราะเขาก็ต้องการเช่นกัน

    ลูบคลำหลายครั้งจนชานยอลร้องอืออาด้วยความอึดอัดแบคฮยอนก็ยิ่งย่ามใจ มือน้อยกอบกุมทั้งก้อนไม่ไหวก็ยิ่งทำให้พญามารขัดใจนัก ครั้นแล้วเทวดา ‘เล่น’ กับเจ้าก้อนนั้นนานแล้วแต่ไม่มีทีท่าจะไปถึงฝัน ชานยอลจึงจับมือสวยออกมาเสียก่อน จากนั้นก็ปรามเสียงอ่อน

    “ข้าว่ามันคงอยากทิ่มอย่างอื่นแล้วล่ะ” พูดจบแล้วปากใหญ่ก็จูบเข้ามือสวยหนึ่งที จากนั้นก็รวบทั้งสองมือน้อยไว้เหนือหัวเทวดาตัวเล็ก มือเขาเองข้างหนึ่งจับมือแบคฮยอนไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ปลดกางเกงอีกฝ่ายอย่างเชี่ยวชาญ เท่านี้ ‘แบคฮยอนน้อย’ ก็ปรากฏสู่สายตา

    ชานยอลก้มลงใช้ปากกับ ‘เจ้าตัวเล็ก’ โดยไม่รังเกียจ เล่นเอาแบคฮยอนร้อง “อ๊า” ขึ้นมาพลางกัดปากลดความเสียว มือที่ถูกรวบไว้ดิ้นขลุกขลักก่อนจะหลุดการควบคุมมาหนึ่งข้างแล้วจิกนิ้วลงบนศีรษะพญามารเพื่อลดความเสียวซ่าน

    “อืม ชานยอล อ๊า ตรงนั้น อ๊า อ๊า” เสียงหวานร้องดังเมื่อถูกปรนเปรอด้วยปากไม่หยุดหย่อน แบคฮยอนแทบทนไม่ไหวแล้ว เมื่อชานยอลทั้งขบทั้งเม้มจนเขาปวดหนึบไปหมด

    “อีก อื้อ อีก อ๊า” จนชานยอลจัดการรุกหนัก แบคฮยอนก็หอบหายใจตัวโยนเพราะเพิ่งเสียน้ำไป เหงื่อกาฬไหลออกจากขมับ มือน้อยก็จับทึ้งศีรษะมารจนผมสีแดงเพลิงหลุดติดมือมาไม่น้อย แต่พญามารก็ไม่ปล่อยให้เขาพัก เมื่อนิ้วมือใหญ่สองนิ้วแหวกช่องทางรักพร้อมกับใช้น้ำจากแบคฮยอนเมื่อครู่เป็นตัวหล่อลื่น

    “อื้อ เจ็บ” แบคฮยอนร้องทันทีเมื่อนิ้วที่สามเข้ามารุกรานช่องทางของเขา ชานยอลจึงค่อยๆ เบามือเพื่อผ่อนปรนให้คนรักหน่อย สักพักหลังจากที่ชินแล้วนิ้วที่สี่จึงตามเข้าไปกดแถวจุดกระสันให้ร่างบางสั่นสะท้าน

    “กดตรงนี้ได้ไหมที่รัก” ชานยอลกระซิบข้างหูเทวดาตัวน้อยแล้วงับหนึ่งทีเพิ่มอารมณ์สักหน่อย ได้ผลไม่น้อยเมื่อแบคฮยอนพยักหน้าแล้วครางดังขึ้น เขาคิดว่าแบคฮยอนน่าจะพร้อมแล้วสำหรับตอนนี้ น้องชายของเขามันอึดอัดคอยนานแล้ว อยากจะทิ่มอะไรอุ่นๆ เหลือเกิน

    “อื้อ” แบคฮยอนครางเสียงอ่อนเมื่อชานยอลแทรกร่างเข้าใส่ ขนาดของชานยอลนั้นเมื่อเจอของจริง เทวดาถึงกับร้อนไปหมด เมื่อครู่รู้สึกว่าสี่นิ้วที่เบิกทางมันใหญ่มากแล้ว พอเจอเจ้าแท่งของชานยอลแบคฮยอนก็ไปไม่ถูกเลยทีเดียว ราวกับโดนเหล็กร้อนนาบกันสดๆ ทั้งเจ็บทั้งเร่าร้อนในกายไปพร้อมๆ กัน

    “ไหวไหมแบคฮยอน” ชานยอลเห็นคนรักกำลังลำบากจึงจูบพรมจากข้างขมับยาวไปจนถึงคอขาว เขาไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายกับเทวดาตัวเล็กแบบแบคฮยอนมาก่อนจึงไม่ค่อยแน่ใจนักว่าอีกฝ่ายจะรับไหว อารมณ์อยากทิ่มจนถึงฝันยังมีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าเทวดาที่รักไม่ค่อยไหวเขาก็จะไม่ฝืนเลย ชานยอลทนได้เพื่อแบคฮยอนจริงๆ

    “มะ ไม่ เข้ามา อ๊า เข้ามาอีก” ฝ่ายแบคฮยอนเมื่อรับจูบอ่อนโยนจากคนรักแล้วก็ผ่อนคลายลง มือที่จิกลงกับหลังของมารผ่อนลงไปมากแล้วขาสองข้างก็แยกออกอีกนิด ชานยอลจึงไม่รอช้าแทรกตัวเข้าไปจนสุดทางของเขาแล้วขยับให้มันลื่นไหลเพื่อไปให้จบการร่วมรักครั้งนี้

    “อดทนอีกนิดเดียวที่รัก อดทนนะ” มือใหญ่พยายามค้ำยันตนเองไม่ให้ทับร่างเล็ก แต่ก็ต้องโถมตัวเข้าหาอีกฝ่ายด้วยแรงไม่น้อยเพื่อให้กิจกรรมแห่งรักไปถึงจุดสูงสุดให้ได้ ชานยอลจูบปลอบแบคฮยอนพร้อมขยับแบบทะนุถนอมไปพลางเพราะกลัวคนรักเจ็บ แต่กลายเป็นว่ามันทำให้เขาไม่เสร็จเสียที ตอนนี้เจ้าน้องชายกำลังทิ่มเข้าทิ่มออกอย่างขยันขันแข็ง แต่เหมือนจะทิ่มไม่ถูกจุดเสียอย่างนั้น

    “ไม่ทนแล้ว!” จู่ๆ แบคฮยอนพูดขึ้นเลยทำเอาชานยอลชะงัก

    ร่างเล็กของเทวดาอาศัยตอนมารกำลังมึนงง ดันร่างใหญ่ให้พลิกกลับอีกด้านแล้วพาตนเองมาอยู่ด้านบนแทน มือน้อยข้างหนึ่งจับกล้ามท้องพญามารไว้ ส่วนมืออีกข้างยันเข้ากับหน้าขาใหญ่ จากนั้นก็ขยับขึ้นลงด้วยใจปรารถนาจะถึงฝั่งอย่างแรงกล้า

    “แบคฮยอน เจ้า อื้ม ดีมาก” ชานยอลกำลังจะถามว่าเทวดาตัวเล็กจะไหวไหม แต่พอร่างบนท่อนขาเขาเคลื่อนไหว พญามารก็รู้ว่าประเมินคนรักต่ำไปจริงๆ แบคฮยอนตอนนี้เหมือนกำลังควบม้าหนุ่มตัวหนึ่ง ม้าหนุ่มนั้นกลัวว่าเทวดาจะเจ็บแต่ก็กลายเป็นว่าถูกเทวดานั้นกระแทกท้องให้หนึ่งทีจึงรู้ตัว

    “อา...” ร่างเล็กเคลื่อนไหวคล่องแคล่วจนชานยอลอดสั่นสะท้านไม่ได้ เมื่อครู่เขามัวแต่คิดถนอมอีกฝ่ายโดยไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้มันต้องแรงเข้าไว้ถึงจะดี ตอนนี้แบคฮยอนขยับร่างไปมาราวกับกำลังคลุ้มคลั่ง และนั่นก็ทำให้ชานยอลสุขสมจนใกล้จะถึงขีดสุด

    มือใหญ่ขยำก้นงอนงามแล้วเสริมแรงขยับ เทวดาหนุ่มเมื่อได้รับแรงจากม้าหนุ่มจึงเริ่มบ้าระห่ำ สะโพกสวยขยับเร็วและแรงขึ้นอย่างไม่เกรงใจเสียงครางของตนเองและคู่รัก จากนั้นไม่นานพญามารก็สุขสมอารมณ์หมายเสียที อา...แบคฮยอนสุดยอด ชานยอลขอยอมรับ

    “กิน... ชานยอล... อร่อยมากเลย” เทวดาตัวน้อยหมดแรงฟุบลงกับร่างใหญ่แต่ก็ยังไม่หยุดแซวอีก มันน่าต่ออีกยกยิ่งนัก ชานยอลคิดในใจ

    หลังจากผ่านกิจกรรมเข้าจังหวะพาให้รู้จักกันอีกขั้น แบคฮยอนที่เหนื่อยอ่อนจากการควบม้าก็หลับผล็อยในเวลาไม่นาน ชานยอลจูบขมับคนรักของเขาแล้วจากนั้นก็ข่มตาหลับตาม เขาเองไม่ได้นอนมาทั้งคืนเพราะมัวแต่เฝ้าแบคฮยอนไว้ ตอนนี้เทวดาตัวน้อยอยู่ในอ้อมกอดเขาโดยสมบูรณ์แล้ว คงถึงเวลาพักผ่อนเสียที

    แม้จะไม่ใช่ยามราตรีแต่ก็ขอกล่าวคำว่าราตรีสวัสดิ์กับคนรักหน่อยละกัน

    “ราตรีสวัสดิ์ เทวดาที่รัก” ชานยอลกล่าวเบาๆ จากนั้นก็หลับในเวลาอันรวดเร็ว





    talk
    ฉากคัทแต่งฝืดมาก ร้องไห้ ฮือ

    #luckyone
    @noeybaekbd


    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 16 ลัคกี้แบคเป็นเด็กมีปัญหา

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:53 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 16
    ลัคกี้แบคเป็นเด็กมีปัญหา






    “วันนี้บทเรียนคือการควบคุมพลังสว่าง จงควบคุมให้ลำแสงสว่างของเจ้าพุ่งเข้าสู่เป้าหมายด้วยขนาดลำแสงไม่เกินหนึ่งนิ้วให้ได้”

    เสียงซาร่าดังสะท้อนไปมาข้างหูจนแบคฮยอนรู้สึกรำคาญ ปากอยากจะบอกว่ารู้แล้วน่าแต่ก็พูดไม่ได้ถ้ายังอยากมีชีวิต ขืนพูดออกไปได้โดนเทวดาสาวสาดพลังใส่จนเกือบตายแน่ เขายังต้องอยู่กับชานยอลไปอีกนานดังนั้นอย่าเสี่ยงดีกว่า

    เอาล่ะ ตอนนี้แบคฮยอนจึงทำได้เพียงพยายามตั้งจิตให้มั่นแล้วปล่อยลำแสงพลังสว่างที่รวบรวมไว้ มือขวายกขึ้นทำเป็นรูปร่างคล้ายปืน นิ้วชี้เล็งไปยังเป้าหมาย จากนั้นก็นับหนึ่งถึงสิบในใจ เป้าระยะห้าสิบเมตรเขาต้องไม่พลาด

    ตู้ม!

    เข้าเป้าพอดี...

    แต่เป้าทำมาไม่ดีใช่ไหม ทำไมมันไหม้ไปหมดลามไปถึงเป้าข้างๆ ด้วย โว้ย!!!

    “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าอย่าปล่อยพลังออกมากเกินไป เพ่งสมาธิสิ แบคฮยอน!” ซาร่ามายืนข้างตัวเขาพลางเขกหัวดัง โป๊ก! เจ็บชะมัด แบคฮยอนเจ็บจนน้ำตาไหล โดนเขกหัวแล้วยังโดนเทศน์อีก ก็มันยากนี่นา ฮือ

    เทวดาน้อยบ่นอุบในใจ จะโทษใครก็ต้องหมายหัวพญามารตนแรก ตั้งแต่เมื่อเขาเสียความบริสุทธิ์ให้กับชานยอลแล้ว ร่างกายของเขาก็ไม่ฟังตัวเขาเสียอย่างนั้น ไม่ใช่สิ เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย ต้องตั้งแต่โดนน้ำยาเวทต่างหาก เซฮุนบอกว่าน้ำยาเวทของจงอินมีผลข้างเคียงทำให้พลังของเขาไม่คงที่ จากเคยมีไม่กี่ล้านหน่วยก็พุ่งพรวดมาเป็นสองแสนล้านหน่วยในตอนนี้ พอรู้แล้วแบคฮยอนก็อึ้งไปเลย

    อยากจะคาดโทษเจ้ามารมือซ้ายเพื่อนชานยอลนั่นชะมัด แต่ติดที่ว่าตอนนี้เจ้านั่นกำลังอินเลิฟกับคยองซูเขาจะไม่ยุ่งก็ได้ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันหลังจากชานยอลกับแบคฮยอนตกลงปลงใจกันแล้ว ไม่นานจากนั้นคยองซูกับจงอินก็อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผย ไม่แค่แสดงออกว่าเป็นคู่รัก แต่คยองซูก็แสดงตัวตนที่แท้จริงนั่นคือเทวดากลุ่มผู้ถูกเลือกระดับท้อปด้วย ปีกหกคู่ของคยองซูทำให้แบคฮยอนไม่กล้าทำอะไรอีกฝ่ายเลย พลังมากขนาดนั้นน่าจะเขกหัวแรงกว่าซาร่าอีก

    กลับมาที่ปัจจุบันต่อ ตอนนี้แบคฮยอนมีปีกเพิ่มมาอีกคู่อย่างรวดเร็ว พลังก็เพิ่มมากกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า เขาจึงต้องมาฝึกใช้พลังกับซาร่าในสนามฝึกให้คล่อง ไม่อย่างนั้นเวลาง่วงนอนหรือละเมออาจจะทำให้มารหรือเทวดาตนอื่นบาดเจ็บได้

    แบคฮยอนก็รู้ในภายหลังนี่เองว่าเขาเคยยิงลำแสงมั่วซั่วใส่ชานยอลด้วย ตอนนั้นพญามารกางบาร์เรียป้องกันได้ทันจึงไม่เป็นอะไรแต่ถ้าเจอมารหรือเทวดาที่ไม่เก่งเท่าชานยอลอาจจะมีบาดเจ็บหรือถึงตาย เขาก็ไม่อยากจะเป็นฆาตกรโดยไม่รู้ตัวหรอกนะ

    “เอาล่ะ ข้าว่าเจ้าควรไปนั่งสมาธิอีกรอบ” ซาร่ามองเป้าทำจากไม้ซึ่งไหม้ไปทั้งแถบอย่างเหนื่อยใจแล้วเอ่ยออกมา สีหน้าของเธอไม่ค่อยดีนักมันทำให้แบคฮยอนไม่สบายใจนิดๆ เขาตั้งใจแล้วสมาธิก็ตั้งมั่นแล้วนะ แต่ทำไมพลังมันไม่ฟังกันบ้างเลย ออกไปตรงเป้าแต่เผาจนหมดนี่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร

    “เจ้าอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ” เทวดาหนุ่มกล่าวพลางทำสีหน้าสำนึกผิดเมื่อเห็นเทวดาสาวทำหน้าเครียด แม้จะโดนเขกหัวแต่แบคฮยอนก็รู้ว่าซาร่าเป็นคนจริงจังมากไปเท่านั้นเอง ที่จริงเธอแค่อยากให้แบคฮยอนควบคุมพลังได้เร็วๆ ก็เท่านั้น

    “ไม่เป็นไรแบคฮยอน เจ้าไปนั่งสมาธิก่อน ข้าขอเวลาไปทำธุระสักครู่” ซาร่าเห็นแบคฮยอนทำหน้า ‘ลูกหมาอ้อน’ ก็ยิ้มออกมาครั้งหนึ่ง มือที่ใช้เขกหัวกลับมาลูบหัวราวกับกำลังเอ็นดูน้องตัวเล็ก เธอกำลังคิดไม่ตกมากกว่าว่าการฝึกผิดพลาดตรงไหน เห็นทีจะต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสียแล้ว

    หลังจากแบคฮยอนไปนั่งสมาธิในห้องพัก ซาร่าจึงใช้เวทสื่อสารติดต่อไปยังเซฮุนทันที

    “ข้าเอง ซาร่า” หลังจากอีกฝ่ายรับเวทของเธอ เทวดาสาวก็ทักขึ้นก่อน
    “หืม?” ซึ่งเซฮุนก็พูดห้วนมาตามนิสัย
    “ข้าว่าแบคฮยอนมีปัญหา...” ซาร่ากล่าวนำแล้วก็เล่าเรื่องราวเมื่อครู่ให้เซฮุนฟังทั้งหมด ที่จริงตอนเช้าแบคฮยอนเหมือนจะค่อยๆ ควบคุมพลังได้เรื่อยๆ แล้ว แต่พอบ่ายนี้กลับทำเป้าไม้พังไปเป็นแถบ เรื่องราวชักจะไม่ดีเสียแล้ว
    “เจ้ารออยู่ที่นั่น เดี๋ยวข้าไปหา” เซฮุนฟังเรื่องจากซาร่าก็ขมวดคิ้วเช่นกัน ตอนนี้เขาเพิ่งคุยกับซูโฮจบและมีประเด็นสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับแบคฮยอนพอดี มารหนุ่มจึงตัดเวทสื่อสารเทวดาสาว จากนั้นก็ร่ายเวทเคลื่อนย้ายแล้วไปปรากฏที่สนามฝึกในเวลาไม่นานนัก

    เซฮุนมองอดีตเป้าไม้เพื่อฝึกยิงพลังซึ่งตอนนี้กลายเป็นขี้เถ้าแถวหนึ่ง แบบนี้มันไม่เข้าท่าจริงๆ ด้วย พลังของแบคฮยอนมีแค่สองแสนล้านหน่วย และรวบรวมพลังแค่ไม่กี่วินาทีไม่น่าจะเผาสนามไปกว่าครึ่งขนาดนี้ เหมือนเขาจะพลาดอะไรไป จึงได้ถามซาร่าว่าแบคฮยอนอยู่ที่ไหน จากนั้นก็ไปหาเทวดาน้อยในห้องพักอย่างรวดเร็ว

    แบคฮยอนกำลังนั่งสมาธิตอนที่เซฮุนมาเคาะประตูห้อง เมื่อทราบว่าเป็นมารหนุ่มก็กุลีกุจอออกมาเปิดประตูให้พร้อมยิ้มแฉ่ง ปากรีบพร่ำถามว่าท่านตาว่างรึยังเขาจะได้ไปเที่ยวหา แต่เซฮุนกลับโบกมือว่ายังแล้วพาเทวดาน้อยไปนั่งลงบนเก้าอี้ พาให้แบคฮยอนทำหน้า ‘หมาน้อยกำลังเศร้า’ ใส่เสียอย่างนั้น

    “แบคฮยอน อยู่นิ่งๆ นะ” หลังจากพาเด็กน้อยมานั่งบนเก้าอี้เซฮุนก็กล่าวพลางยกมือไปถกเสื้อด้านหลังขึ้น เทวดาร้อง ‘อ๊ะ’ หนึ่งรอบแล้วจากนั้นเมื่อได้ยินมารพูดว่า ‘ชู่ว’ ก็มีวงเวทปรากฏขึ้น

    เซฮุนขมวดคิ้วอีกครั้ง รอยพับปีกเหมือนจะชัดขึ้นมาอีกสองรอยแล้ว รวมกับที่ไม่ชัดอีกสองก็เป็นแปดคู่ หัวคิ้วมารหนุ่มย่นเข้าหากันมากขึ้นไปอีก ระหว่างนั้นก็ร่ายเวทเพื่อวัดพลังไปพลาง เมื่อเวททำงานเซฮุนก็ถึงกับเหงื่อตก...ตอนนี้สี่แสนล้านหน่วยแล้ว

    มารมือขวาเก็บวงเวทจากนั้นก็คิดหนักว่าจะทำอย่างไรต่อ แน่นอนว่าเขาต้องไปหาซูโฮอีกครั้ง และตอนนี้ต้องระวังไม่ให้แบคฮยอนใช้พลังหรือกางปีกโดยเด็ดขาด

    “แบคฮยอน ฟังข้านะ” เซฮุนกล่าวเสียงเครียดพร้อมใบหน้าจริงจังสุด “ช่วงนี้เจ้าหยุดฝึกการใช้พลังก่อน ปีกก็ห้ามกางออกมาด้วย เข้าใจไหม”
    “แต่ข้า...”
    “ไม่มีแต่ ถ้าเจ้ายังไม่อยากทำร้ายใครก็ทำตามที่ข้าบอก ข้าขอเวลาไปค้นคว้าสองสามวันแล้วจะกลับมา” มารหนุ่มตัดบทแล้วก็พบว่าเทวดาตัวน้อยเม้มปากแน่น แบคฮยอนคงสงสัยแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าถามเซฮุนตอนนี้เขาก็ยังให้คำตอบไม่ได้เหมือนกัน กุญแจทุกอย่างอยู่ที่ซูโฮ และเขากำลังจะไปหาเจ้านั่นแน่ แต่ต้องกำชับไม่ให้เด็กน้อยใช้พลังพร่ำเพรื่อก่อน

    “ได้ไหม ข้าขอร้อง” พอเห็นแบคฮยอนไม่ตอบรับ มารหนุ่มก็ใช้น้ำเย็นเข้าลูบหน่อย คราวนี้เหมือนจะได้ผลเพราะได้ยินเสียงตอบเบาๆ
    “อือ” แบคฮยอนพยักหน้าหนึ่งครั้ง สร้างความโล่งใจให้เซฮุนไปหนึ่งเปลาะ
    “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารออยู่ที่นี่ ถ้าเหงา ข้าจะตามชานยอลมาอยู่เป็นเพื่อน” เซฮุนลูบหัวเด็กน้อยหนึ่งครั้งแล้วปลอบจากนั้นก็ส่งเวทสื่อสารไปหาเพื่อนทันที
    “อ๊ะ เซฮุนข้าไม่อยากรบกวนชาน...” แบคฮยอนกำลังจะร้องห้าม เนื่องจากถ้าเขาให้ชานยอลมาอยู่ด้วยก็เหมือนลูกแหง่น่ะสิ ชานยอลน่ะไม่ว่างเหมือนเขามีงานทำร้อยแปด แล้วถ้าชานยอลมา ก็จะทำให้คยองซูต้องทำงานหนักไปอีก เขายังไม่อยากโดนคยองซูเขกหัวหรอกนะ

    แต่ก็ไม่น่าจะทันเสียแล้วเมื่อกลางห้องมีวงเวทขนาดใหญ่เอกลักษณ์เฉพาะของพญามารปรากฏขึ้น คนรักของแบคฮยอนมาถึงแล้ว ชานยอลนี่ไวจริงๆ เลย

    เซฮุนทำหน้าเหม็นบูดหนึ่งรอบให้ไอ้พญามารเพื่อนรัก พอบอกว่าแบคฮยอนมีปัญหา ไอ้เพื่อนเห่อคนรักของเขาไม่แม้แต่จะถามพลันร่ายเวทมาที่นี่เลย ทำอย่างกับรอมาหาเทวดาที่รักของมันตั้งนานแล้วแต่เพิ่งสบโอกาสเสียอย่างนั้น

    “เจ้าอยู่กับแบคฮยอนที่นี่ ข้าจะไปหาผู้เชี่ยวชาญก่อน” เซฮุนจงใจละชื่อซูโฮไว้ในฐานที่เข้าใจกับชานยอลเท่านั้น เขาไม่อยากเอ่ยชื่อท่านตาของแบคฮยอนให้เด็กน้อยได้ยิน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ได้มีร้องไห้งอแงขอตามไปเที่ยวหาท่านตาแน่ๆ

    “ได้ ข้าอยู่ที่นี่เอง” ชานยอลพยักหน้ารับรู้ เบื้องหลังนั้นเขาใช้วิชาอ่านใจจึงรู้หมดแล้วว่าเซฮุนกำลังจะไปไหนแล้วเกิดอะไรขึ้น มือใหญ่เดินเข้ามาโอบคนรักของตนเองไว้พลันสัมผัสได้ถึงรอยพับปีกที่เพิ่มขึ้น มันไม่ค่อยดีแล้วอย่างนี้ถ้าแบคฮยอนจะมีพลังเพิ่มขึ้นทุกวันแบบนี้

    “แล้วจะรีบกลับมา” เซฮุนกล่าวทิ้งท้ายแล้วหายไปในวงเวทอีกขนาดใหญ่อีกครั้ง

    “ชานยอล เซฮุนไปไหนหรือ?” คล้อยหลังไม่นาน ชานยอลก็ได้ยินเสียงออดอ้อน เมื่อครู่เขาโอบกอดร่างเล็กเอาไว้แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเทวดาตัวเล็กโอบเขาไว้แน่นกว่า แถมยังช้อนตาขึ้นมามองพลางอ้อนอีกด้วย

    ใบหน้าจิ้มลิ้มของเทวดาที่รักอยู่แนบอกเขา สองตาเรียวมีประกายวิบวับน่ามอง ปากก็เชิดขึ้นเบาๆ คล้ายไม่พอใจแต่กลายเป็นน่ารักในสายตาผู้มองเสียอย่างนั้น พญามารข่มใจนับหนึ่งถึงสิบไม่ให้ฟัดลูกหมาตรงหน้า อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังบ่ายๆ อยู่เรื่องแบบนั้นกลางคืนจะดีกว่า

    แต่ถ้าแค่จูบคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม?

    ชานยอลก้มหน้าระยะประชิดกับใบหน้าเทวดาตัวเล็ก จากนั้นก็ใช้ปากสัมผัสบนหน้าผากเนียนอย่างแผ่วเบา พอเห็นแบคฮยอนทำหน้ามุ่ย ปากใหญ่จึงขอชื่นใจแก้มทั้งสองข้างอีกนิด ฟอด ฟอด ชานยอลหอมแก้มแล้วจึงตอบคำถาม

    “เซฮุนแค่ไปหาคำตอบเรื่องพลังของเจ้า เดี๋ยวเขาก็มา” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพาให้ใจแบคฮยอนเบาสบายจนถึงกับหวิว แต่เพราะเทวดาตัวน้อยเขินที่โดนหอมแก้มก่อนตอบเลยกระฟัดกระเฟียดเข้าให้

    “มารเจ้าชู้ ตอบคำถามแค่นี้ก็ต้องหอมแก้มด้วย” ว่าพลางเบะปากแล้วผละกอดไปนั่งบนเตียงตนเองซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง

    เรียกให้ชานยอลต้องเดินตามคนรักตัวเล็กไปนั่งข้างๆ จากนั้นก็ยกมือน้อยมาจูบหนึ่งครั้งก่อนจะเอ่ยง้อเสียงอ่อน

    “ข้าก็แค่ทนไม่ไหวที่เจ้าน่ารักเท่านั้นเอง ไม่ชอบหรือ”
    ถามมาแบบที่แบคฮยอนอยากจะตีแขนนัก ชมเขาว่าน่ารักแล้วตัดพ้อว่าไม่ชอบหรือนี่มันพญามารโหมดเด็กน้อยนี่นา อย่างนี้น่าแกล้งเสียให้เข็ด

    “เจ้าคงทำอย่างนี้กับเทวดาหน้าตาน่ารักมาหลายตนแล้วสิท่า” เบะปากนิดนึง
    “กับเจ้าเท่านั้นที่รัก”
    “หึ คิดว่าจะเชื่อหรือ” เบะปากมากขึ้น
    “ไม่เชื่อจะให้พิสูจน์ก็ยังได้” สุดท้ายพญามารกล่าวแล้วทำท่าจะหอมแก้มน้องอีกครั้ง เทวดาแบคจึงยอมแพ้ ไหงตอนแรกจะแกล้งเขากลายเป็นโดนเขาแกล้งเสียได้
    มือน้อยผลักใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ให้ไปด้านข้าง มารโชคร้ายเลยได้จุ๊บเตียงแทน แต่พอจะดันตัวขึ้นก็พบว่าแบคฮยอนมาทับตัวเขาไว้ จากนั้นก็จูบปากเขาเบาๆ หนึ่งทีก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงน่ารัก

    “ถ้ากล้าไปทำแบบนี้กับเทวดาหรือมารน่ารักตนไหนล่ะก็น่าดู” พูดจบก็จูบปากชานยอลเร็วๆ อีกสองทีก่อนจะผละไปนอนข้างๆ พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม

    ชานยอลไม่คิดแกล้งคนรักแล้วจึงนอนนิ่งๆ บนเตียงข้างแบคฮยอนอย่างว่าง่าย เทวดาที่เพิ่งเขินจนหูแดงจึงนิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยคำถามอีกครั้ง

    “เจ้าว่า อาการของข้าจะ...หนักหรือเปล่า” แบคฮยอนถามอย่างไม่แน่ใจ เขาเองก็รู้สึกแปลกๆ ว่ายาของจงอินไม่น่าทำให้เขาเป็นแบบนี้ นับวันมันชักจะหนักข้อขึ้น ตัวเขาเองก็รู้สึกแปลกด้วยเหมือนพลังสว่างมันเต็มไปหมด ใช้ทีก็ลำบาก
    “อืม ข้าว่าหนัก” เสียงชานยอลตอบมาค่อนข้างลำบากใจเล็กน้อย “หมายถึงตัวเจ้าหนักมากเลย ทับข้าเมื่อกี้แทบกระอักเลือด”
    “เจ้า!” มุกของชานยอลเล่นเอาแบคฮยอนอยากทุบอีกฝ่าย จึงยันตัวหมายจะยกมือมาทุบอกมารซะ
    “โอ๋ๆ ไม่โกรธนะที่รัก ข้าพูดเล่น” ชานยอลเห็นใบหน้าถมึงทึงของแบคฮยอนก็ไม่แกล้งต่อ แต่มือใหญ่กลับรวมมือเล็กไว้จากนั้นดึงเอาเทวดาตัวเล็กมานอนแนบอก ใกล้กันจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นประสานกัน
    ทำเอาแบคฮยอนได้แต่หน้าแดงนอนซบอีกฝ่ายแบบไม่ขัดขืน
    “ข้าว่าเจ้าอย่าเพิ่งกังวลว่ามันจะหนักหนาหรือไม่ดีกว่านะ” หลังจากเห็นคนรักเงียบไปชานยอลก็กล่าวขึ้น
    “แต่ข้า...” แบคฮยอนกำลังจะท้วงแต่ก็โดนขัดไปก่อน เขากลัวจะทำร้ายมารตนอื่นนี่นา โดยเฉพาะมารตนนี้...ชานยอลของเขา
    “ไม่เป็นไรแบคฮยอน” ชานยอลเอ่ยตอบราวกับรู้ใจคนรัก “ข้าเก่งพอที่จะไม่ถูกทำร้ายด้วยมือเจ้า หากอาการเจ้าหนักหนาสาหัส ข้าก็จะพาเจ้าไปรักษาด้วยตนเอง ข้าขอสัญญา”

    ชานยอลกล่าวทุกคำออกมาตามที่คิด หากเขามองลงมายังสีหน้าของแบคฮยอนก็จะรู้ว่าเทวดาที่รักนั้นซึ้งใจไม่น้อย แบคฮยอนค่อนข้างคิดมากเรื่องพลังนี้ เขาเองเป็นเทวดาพลังน้อยมาตั้งนานพอมามีพลังเยอะก็เยอะเกินจนควบคุมไม่อยู่ กลัวมากว่าจะเผลอทำร้ายใครเหมือนตอนยิงลำแสงใส่ชานยอลตอนนั้น แต่คำสัญญาของชานยอลกลับทำให้จิตใจสงบและมั่นใจในบางอย่างได้

    อย่างน้อยตอนนี้แบคฮยอนก็มีชานยอลไว้ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ไม่ใช่เทวดาหัวเดียวกระเทียมลีบเหมือนเมื่อก่อน คนรักของเขาเป็นถึงพญามารผู้ยิ่งใหญ่ ต้องแก้ปัญหานี้ได้แน่ๆ


    ****lucky one and monster****


    “เดี๋ยวนะ เจ้าว่าเขากำเนิดจากที่ไหนนะ” เซฮุนเอ่ย
    “จากความว่างเปล่า ในสวนแห่งอีเดนนี่” ซูโฮก็ตอบตรงๆ จนคนฟังรู้สึกมีน้ำโห
    “แต่มารและเทวดาต่างก็กำเนิดจากภพก่อนแล้วปรากฏตัวที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยการอำนวยพรของพระเจ้า!” เซฮุนกระแทกเสียง เขาหวังจะได้รับคำตอบที่ดี ไม่ใช่คำตอบกวนตีนแบบนี้
    “ข้าบอกแล้วว่าบางเรื่องเจ้าเองก็ไม่ควรรู้” ซูโฮตัดบทอีกฝ่ายแล้วทำท่าจะเดินหนีไป
    เซฮุนจึงจับข้อมือของราชาแห่งเทพไว้ จากนั้นก็บีบจนแน่นก่อนจะพูดอีกครั้งช้าๆ ชัดๆ “ข้าขอถามว่าตกลงแบคฮยอนเป็นใครกันแน่”
    “ก็เป็นหลานของข้าไง” ราชาแห่งเทพทำหน้าเหยเกหนึ่งรอบแล้วรวมพลังสว่างเป็นน้ำก้อนใหญ่ จากนั้นก็ฟาดใส่เซฮุนจนเขาต้องกระโดดหลบพร้อมปล่อยมือเทวดาออกจากการเกาะกุม โชคดีที่เขาไม่ได้ถูกน้ำนั่นพัดใส่ เพราะเหมือนจะฤทธิ์มากไม่น้อยเชียว น้ำนั่นทำให้หนังสือในห้องสมุดเป็นรูไปหลายเล่ม แต่เพียงชั่วครู่มีพลังสว่างจำนวนหนึ่งแทรกลงไปกลางรูนั่น ทุกอย่างก็พลันกลับเป็นเช่นเดิม

    เซฮุนใช้เวทหายตัวมาหาซูโฮโดยใช้สายใยเวทที่อีกฝ่ายทิ้งไว้ให้เมื่อคราวก่อน เขาจึงมาหาราชาแห่งเทพได้ถึงในห้องสมุดของวังอีเดนนี้ไม่ยากนัก แต่ยากสุดคือเมื่อเขารายงานปัญหาของแบคฮยอนให้เทวดาสูงอายุฟัง อีกฝ่ายกลับเดินไปมาหาหนังสือที่ต้องการไม่หยุด สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้มารมือขวายิ่งนัก

    “อันนี้ไม่ใช่...อันนี้ก็ไม่มีหรือ?” ซูโฮเมื่อจัดการกับเซฮุนไปหนึ่งรอบก็เดินหาหนังสือต่อแล้วพึมพำกับตนเองราวกับมารหนุ่มไม่ได้อยู่ตรงนี้ ครานี้เห็นท่าว่ามารอายุน้อยกว่าจะอดทนไม่ไหวเสียแล้ว

    “นี่เจ้า! ไม่ได้เป็นห่วงแบคฮยอนเลยหรือ!?” มารตวาดเสียงดังจนหนังสือบนชั้นสูงสุดหล่นลงมาสองสามเล่มเลยทีเดียว

    และนั่นก็ทำให้ราชาแห่งเทพวางมือจากหนังสือ จากนั้นก็หันหน้ามาเอ่ยกับเขา

    “เจ้าคิดว่าใครกันที่เลี้ยงแบคฮยอนจนเติบใหญ่มาได้กว่าร้อยปีนี้ ไม่ใช่ข้าอย่างนั้นหรือ” เสียงเย็นชาทำเอาเซฮุนชะงัก เขาคงโมโหมากไปจนลืมไปว่าซูโฮก็คงจะห่วงแบคฮยอนไม่น้อย ยิ่งฟังดู น้ำเสียงนั่นเหมือนจะกรีดลึกในหัวเขาเลย
    “แต่เจ้า..” มารหนุ่มตั้งสติ เขาไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นเสียหน่อย แต่พอกำลังจะแย้งก็โดนแย่งพูด
    “เจ้าคิดว่าข้าไม่ห่วงแบคฮยอนสินะ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่” ซูโฮเอ่ยออกมาพาให้เซฮุนคิด ก็เห็นๆ อยู่ว่าซูโฮไม่ยอมตอบคำถามของเขา แล้วก็เอาแต่ค้นหาอะไรไม่รู้ เหมือนจะเป็นบันทึกเก่าๆ ของสวรรค์ไม่เกี่ยวกับแบคฮยอนสักนิด
    “ก็เจ้า...” มารหนุ่มกำลังจะแย้งก็โดนขัดอีกครั้ง
    “ข้ากำลังค้นเรื่องแบคฮยอน เซฮุน ข้ายังตอบเจ้าไม่ได้ แต่จะดีมากถ้าเจ้านั่งนิ่งๆ จะได้ไม่กวนข้า” ซูโฮยกหนังสือบันทึกเก่าแก่ของสวรรค์ขึ้นมาไล่อ่านอีกครั้ง เขาไม่รอคำตอบเซฮุนเพราะเรื่องที่อยากจะพูดก็พูดไปหมดแล้ว เช่นกันเซฮุนเมื่อได้ฟังเทวดาชี้แจงด้วยน้ำเสียงเย็นชาก็ไม่กล้าปฏิเสธ จึงนั่งลงพลางยกหนังสือเกี่ยวกับการผนึกและปลดผนึกขึ้นมาเล่มหนึ่งเพื่ออ่านฆ่าเวลา

    ราชาแห่งเทพเห็นมารมือขวานั่งอย่างว่าง่ายก็ยิ้มหนึ่งครั้ง ก่อนจะค้นหาสิ่งที่ตนเองต้องการต่อไป

    เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ รู้แต่ว่ามารมือขวาอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเพิ่มพลังเวท การเพิ่มของปีก หรืออะไรที่คล้ายจะเกี่ยวกับแบคฮยอนไปหมดแล้วหลายเล่ม แต่ไม่มีเล่มใดเลยที่จะพูดถึงว่าเทวดาตนหนึ่งสามารถมีปีกและพลังเพิ่มมากว่าหลายแสนล้านหน่วยขึ้นมาในวันเดียว ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ซูโฮก็เดินไปมาค้นหาบันทึกที่ต้องการไม่หยุด เซฮุนจึงคิดว่ามันน่าจะถึงเวลาแล้ว

    เวลาหิวไง ท้องเขามันร้องจ๊อกๆ มาสักพักแล้วเนี่ย ราชาแห่งเทพนี่อิ่มทิพย์รึไงนะ ถึงได้ไม่หิว

    ว่าแล้วมารมือขวาก็เดินดุ่มๆ เข้าไปหาราชาเทพแบบไม่เกรงใจ มือใหญ่กว่าได้เปรียบตอนยกมาปัดบันทึกของอีกฝ่ายลงบนโต๊ะ จากนั้นก็รวบทั้งสองมือเทพเพื่อจะลากออกจากห้องไปด้วยความหิวนี้

    “นี่เจ้า!” ซูโฮพยายามขัดขืนแล้วรวบรวมพลังสว่างอย่างรวดเร็ว แต่ก็ช้าไปเพราะเซฮุนใช้พลังมืดแปลงเป็นลมพัดโหมให้ขัดขวางการรวมพลังเตรียมไว้แล้ว
    “ไปกินข้าวกันเถอะ” มารหนุ่มพูดสั้นๆ ได้ใจความ และนั่นทำให้ราชาเทพชะงัก
    “ว่าอย่างไรนะ”
    “ไปกินข้าวกัน เจ้าไม่หิวหรืออย่างไร หาบันทึกอะไรนั่นมาตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าหิว” เซฮุนพูดยาวๆ หนึ่งรอบพลางมองไปยังราชาเทพตัวเล็ก นี่เทวดาทำไมตัวเล็กไปหมดเนี่ย
    “แต่ข้าไม่หิว” ซูโฮขัดขืนแล้วสะบัดมือออกจากมารแต่สักพักก็ได้ยินเสียงๆ หนึ่ง

    จ๊อก...

    “ปากเจ้าไม่หิวแต่เหมือนท้องเจ้าจะหิวนะ” มารหนุ่มจากทำสีหน้าจริงจังก็กลั้นขำจนตัวงอ ใครได้มาเห็นราชาเทพผู้สง่างามกำลังหิวจนท้องร้องอย่างเขาก็คงต้องขำจนลงไปกลิ้งกันหมด นี่เขากำลังให้เกียรติด้วยการกลั้นขำนะเนี่ย

    ในขณะที่เซฮุนกลั้นขำ ซูโฮก็หน้าม้านไปหนึ่งแถบ อันว่าราชาแห่งเทพไม่ได้อิ่มทิพย์และตัวเขาเองก็ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดังนั้นพอเห็นว่าข้างนอกมืดสนิทก็คิดได้ว่าร่างกายคงต้องการเหมือนกัน จึงได้แต่ก้มหน้าที่แดงเป็นปื้นแล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเราไปที่ห้องอาหารกัน” ก่อนจะเดินนำแบบเร่งรีบสุดๆ


    (ห้องอาหารวังอีเดน)

    เซฮุนนั้นเป็นถึงมารมือขวา การจะกินของอร่อยก็ง่ายมาก แค่เขาสั่งไม่กี่คำห้องอาหารของวังลูซิเฟอร์ก็กุลีกุจอทำให้แล้ว ไม่นับว่าเขามีเงินเดือนเยอะมาก จะไปกินอาหารหรูๆ จากร้านอาหารทั้งในสวรรค์ โลกหรือนรกก็ได้ทั้งนั้น

    แต่วันนี้อาหารจากห้องอาหารวังอีเดนเหมือนจะอร่อยเป็นพิเศษหรือเปล่า?

    ร่างสูงของมารจ้องมองร่างเล็กของเทวดาอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาก็พอจะรู้ว่าชานยอลเป็นพญามารที่ไม่ได้รักษาภาพพจน์สง่างามตลอดเวลา แต่ราชาแห่งเทพตรงหน้านี่เรียกว่าไม่เหลือมาดด้วยซ้ำ

    ซูโฮพอมาถึงห้องอาหารก็สั่งอาหารกับแม่ครัวกว่ายี่สิบรายการ ทั้งเรียกน้ำย่อยจานหลักจานรองลามไปถึงของหวานและเครื่องดื่มล้างท้องอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ราชาเทพร่างเล็กแต่ปากไม่เล็กก็จัดการอาหารอย่างรวดเร็วเสียจนมารต้องอ้าปากค้างไม่รู้กี่รอบ พอมองๆ ไปเห็นเหมือนเด็กน้อยตัวเล็กกำลังกินข้าวเพราะหิว มารหนุ่มก็หัวเราะแล้วเริ่มเจริญอาหารตามไม่ยากนัก

    มิน่าล่ะ แบคฮยอนที่ถูกเลี้ยงจากซูโฮถึงได้ดูนุ่มนิ่มอ้วนท้วนน่ารัก แถมตอนกินก็น่ารักแบบนั้น เพราะท่านตาที่เลี้ยงมาก็กินได้น่ารักไม่แพ้กันเลย

    จวบจนอาหารจานสุดท้ายหมดซึ่งเป็นของหวานและเครื่องดื่มล้างท้อง ซูโฮก็กินได้เรียบร้อยจนแทบไม่เหลือติดจานเลยสักนิด เรียกว่าเซฮุนอึ้งไปไม่รู้กี่รอบ ราชาเทพนี่มีกี่กระเพาะกันทำไมกินได้เยอะขนาดนี้ เขาเองเป็นมารวัยฉกรรจ์ยังกินได้ไม่ถึงครึ่งเลย

    “เอิ๊ก อิ่ม” ท่าทางกำลังนอนเอนบนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์โดยมีพุงป่องยื่นออกมาทำให้เซฮุนกลั้นขำอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแบคฮยอนได้ท่าทางนี้มาจากท่านตาของตัวเองด้วยเป็นแน่ มารหนุ่มรู้สึกว่าตนทั้งอิ่มและต้องกลั้นขำจึงวางช้อนส้อมจากนั้นก็เท้าคางมองราชาเทพตัวน้อยผู้กำลังจะหลับตาปรือโดยไม่สนเขาสักนิด

    นั่งมองราชาเทพนอนเอนหลังไปสักพักก็พบว่าซูโฮหลับไปเสียอย่างนั้น เซฮุนหันซ้ายหันขวาเทวดารับใช้ก็ไม่พูดอะไร เขาจึงได้แต่ประคองศีรษะอีกฝ่ายที่กำลังพับลงกับอกช้าๆ จากนั้นเหมือนเทวดารับใช้จะรู้ว่าควรทำบางอย่าง จึงได้ผายมือให้เขาไปด้านข้างพลางเอ่ยเบาๆ “ห้องนอนท่านราชาเทพอยู่ทางนี้ขอรับ”

    มารมือขวาจึงได้แต่อุ้มราชาเทพขึ้นแนบอก หนักไม่ใช่เล่นนะเนี่ย เซฮุนคิดในใจพลางกลั้นขำอีกครั้ง ซูโฮพอเขายกขึ้นมาอุ้มก็เอื้อมมือมากอดเสียอย่างนั้น ความโมโหเมื่อครั้งตอนมาถึงที่นี่หายไปหมด จากตอนแรกคิดว่าซูโฮไม่ห่วงแบคฮยอนสักนิดเนื่องจากตอนนั้นราชาเทพยอมยกเทวดาตัวน้อยให้กับพญามารโดยง่ายแถมตอนนี้แบคฮยอนก็กลายเป็นคนของนรกเต็มตัวแล้ว แต่เซฮุนก็คิดใหม่

    เพราะดูจากอาการกินข้าวเป็นถังหลับเป็นตายของราชาเทพตอนนี้ ก็คงเดาได้อย่างเดียวว่าเทวดาตัวเล็กไม่ได้กินอะไรและไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดูท่าจะเป็นห่วงแบคฮยอนมากกว่าเขาเสียอีก

    เซฮุนก็ได้แต่คิดว่าเขาจะอยู่ช่วยซูโฮค้นข้อมูลของแบคฮยอนที่นี่ก่อน อย่างน้อยราชาเทพกับเขาก็มีปณิธานเดียวกันนั่นคืออยากให้แบคฮยอนอยู่ในนรกได้อย่างไร้กังวลนั่นเอง







    talk
    พี่ก็สงสัยเนี่ย ทำไมเทวดาต้องตัวเล็กกันไปหมด ถ้าไม่นับอี้ชิงที่เป็นท่านแม่ซึ่งตัวเกือบใหญ่ ที่เหลือก็ตัวเล็กตะมิตะเมาะน่ารักซะงั้น

    #luckyonecb
    @noeybaekbd


    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 17 รักนี้ต้องผนึก

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:54 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 17
    รักนี้ต้องผนึก






    ผ่านไปหลายวันเซฮุนก็ยิ่งเครียด จากที่แต่เดิมอารมณ์ดีเพราะซูโฮมักจะทำท่าทางน่ารักไม่สมกับราชาเทพให้เห็น หรือพลังในการกินซึ่งเหมือนว่าจะเยอะเป็นปกติแล้ว ตอนนี้เขาเครียดเพราะจมอยู่กับหนังสือในห้องสมุดของวังอีเดนมานานก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที

    แต่จู่ๆ ก็มีใครส่งเวทสื่อสารมาหาเขา เซฮุนจึงตอบรับเวทเสียก่อน

    “นี่จงอินนะ” ปลายทางส่งข้อความมาทัก
    “ว่าไง” เซฮุนก็ทักตอบ
    “ข้าค้นพบแล้วว่าเวทที่ใช้ประกอบเป็นน้ำยาเวทตัวนั้นมีสามสิบสองบท หากเจ้าสะดวก ข้าจะส่งรายละเอียดให้” มารมือซ้ายพูดทีเดียวจบจากนั้นก็รอให้มารมือขวาตอบรับ
    “ได้” เซฮุนจึงพูดตอบสั้นตามนิสัย จากนั้นการสื่อสารก็ตัดไป แล้วปรากฏเอกสารหนึ่งปึกขึ้นมาในมือเซฮุนทันที นี่ก็เป็นเวทเฉพาะตัวของจงอินเหมือนกัน เจ้านั่นนอกจากจะสามารถวาร์ปไปสถานที่ต่างๆ ได้ดั่งใจแล้วก็ยังสามารถส่งของที่ไม่ใหญ่เกินไปให้ถึงมือผู้รับอีกด้วย จะเรียกความสามารถไปรษณีย์ระดับนาโนก็ว่าได้

    พอได้เอกสารมาเซฮุนก็ไม่รอช้า รีบส่งมันให้ราชาแห่งเทพซูโฮทันที

    “นี่อะไร?” ซูโฮเลิกคิ้วพลางมองเอกสารหนาหนักในมือมาร จากนั้นก็รอคำตอบ
    “รายละเอียดเวทส่วนประกอบน้ำยาเวทที่ให้แบคฮยอนกินเมื่อไม่กี่วันก่อน” เซฮุนพูดพลางมองหน้าอีกฝ่าย “เจ้าจำได้ไหม หลังจากนั้นแบคฮยอนก็หลับไปกว่าสิบสองชั่วโมงพร้อมตื่นมากับพลังมากกว่าเดิมทันที”

    ซูโฮเมื่อได้ฟังจึงจำได้
    มือทั้งสองพลิกดูอย่างรายละเอียดของน้ำยาเวทอย่างรวดเร็ว จวบจนใกล้จะหมดทั้งเอกสารแล้ว ซูโฮจึงเจอสิ่งที่คิด

    ในน้ำยาเวทมีส่วนของเวทปลดผนึกอยู่จริงๆ ด้วย!

    ต้องอธิบายก่อนว่าซูโฮเลี้ยงดูแบคฮยอนมาตั้งแต่เกิด เขาจึงได้เห็นว่าแบคฮยอนมีปีกแปดคู่และมีพลังอยู่หลายล้านหน่วยตั้งแต่กำเนิดแล้ว ด้วยความพิเศษคือแบคฮยอนเกิดจากความว่างเปล่าดังที่บอก ดังนั้นจึงกำเนิดในรูปของทารกต่างจากเทวดาทั่วไปซึ่งกำเนิดจากรูปลักษณ์ของวัยรุ่นแล้ว ซูโฮจึงรับรู้ความเป็นไปของแบคฮยอนมาตลอดจนกระทั่งแบคฮยอนอายุเจ็ดปีและเจอเซฮุนเข้า

    วันนั้นเป็นวันคัดเลือกลัคกี้วันลำดับแปดร้อยเก้าสิบเก้าพอดีและเซฮุนกับแบคฮยอนเจอกันโดยบังเอิญ ทั้งวันแบคฮยอนไปกับเซฮุนโดยไม่ผิดสังเกตแต่พอกลับมากลายเป็นไข้ขึ้นกะทันหัน ตอนนั้นเซฮุนก็ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เพราะมาเห็นตอนซูโฮกำลังรักษาอาการให้แบคฮยอนพอดี ซูโฮจึงขอร้องให้เซฮุนดูแลแบคฮยอนอย่างลับๆ ตลอดมา

    และสิ่งที่ซูโฮใช้รักษาแบคฮยอนในตอนนั้นได้ผลก็คือเวทปิดผนึกนั่นเอง!

    ตอนเจ็ดขวบนั้นเหมือนเป็นช่วงที่พลังของแบคฮยอนตื่นขึ้น ร่างเล็กจึงไม่สบายเพราะร่างกายรับพลังไม่ไหว ซูโฮจึงรีบหาเทวดาอาวุโสที่ไว้ใจได้แล้วเล่าอาการให้ฟัง เทวดาตนนั้นจึงใช้พลังเวทของตนเองและยืมพลังราชาแห่งเทพบางส่วนช่วยปิดผนึกพลังของแบคฮยอนไว้

    จากเด็กน้อยเทวดาที่มีปีกแปดคู่รวมถึงพลังหลายแสนล้านหน่วยแต่แรก แบคฮยอนจึงกลายเป็นเทวดาที่มีเพียงปีกสามคู่และพลังสว่างสองพันล้านหน่วย ความทรงจำในช่วงเด็กก็หายไปบางส่วนด้วย และเนื่องจากซูโฮไม่อยากให้เด็กน้อยรับรู้ถึงพลังของตนเองอีก จึงพยายามเลี่ยงไม่ให้แบคฮยอนใช้พลังมากเกินไป กลายเป็นมัคคุเทศก์สวรรค์ฝึกหัดตั้งแต่ตอนนั้น

    ซูโฮพอรู้ว่าในน้ำยาเวทที่แบคฮยอนกินเข้าไปมีเวทปลดผนึกจึงเล่าเรื่องการผนึกพลังของแบคฮยอนไว้ให้กับเซฮุนทันที

    และแน่นอนว่ามารหนุ่มทำสีหน้าอึ้งไปเลยเมื่อได้ยินเรื่องราวซับซ้อนเช่นนี้

    “หมายความว่าแบคฮยอนถูกเจ้าผนึกพลังไว้ พอได้รับน้ำยาเวทที่มีพลังปลดผนึกเข้าไป จึงทำให้พลังที่ผนึกไว้ออกมาอย่างนั้นหรือ” เซฮุนกล่าวทวนพลางทำสีหน้าเครียด
    “ใช่ และข้าก็ไม่แน่ใจด้วยว่าพลังตอนนี้ของแบคฮยอนจะเป็นกี่หน่วย เพราะตอนที่ข้าผนึกพลังของเขา” ซูโฮกล่าวพลางหันหน้ามามองเซฮุน “เจ้าก็น่าจะจำได้ แม้จะเป็นเด็กเจ็ดขวบเขามีปีกแปดคู่แล้วตอนนั้น พลังก็น่าจะสี่แสนล้านหน่วยอย่างน้อยแล้ว ถ้าตอนนี้อายุร้อยกว่าปีก็น่าจะมีมากกว่านั้น...” ร่างเล็กของเทวดากล่าวพลางครุ่นคิด

    “หมายความแบคฮยอนอาจจะมีพลังมากกว่าหนึ่งล้านล้านหน่วยอย่างนั้นหรือ” เซฮุนถามลองเชิงหนึ่งรอบ
    “อาจจะมากกว่านั้น...” แต่คำตอบของซูโฮทำให้เขาอึ้งไปเลย

    เซฮุนรู้สึกเครียดหนักกว่าเก่า หากแบคฮยอนมีพลังมากขนาดนั้นแล้วไม่มีการผนึกไว้ล่ะก็ น่ากลัวว่าร่างของเด็กนั่นอาจจะสลายได้ง่ายๆ ก็เป็นได้

    “มีวิธีแก้หรือเปล่า” มารหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ จึงหันไปถามราชาเทพ
    “น่าจะใช้การผนึกพลังอีกครั้ง” ซูโฮกล่าวพลางเดินไปหาหนังสือในทิศทางด้านหลังเซฮุน แต่เพราะหนังสือบนพื้นเกะกะมากไป ระหว่างเดินผ่านมารหนุ่มก็เกิดสะดุดจนจะล้มเสียได้
    “อ๊ะ” ราชาเทพสบถเสียงเบาก่อนทั้งร่างจะถูกรวบไว้ในอ้อมกอดของมารมือขวา

    ตาสบตาชั่วครู่ ทั้งสองก็หน้าแดงเสียอย่างนั้น

    เซฮุนรีบปล่อยซูโฮให้ยืนจนมั่นคงแล้วตนเองก็ทำเป็นเดินไปหาหนังสืออีกฝั่ง ซึ่งเทวดาก็ทำอย่างนั้นเช่นกัน รีบเดินไปหาหนังสือเกี่ยวกับการผนึกพลังด้านหลังชั้นที่มารหนุ่มยืนเมื่อครู่จากนั้นความเงียบก็ก่อตัวขึ้นช้าๆ

    ราชาเทพใจเต้นตึกตักอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขาอายุหลายพันปีแล้ว ถ้าจะเรียกเซฮุนว่าหลานก็ยังได้ แต่ทำไมหัวใจไม่ฟังเลย กลับเต้นไม่เป็นจังหวะยามสองตาประสานหากันเมื่อครู่ แววตาอันทรงเสน่ห์รับกับคิ้วได้รูปและปากเป็นกระจับของเซฮุนเหมือนกำลังประทับลงในจิตใจเทวดาจนแทบไม่มีสมาธิหาหนังสือเล่มที่ต้องการเลยด้วยซ้ำ

    ร่างเล็กจึงสะบัดศีรษะหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาหาหนังสือต่อ ซึ่งก็ไม่นานหลังจากนั้น ตำราว่าด้วยการผนึกพลังก็อยู่ในมือของซูโฮ

    ราชาเทพเอาตำราดังกล่าววางบนโต๊ะหนังสือ จากนั้นก็หาหัวข้อที่ต้องการทันที จะผนึกพลังสว่างหลายล้านหน่วยไม่ใช่เรื่องง่าย เขาคงต้องทำงานหนักเสียแล้วคืนนี้

    ซูโฮคิดพลางเหลือบมองเซฮุนที่นั่งลงข้างๆ มารมือขวาเรียกเทวดารับใช้ให้เอาขนมมาวางบนโต๊ะราวกับอีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาต้องค้นคว้าเวทผนึกพลังอีกนาน ทำเอาเทวดาประหลาดใจไม่น้อย

    “รีบค้นคว้าเถอะ คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อน” มารมือขวากล่าวพลางนั่งจ้องตาทำเอาใจราชาเทพกระตุกไปหนึ่งครั้ง

    เซฮุนจะรู้ไหมว่าการทำแบบนี้เหมือนจะไม่ช่วยให้ซูโฮทำงานง่ายขึ้นเลย เพราะหัวใจเขามันดันเต้นเร็วกว่าปกติไปหนึ่งจังหวะตอนโดนจ้องเมื่อครู่ แต่จะให้บอกมารมือขวาเขาก็คงไม่กล้า เป็นถึงเทวดาอายุมากกว่ายังหวั่นไหวไปกับมารรูปหล่ออีก

    แบคฮยอน... เจ้าก็ช่วยเอาใจให้ข้ารีบเข้าใจบทผนึกพลังเร็วๆ เถอะ ตาของเจ้าจะได้ไม่หวั่นไหวไปกับมารขนาดนี้!


    ****lucky one and monster****


    “ฮัดชิ้ว!”
    แบคฮยอนจามหนึ่งครั้งจากนั้นน้ำมูกก็ไหลย้อยตาม เดือดร้อนให้อี้ชิงต้องเอากระดาษทิชชู่มาช่วยเช็ดให้
    “ไหวไหมแบคฮยอน” ท่านแม่กล่าวด้วยสีหน้าคิดหนัก ซึ่งแบคฮยอนก็ได้แค่ส่ายหน้าตอบ

    หลังจากเช็ดน้ำมูกให้เทวดาตัวน้อย ก็เอาผ้าที่โปะบนหน้าผากเล็กไปชุบน้ำเย็นมาใหม่จากนั้นก็เอาที่วัดไข้ออกจากปากน้อยมาดู
    “ไข้ไม่ลดเลย จะทำอย่างไรดี” อี้ชิงบ่นพลางสะบัดที่วัดไข้หนึ่งทีแล้วส่งให้มารรับใช้ จากนั้นก็นั่งลงข้างเตียงเทวดาป่วยแล้วจับมือสวยของแบคฮยอนไว้พลางถามอีกครั้ง “เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างตอนนี้”
    ซึ่งแบคฮยอนก็ตาปรือแล้วตอบเสียงอ่อนมา “ร้อนมากขอรับท่านแม่” จากนั้นก็เหมือนจะหลับไปอีกครั้งหนึ่ง

    คำตอบจากเทวดาป่วยหนักทำเอาเทวดาสามสาวนั่งไม่ติด เริ่มจากซาร่าลุกขึ้นเดินวนรอบห้องหนึ่งรอบ จากนั้นนาอึนก็ลุกตาม แล้วสุดท้ายจองฮวาก็เดินไปมาด้วย ส่งผลให้อี้ชิงเหมือนจะเวียนหัวตามไปอีก

    “พวกเจ้านั่งก่อนได้ไหม เดี๋ยวชานยอลกลับมา ก็น่าจะรักษาแบคฮยอนได้นั่นแหละ” สุดท้ายอี้ชิงจึงทนไม่ไหวลากสามสาวมานั่งลงแล้วคิดทบทวนบางอย่างกับตนเองอีกครั้งหนึ่ง

    นับจากวันที่แบคฮยอนได้รับน้ำยาเวทตัวปัญหานั่นตอนนี้ก็ผ่านมากว่าสามสัปดาห์แล้ว ดูเหมือนว่าช่วงแรกๆ ผลกระทบจะไม่มากนัก แบคฮยอนจึงแค่มีพลังเพิ่มขึ้น มีปีกมากขึ้นและควบคุมพลังไม่ค่อยได้ แต่เห็นว่าหลังจากแบคฮยอนเผาเป้าที่ใช้ในการฝึกควบคุมและสนามฝึกไปกว่าครึ่ง อาการก็เริ่มแย่ลง

    ชานยอลเข้ามาเฝ้าแบคฮยอนและนอนด้วยกันตั้งแต่นั้น พญามารบอกอี้ชิงว่าทุกคืนแบคฮยอนจะมีอาการเหมือนเพ้อและปล่อยพลังมั่วซั่วตลอด ชานยอลไม่อยากให้คนรักคิดมากจึงได้แต่กางบาร์เรียป้องกันไว้รอบด้านจึงไม่เป็นไร แต่ภายหลังจากนั้นอีกไม่กี่วันปรากฏว่ารอยพับปีกบนหลังแบคฮยอนปรากฏเป็นแปดคู่แล้วเทวดาตัวน้อยก็หมดสติ เมื่อฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นไข้ไม่ยอมหาย

    เดือดร้อนพญามารเมื่อคนรักป่วยหนักจึงไปเรียกตัวหมอมาทั้งภพภูมินรก หากไม่ติดว่าเดินทางลำบากอาจจะพามาทั้งหมอจากบนโลกและสวรรค์ด้วยซ้ำ เพื่อมารักษาอาการไข้ของแบคฮยอนให้หาย

    แต่กลายเป็นว่าหมอที่ไหนก็ส่ายหน้ากับอาการนี้ เพราะไม่ว่าตรวจอย่างไรหรือให้ยาขนานไหน แบคฮยอนก็มีอาการไข้ไม่ลด ได้แค่ประคองอาการด้วยการเช็ดตัวสลับกับห่มผ้าให้เหงื่อออกเท่านั้น

    โชคยังดีที่เซฮุนซึ่งไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญติดต่อมาเสียก่อนว่าพบวิธีจะช่วยแบคฮยอนแล้ว ตอนนี้ชานยอลจึงรีบไปหาเซฮุนเพื่อปรึกษาจากนั้นก็จะได้พาผู้เชี่ยวชาญนั้นมาช่วยแบคฮยอนได้

    อี้ชิงมองเทวดาน้อยแล้วก็ได้แต่สงสาร แบคฮยอนนั้นมีพลังน้อยมากตอนเจอกันครั้งแรก ผ่านไปไม่นานก็กลายเป็นเทวดาที่มีพลังมากกว่าเขาเสียอีก อายุก็ยังน้อยแค่ร้อยกว่าปี แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปรับเรื่องแบบนี้ไหว แค่ทนไม่ให้พลังจำนวนมากมาสลายร่างของตนและไม่ทำร้ายผู้อื่นก็แทบจะทำให้แบคฮยอนหมดแรงแล้วกระมัง น่าสงสารจริงๆ

    “อือ ชานยอล...” อี้ชิงสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือแบคฮยอนบีบมือของเขาอย่างแรง เด็กน้อยของเขาละเมออีกแล้ว ทุกครั้งก็ละเมอเป็นชื่อชานยอลไม่เปลี่ยน ท่าจะรักเขาจริงแต่ตอนนี้จะไปบอกรักเขาก็แทบไม่มีสติเหลือแล้ว น่าสงสาร
    “อดทนไว้นะแบคฮยอน เดี๋ยวชานยอลก็กลับมาแล้ว” อี้ชิงเอาผ้าเย็นเช็ดรอบวงหน้าของเทวดาน้อยแล้วเอ่ยกระซิบ เขาเฝ้าไข้แบคฮยอนมาหลายวันแล้วก็ยังไม่เห็นอาการดีขึ้น เคยใช้เวทรักษาซึ่งเป็นเวทที่ตนเองภูมิใจนักหนาก็ไม่ช่วยเท่าไหร่ กลับทำให้แบคฮยอนทรุดไปอีก ท่านแม่เลยได้แต่เฝ้าไข้ลูกตัวน้อยอยู่อย่างนี้ คิดแล้วน้ำตาพาลจะไหลให้ได้

    “ท่านแม่” ซาร่าเมื่อเห็นอี้ชิงน้ำตาอาบแก้มอีกครั้งก็เข้ามาปลอบอย่างรู้งาน ตั้งแต่แบคฮยอนป่วย บรรยากาศวังลูซิเฟอร์ก็หงอยเหงาลงไปถนัดตา เสียงหัวเราะของแบคฮยอนเป็นสิ่งหนึ่งที่สร้างชีวิตชีวาให้กับวังแห่งนี้ ดังนั้นเมื่อเทวดาตัวเล็กป่วยจึงทำให้ที่นี่เศร้าซึมไปด้วยเสียอย่างนั้น

    นาอึนมาจับมืออี้ชิงอีกคนแล้วตามมาด้วยจองฮวาสาวงามน้องเล็ก แววตาสงสารแบคฮยอนจากใจจริงทำให้อี้ชิงหยุดร้องไห้ เขาเป็นท่านแม่ที่เคารพของเด็กๆ พวกนี้ จะทำเป็นอ่อนแอได้อย่างไร

    “ท่านแม่” จู่ๆ จองฮวาก็เอ่ยขึ้น “แบคฮยอนเป็นแบบนี้เพราะแผนของที่พวกเราคิดกันหรือเปล่าเจ้าคะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงเศร้า หมายถึงน้ำยาเวทนี้พวกเธอเป็นผู้ยื่นให้บริกรร้านอาหารผสมในเครื่องดื่มให้แบคฮยอนเอง
    “หากพวกเราไม่ให้น้ำยาเวทกับแบคฮยอน เด็กคนนี้ก็คงไม่...” นาอึนเอ่ยแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น อี้ชิงจึงรีบโอบกอดเทวดาสาวทั้งสามเอาไว้ จากนั้นก็เอ่ยปลอบ
    “พวกเจ้าคิดมากไปเอง น้ำยาเวทนั้นเดิมทีเราก็ตรวจสอบกันแล้วว่าไม่มีอันตรายใดๆ และฤทธิ์จะหายไปในสิบสองชั่วโมงเอง” ท่านแม่หันหน้าไปทางแบคฮยอนที่นอนอยู่ตรงเตียงนั้นแล้วกล่าวต่อ “แต่เพราะแบคฮยอนมีพลังมากเกินไปและถูกผนึกไว้โดยที่พวกเราไม่รู้ต่างหาก ถึงได้เกิดอาการแบบนี้ขึ้น เรื่องนี้ไม่มีใครผิด พวกเจ้าอย่าคิดมากอีกนะ”

    หลังจากได้ฟังอี้ชิงอธิบาย เทวดาสามสาวก็พยักหน้าอย่างรู้งานและไม่ร้องไห้อีก ลูกๆ ของเทวดาลัคกี้วันลำดับหนึ่งนั้นน่ารักและเชื่อฟังนัก รอแค่เจ้าตัวเล็กที่นอนป่วยฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ อี้ชิงก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว

    แต่เมื่อไหร่จะฟื้นกันเล่า ชานยอลก็ออกไปตั้งนานแล้ว ยังไม่กลับมาเสียที อี้ชิงคิดในใจไปร้อยแปดอย่าง เหมือนพระเจ้าจะได้ยินความกังวลเพราะจากนั้นไม่นานกลางห้องก็ปรากฏวงเวทขนาดใหญ่ขึ้น

    ใจกลางวงเวทมีเทวดาหนึ่งตนและมารอีกสองตน เมื่อไอเวทจางลงก็ปรากฏร่างของเซฮุนมารมือขวา ชานยอลพญามารและสุดท้ายที่อี้ชิงอึ้งไปคือ ซูโฮราชาแห่งเทพ

    ท่านแม่ของแบคฮยอนรีบลุกขึ้นจากนั้นก็ทำความเคารพผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ ซึ่งตามมาด้วยเทวดาสามสาวคำนับซูโฮด้วยเช่นกัน

    “ไม่ต้องมากพิธี” ซูโฮนั้นเมื่อมาถึงก็เห็นสภาพหลานรักนอนบนเตียงพาให้ใจอ่อนยวบ ปกติเมื่ออยู่บนสวรรค์เขามีอำนาจสูงสุด เทวดาตนใดก็ต้องเคารพและพูดด้วยวาจานอบน้อม แต่มาวันนี้เขารีบเร่งจะช่วยแบคฮยอนให้เร็วที่สุด จึงไม่ต้องการพิธีมากมายจากเทวดาพวกนั้นแล้ว

    “ท่านราชา...” อี้ชิงสงสัยยิ่งนักว่าราชาแห่งเทพเกี่ยวข้องอย่างไรกับแบคฮยอน ตัวเขานั้นแม้จะมาอาศัยอยู่ในนรกแห่งนี้มานานแต่ก็ติดต่อกับทางสวรรค์ไม่ได้ขาด เขาทราบว่าแบคฮยอนเป็นเพียงมัคคุเทศก์เล็กๆ ตนหนึ่งเท่านั้น เมื่อเห็นว่าราชาแห่งเทพถึงกับมาด้วยตนเองจึงสงสัยยิ่งนัก

    “ข้าคือท่านตาที่แบคฮยอนพูดถึง” ซูโฮกล่าวเพียงสั้นๆ จากนั้นก็เข้าไปดูอาการหลานรักอย่างไม่รอช้า เรียกสีหน้าตกใจให้กับเทวดาทั้งสี่ เริ่มจากอี้ชิงซึ่งมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขารู้ว่าแบคฮยอนชอบพูดถึงท่านตาที่ว่าบ่อยนัก แต่ก็ไม่ยักรู้ว่าท่านตามีศักดิ์เป็นถึงราชาแห่งเทพผู้นี้ คิดแล้วว่าชานยอลถึงกับกล้าพรากหลานรักของราชาแห่งเทพมาเป็นลัคกี้วันของตน อี้ชิงก็อยากจะเป็นลมทันที

    ราวกับคิดว่าจะเป็นลมก็แข้งขาอ่อนเสียอย่างนั้น อี้ชิงเหมือนจะล้มลงจึงได้สามสาวมาช่วยพยุงไว้ เดิมทีซาร่า นาอึน และจองฮวาก็อึ้งขนาดหนักเมื่อคิดว่าแบคฮยอนเป็นหลานของราชาแห่งเทพ มาตอนนี้หลังจากพยุงท่านแม่ที่จะเป็นลมไว้ พวกสามสาวต่างก็รู้สึกเหงื่อตกไปตามๆ กัน คิดว่าเมื่อก่อนแกล้งแบคฮยอนไว้ตั้งเท่าไหร่ เขกหัวเอย แกล้งให้ใช้กำลังมากๆ เอย โอย พวกนางจะถูกราชาเทพสั่งลงโทษไหมเนี่ย

    แม้ในใจเทวดาทั้งสี่ต่างก็กลายเป็นอึ้งจนแทบลืมเรื่องว่าแบคฮยอนป่วยหนักไป แต่ในใจเซฮุน ชานยอลและซูโฮกลับมีความคิดตรงกันนั่นคือต้องรีบรักษาแบคฮยอนให้เร็วที่สุดเข้าไว้

    มารมือขวาที่ไม่เห็นหน้าเด็กน้อยของตนเองมาหลายวันเข้าไปจับเนื้อจับตัวเทวดาไปทั่วจนเกือบโดนเพื่อนหมายหัวเสียแล้ว พอเข้าใจว่าแบคฮยอนแค่มีไข้และหลับไป เซฮุนก็ใจชื้นขึ้นทันที อย่างน้อยก็ไม่ใช่หมดสติไปเพราะพลังกำลังทำลายร่าง

    ส่วนชานยอลเมื่อกันเซฮุนออกไปก็จับเนื้อจับตัวโดยจงใจเอามือทาบทับรอยที่เซฮุนวางมือเมื่อครู่ด้วย เรียกอาการกลอกตามองบนจากมารมือขวาซึ่งหน่ายในความหวงคนรักของเพื่อนไม่น้อย หลังจากจับต้องคนรักไปเรียบร้อย เขาจึงเงยหน้าเอ่ยถามราชาเทพที่ลงมือวางจุดเวทไว้บนร่างแบคฮยอนไว้ตั้งแต่เมื่อครู่ตอนเข้ามาหาเทวดาตัวน้อยแล้ว

    “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ” ชานยอลพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ด้วยว่าตอนนี้เขาไม่ใช่เพียงแค่คุยกับท่านตาของคนรักแต่ยังคุยกับผู้ที่จะช่วยรักษาคนรักของเขา ดังนั้นจะเสียมารยาทไม่ได้เด็ดขาด
    “ยังไม่แย่เท่าไหร่” ซูโฮตอบแค่นั้นแล้วก็เหงื่อตกเล็กน้อย ดูเหมือนว่าการผนึกพลังของแบคฮยอนจะต้องใช้การวางเวทไว้มากกว่าที่คิด แถมยังต้องใช้พลังมากขึ้นด้วย
    “มีอะไรให้ช่วยไหมขอรับ” ชานยอลก็สังเกตเห็นท่าทางนั้นจึงได้เสนอตัวเข้าช่วย ขนาดว่าพลังของราชาแห่งเทพยังเหงื่อตก ก็เหลือเพียงแค่พลังของพญามารเท่านั้นที่ช่วยได้

    ก่อนจะมาที่ห้องแบคฮยอนนี้ ชานยอลได้ปรึกษาหารือกับซูโฮมารอบหนึ่งก่อนแล้ว ร่างสูงเมื่อรับรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของคนรักก็อึ้งไปเลย นอกจากเขาจะพรากหลานรักของซูโฮมาจากอกแล้ว ยังพราก ‘ว่าที่ราชาแห่งเทพ’ มาจากสวรรค์อย่างหน้าด้านๆ อีกด้วย ดังนั้นการผนึกพลังของแบคฮยอนจึงต้องใช้พลังมากเป็นพิเศษและชานยอลก็ตั้งใจไว้แล้ว ไม่ว่าต้องทำอย่างไรเขาก็จะช่วยให้แบคฮยอนใช้ชีวิตสุขสบายในนรกนี้ให้ได้

    “คงต้องรบกวนแล้ว” เมื่อเห็นว่างานหนักกว่าที่คิด ซูโฮจึงเอารายละเอียดวงเวทและพลังที่ต้องถ่ายเทส่งให้ชานยอลดู ก่อนจะทำเป็นตัวอย่างเพื่อให้ชานยอลทำตาม
    “ขอรับ” ซึ่งชานยอลก็รับไปพลางตั้งใจปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย

    ว่าด้วยพลังของราชาเทพและพญามารนั้นเป็นพลังที่แตกต่างกันนั่นคือพลังสว่างและพลังมืด หากแต่พลังนี้เป็นพลังที่ประทานจากพระเจ้าองค์เดียวกัน ดังนั้นหากมีการแปรเปลี่ยนพลังให้เป็นสายเดียวกัน อย่างเช่นว่าซูโฮแปรพลังสว่างให้เป็นสายน้ำครอบคลุมร่างแบคฮยอนไว้อย่างนี้แล้วนั้น ชานยอลซึ่งมีพลังมืดก็สามารถแปรพลังมืดให้เป็นสายน้ำได้เช่นเดียวกันอย่างไม่แตกต่าง

    สายน้ำไหลเวียนครอบร่างของแบคฮยอนไว้ในลักษณะคล้ายร่างแหโดยมีชานยอลและซูโฮเป็นผู้ส่งพลังให้ เมื่อวาดวงเวทครอบทั้งร่างไว้ได้ เทวดาตัวเล็กก็เริ่มลอยจากเตียงมายังกลางห้องช้าๆ
    ณ ที่ตรงนั้นซูโฮให้เซฮุนวาดวงเวทขนาดใหญ่รอไว้แล้ว เมื่อดึงร่างแบคฮยอนไปไว้กลางวงเวท ซูโฮก็เริ่มร่ายเวทผนึกพลังทันที

    เพราะเวทที่ใช้เป็นตำราเก่าแก่จึงมีคำพรรณนายาวหลายบท ความยากลำบากจึงตกลงที่ชานยอลซึ่งต้องปล่อยพลังมืดเป็นสายน้ำเรื่อยๆ ไม่ให้ขาด สำหรับซูโฮที่ใช้สายน้ำเป็นพลังหลักในการโจมตีอยู่แล้วนับว่าไม่ใช่งานยาก แต่สำหรับชานยอลที่ปกติใช้พลังมืดแปรเป็นพลังร้อนอย่างดาบไฟนั้นตอนนี้ค่อนข้างทรมานไม่น้อย

    “ชานยอล ให้ข้าช่วยเถอะ” อี้ชิงเห็นดังนั้นก็ส่งพลังสว่างแปรเป็นพลังน้ำส่วนหนึ่งให้ชานยอลซึ่งพญามารก็ดูดซับแล้วนำไปส่งต่อกับวงเวทด้วยความยินดี หลังจากเห็นว่าทำแบบนี้เข้าท่า สามสาวลัคกี้วันก็ทำด้วย ส่งผลให้ตอนนี้ชานยอลไม่ลำบากแล้ว มือใหญ่จึงหยุดสั่นและเพ่งสมาธิไปที่แบคฮยอนอย่างตั้งใจ

    จวบจนเวทบทสุดท้ายจบลงแสงสว่างเรืองรองของตาข่ายน้ำก็เหมือนจะซึมลงไปทุกพื้นผิวของแบคฮยอน จากนั้นเมื่อน้ำหยดสุดท้ายเหือดหาย ร่างของเทวดาตัวน้อยก็ทรุดลง ชานยอลพุ่งตัวเข้าไปรับไว้อ้อมกอดทันจนได้ เห็นว่าคนรักยังหายใจสม่ำเสมอและอาการตัวร้อนเป็นไข้เหมือนจะหายไป ตอนนี้ราวกับเหนื่อยจึงหลับไปเท่านั้น

    ชานยอลโล่งใจยกแบคฮยอนขึ้นกอดแนบอกจากนั้นก็พูดเบาๆ คล้ายกับจะประกาศความสำเร็จ “ไม่เป็นไรแล้ว ไข้หายแล้ว เขาหายแล้ว”
    สิ้นเสียงพญามารกล่าวออกไป เทวดาและมารทุกตนในห้องก็โห่ร้องดีใจ พวกเขาไม่ต้องทุกข์ใจเพราะเทวดาที่เป็นดังแสงสว่างของตำหนักล้มป่วยอีกแล้ว เป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ

    ชานยอลนั้นดีใจมากกว่าใครอยู่แล้ว หลังจากอุ้มแบคฮยอนไปวางไว้บนเตียงเรียบร้อยแล้ว ร่างสูงก็นั่งลงข้างเตียงเตรียมจะเฝ้าคนรักไว้ เรียกแววตาเอ็นดูในใจอี้ชิงและความรู้สึกดีจากซูโฮไม่น้อย

    ราชาแห่งเทพนั้นเป็นห่วงหลานของตนยิ่งนักตั้งแต่แบคฮยอนถูกเลือกมาเป็นลัคกี้วันที่นี่ แม้พฤติกรรมจะเหมือนกับไม่ใส่ใจแต่ก็ติดตามข่าวของเทวดาหลานรักมาตลอด วันนี้มาเห็นด้วยตาตนเองว่าชานยอลรักแบคฮยอนจริงก็พาให้หัวใจเป็นสุข คิดตกแล้วก็พยายามจะลุกขึ้นบ้าง แต่ก็กลายเป็นซวนเซจนจะล้มเสียอย่างนั้น

    “ระวังด้วยสิ” กลายเป็นว่ามารมือขวาเข้ามาชาร์จตัวเขาไว้อีกแล้ว นัยน์ตาทั้งสองของราชาแห่งเทพได้แต่ตื่นตระหนก หัวใจที่ไม่ยอมฟังร่างกายของเขาเริ่มเต้นหนักอีกแล้ว เซฮุนในระยะประชิดเหมือนจะหล่อขึ้นทุกครั้งที่สัมผัส

    “ข้าว่าเจ้าควรพักที่นี่เสียก่อน ข้าจะพาไป” เซฮุนกล่าวแค่นั้นแล้วก็ยกตัวราชาเทพมาไว้แนบอก จากนั้นก็ก้าวดุ่มๆ ถามมารรับใช้ว่าห้องนอนของแขกอยู่ไหน แล้วจากไปโดยทิ้งเทวดาที่เหลือและชานยอลไว้ในห้องแบคฮยอนเสียอย่างนั้น

    อี้ชิงและเทวดาสามสาวยืนอึ้งอยู่กับที่เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นกัน นี่พวกเขาพลาดอะไรไปหรือเปล่า ทำไมราชาแห่งเทพกับมารมือขวาถึงได้... คิดแล้วก็รู้สึกว่าพวกเขาอาจจะคิดมากไป ดังนั้นเมื่อเห็นว่าชานยอลทำท่าจะอยู่เฝ้าแบคฮยอนไม่ให้ใครรบกวนก็มองหน้ากันแล้วออกจากห้องไป

    เหลือไว้เพียงชานยอลที่ห่วงใยแบคฮยอนอย่างสุดใจในห้องเพียงลำพัง






    talk
    ยังไม่จบนะที่รัก ผนึกพลังมันแค่จิ๊บๆ เดี๋ยวพี่ให้เจอของใหญ่กว่านี้

    #luckyonecb
    @noeybaekbd


    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 18 อาจเป็นเพราะเรา...ไม่เข้าใจกัน

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 15, 2016 8:55 pm

    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 18
    อาจเป็นเพราะเรา...ไม่เข้าใจกัน








    “ฮ้าวววววว”

    แบคฮยอนหาวแล้วหาวอีก เขาเริ่มเบื่อกับการจัดการวิญญาณไม่รู้จักตายพวกนี้แล้วนะเนี่ย

    มือซ้ายเท้าคางส่วนมือขวาก็พ่นพลังเพื่อทำลายล้างไม่หยุด แบคฮยอนตอนนี้น่ะท่าทางน่าหมั่นไส้ในสายตามารทั้งหลายไม่น้อย แต่เพราะพลังมีมากจนใช้ไม่หมดทำให้ไม่มีใครกล้าหือกับเขา



    หากจะสงสัยว่าแบคฮยอนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

    ก็คงต้องเริ่มจากตอนนั้น...

    หลังจากท่านตามาเยี่ยมเขาพร้อมกับช่วยรักษาอาการป่วยจนหายดีแล้ว แบคฮยอนก็ได้รับรู้ว่าตนเองมีพลังมากเกินไปใช้ไม่หวาดไม่ไหว และเพราะมันมากเกินไปท่านตาจึงผนึกพลังของเขาไว้บางส่วนจนกระทั่งเติบใหญ่ก็ไม่ได้ปลดผนึกจนเจอน้ำยาเวทตัวดีของจงอินซึ่งมีส่วนผสมของเวทปลดผนึกเข้า พลังที่เคยสงบในร่างกายก็ปะทุออกมา

    แม้จะไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้มีพลังมากมายขนาดนี้แต่แบคฮยอนเห็นท่านตาไม่พูดเขาก็ไม่ถามให้มากความ ท่านตาซูโฮจึงกำชับว่าตอนนี้พลังเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วแต่ถ้าแบคฮยอนไม่ใช้พลังเสียบ้างจะเกิดความอึดอัดจนสุดท้ายครอบงำจิตใจจนอาจจะบ้าไปก็ได้

    เทวดาตัวน้อยนึกถึงตำนานลัคกี้วันขึ้นมาทันที ในตอนนั้นพญามารอาเดลก็มีพลังมากเกินไปและไม่ได้ใช้ออกมาจึงได้มาทำลายล้างสวรรค์ไปกว่าครึ่ง หากตัวเขาเองเกิดอาการเช่นนั้นบ้าง จะไม่ทำลายล้างนรกนี้ไปกว่าครึ่งบ้างหรือ ดังนั้นแบคฮยอนจึงได้ถามท่านตาว่าจะจัดการอย่างไร ก็ได้คำตอบว่าควรไปทำงานอะไรสักอย่างที่ต้องใช้พลังมากๆ ก็น่าจะพอ

    สุดท้ายเมื่อพญามารระดมสมองทั้งจากมารมือขวามือซ้ายรวมถึงลัคกี้วันในตำหนักทั้งสี่ จึงได้ข้อสรุปว่าในหน่วยงานของเซฮุนมารมือขวามีงานเกี่ยวกับการจัดการวิญญาณคลั่งที่ต้องใช้พลังจำนวนมากอยู่ หากให้แบคฮยอนทำงานตรงนั้นก็อาจจะช่วยให้เขาได้ใช้พลังจำนวนมากจนไม่อึดอัดได้

    แรกเริ่มนั้นแน่นอนว่าชานยอลค้านสุดตัวเนื่องจากคิดว่าพลังสว่างของแบคฮยอนจะดึงดูดให้วิญญาณเข้ามาดูดพลังเหมือนครั้งที่แล้วตอนอยู่บนโลกอีก แต่พอหลังจากนั้นสามสาวลัคกี้วันร่วมแรงร่วมใจกันสอนให้แบคฮยอนสร้างบาร์เรียป้องกันวิญญาณจนสำเร็จ เทวดาตัวเล็กก็ได้มาประจำการหน่วยจัดการวิญญาณที่สี่สังกัดมารมือขวาจนได้

    งานที่นี่ก็อย่างที่เห็นคือแบคฮยอนแค่กางบาร์เรียป้องกันอย่างง่ายๆ ใช้ปีกสี่คู่ช่วยพยุงตัวเหนืออากาศจากนั้นก็ยิ่งพลังสว่างแปลงเป็นลำแสงจำนวนมากใส่วิญญาณคลั่งทั้งหลายให้สงบหรือไปเกิดใหม่ แค่นี้ก็ปิดจ๊อบแล้ว

    “ฮ้าววววว” มันง่ายและสะดวกเกินไปจนเขาง่วงไม่รู้กี่รอบแล้วเนี่ย

    “เจ้าทำอย่างนั้นนี่เอง มิน่าล่ะ ข้าถึงต้องทำรายงานเยอะนัก” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็เอ่ยทัก แบคฮยอนรู้สึกว่าคุ้นมากจึงหันไปไม่รอช้า

    เป็นคยองซูนั่นเอง

    “คยองซู้ววววววว” แบคฮยอนรู้สึกดีใจที่ได้เจอเทวดาตัวเล็ก เขาจึงรีบโผบินไปซบคยองซูด้วยความรวดเร็ว แต่เทวดาธรรมดาหรือจะสู้เทวดาตัวเก็งลัคกี้วันที่ฝึกมาหลายร้อยปีได้ คยองซูจึงแค่บินหลบ จากนั้นก็ปล่อยให้แบคฮยอนเอาหัวโหม่งพื้นหนึ่งทีเบาๆ

    เบาจริงๆ แค่พื้นแตกไปรัศมีกว่าร้อยเมตรและวิญญาณแถวนั้นตายเกลี้ยงก็เท่านั้น…

    แบคฮยอนยกมือขึ้นมาอังหน้าผากแล้วร่ายเวทรักษาเบื้องต้นไปหนึ่งบทจึงรักษารอยหัวโนได้  แต่เนื่องจากบาร์เรียที่เขากางไว้รอบตัวนั้นประกอบด้วยพลังสว่างจำนวนไม่น้อย พื้นที่เขากระแทกใส่จึงแตกละเอียดเป็นหลุมกว้าง วิญญาณคลั่งแทบไม่กล้าเข้าใกล้ เทวดาตัวน้อยไม่ใส่ใจพื้นแตกนั่นก็ลุกขึ้นกางบาร์เรียอีกชั้นแล้วบินขึ้นไปหาคยองซูอีกรอบทันที

    สังเกตว่าคยองซูยังบินอยู่อย่างสงบแม้พื้นเบื้องล่างแตกละเอียด พอมองก็พบว่าเทวดากลุ่มผู้ถูกเลือกไม่บาดเจ็บสักปลายก้อย ความเก่งของเทวดาระดับท้อปเป็นเช่นนี้เอง แบคฮยอนก็เพิ่งเข้าใจ

    “เจ้าคิดถึงข้าหรือ คยองซู”
    พอบินขึ้นมาถึงระดับเดียวกับเลขาลำดับสองได้ แบคฮยอนก็เอ่ยทัก หลังจากเหตุการณ์วันนั้นแบคฮยอนก็ไม่ได้พบคยองซูอีก รู้แต่ว่าอีกฝ่ายเป็นเทวดาที่รักของมารมือซ้ายไปเสียแล้ว แต่ก็เหมือนจะชอบงานเลขาพญามาร จึงได้ทำงานตำแหน่งเดิมต่อ

    “คิดถึงเจ้ากับผีน่ะสิ” แต่ก็โดนปัดเยื่อใยไม่เหลือชิ้นดีเสียอย่างนั้น

    “คยองซูยังโกรธข้าหรือ” แบคฮยอนจึงหน้าเจื่อนพลางยิ้มแหยๆ

    “โกรธ” และคำตอบของคยองซูคำเดียวก็ก่อความมืดขึ้นรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว

    ที่แท้คยองซูโกรธเขาอยู่นี่เอง เทวดาตัวท้อปถึงได้ไม่คุยกับเขาสักนิด ได้ข่าวว่าตอนเขาป่วยนั้นคยองซูก็ยังไม่มาเยี่ยมเขาเลยด้วยซ้ำ ใช่สิ อีกฝ่ายหวังจะมาเป็นลัคกี้วันของชานยอลจึงมาช่วยแผนของเขาแต่ก็โดนแผนของจงอินตลบหลังจนต้องตกเป็นชายามารมือซ้ายเสียนี่

    แบคฮยอนพอรู้ว่าทำให้คยองซูโกรธ ก็ทำท่าจะบินจากไปอย่างห่อเหี่ยว

    เทวดาอดีตตัวเก็งลัคกี้วันจึงพูดเสียงดังขึ้นว่า

    “โกรธที่เจ้ารู้ตัวว่ารักท่านชานยอลช้าไป จนข้าเกือบจะไม่ได้รักกับจงอินแล้ว”

    หื้ม? แบคฮยอนได้ยินถึงกับหูผึ่งแล้วรีบบินวนกลับมาทันที

    คราวนี้ด้วยความเร็วของปีกที่กางออกอีกสองคู่เป็นหกคู่เท่ากัน แบคฮยอนจึงเข้ามากอดคยองซูสำเร็จ เทวดาที่รักของพญามารกอดเลขาลำดับสองของพญามารไว้แน่นพลางเอ่ย

    “ข้าคิดแล้วว่าเจ้าต้องไม่ใจร้ายกับข้า ขอบคุณนะ คยองซู”

    แล้วทั้งสองก็เปลี่ยนจากการบินคุยกัน กลายเป็นนั่งคุยพร้อมดื่มชาในกองอำนวยการเขตจัดการวิญญาณที่สี่แทน

    “ที่เจ้าว่าต้องเขียนรายงานคืออย่างไรหรือ” แบคฮยอนสบโอกาสจึงเอ่ยถามเรื่องที่คยองซูว่าไว้

    “ไม่มีอะไรหรอก แค่ว่าเจ้ากำจัดวิญญาณด้วยพลังที่มากเกินไป จนทำให้พวกมันไม่สามารถเกิดใหม่อีก ถึงกับสูญสลายไปเลย พวกเราเลยต้องทำรายงานจำนวนวิญญาณที่สลายไปเพราะเจ้าน่ะ” เลขาพญามารกล่าวแล้วก็จิบชาเล็กน้อยสร้างความลำบากใจให้แบคฮยอนเมื่อย้อนไปคิด

    หลายวันมานี้เขากำจัดวิญญาณคลั่งไปแล้วหลายตัวด้วยการยิงลำแสงใส่ พอยิงแล้วพวกมันก็หายไปนึกว่าไปเกิดใหม่แล้ว ที่แท้เขาถึงกับสลายพวกมันไปเลยหรือนี่

    วิญญาณคลั่งแท้จริงก็ยังเป็นวิญญาณที่สามารถมีสำนึกได้สักวันหนึ่งและพวกมันสามารถกลับไปเกิดในโลกมนุษย์ใหม่ได้ แต่หากสลายก็คือการทำลายชีวิตในวัฏจักรไปเลย อาจจะทำให้ภพภูมิต่างๆ รวนได้ พอแบคฮยอนรู้ตัวว่าทำให้สมดุลภพภูมิเปลี่ยนไปก็ตกใจไม่น้อย

    “ข้าไม่รู้ต้องทำอย่างไรเลยคยองซู ข้าแค่ยิงลำแสงธรรมดามันก็กลายเป็นลำแสงที่สลายวิญญาณเสียอย่างนั้น” แบคฮยอนเบะปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

    “ไม่เป็นไรหรอกแบคฮยอน แค่วิญญาณน่ะ หายไปไม่กี่ร้อยกี่พันก็ไม่เสียสมดุลหรอก ยังดีกว่าเจ้าไปสลายมารหรือเทวดาเข้า” เทวดาตัวท้อปเอ่ยเนิบนาบพลางจิบชาอีกครั้ง



    แต่นั่นก็ทำให้แบคฮยอนฉุกคิด

    นั่นสิ ถ้าเขาเผลอทำร้ายใครขึ้นมา มันจะกลายเป็นว่ารุนแรงจนยากจะแก้แล้วหรือไม่ มิน่าล่ะ เขาถึงถูกส่งตัวมาทำงานที่นี่ หน่วยจัดการวิญญาณที่สี่นอกจากทหารมารระดับเอหรือเอส ก็ไม่มีทหารมารตนอื่นเลย

    หรือว่าที่นี่อาจไม่ใช่เขตกักวิญญาณที่สี่ แต่เป็นเขตกักเขาเองจากมารหรือเทวดาตนอื่น...

    แบคฮยอนจมกับความคิดชั่วครู่แล้วคยองซูก็เล่าให้ฟังว่าตอนนี้พญามารก็ทำงานเยอะมากเช่นกัน พร้อมกับย้ำว่าการสลายวิญญาณของเขายังไม่ถึงขั้นทำใครเดือดร้อน คราวหน้าก็เบามือหน่อย ยิงลำแสงเล็กลงหน่อย จากนั้นก็บ่นอีกนิดหน่อยว่าไม่ค่อยได้นอนเพราะมารมือซ้ายค่อนข้างเอาแต่ใจ หัวเราะนิดหน่อยในความขี้อ้อนของจงอินแล้วเวทสื่อสารของใครสักตนก็ทำให้คยองซูต้องกลับไปทำงานในที่สุด

    เมื่อคยองซูกลับไป แบคฮยอนก็คิดมากของจริง

    เทวดาร่างเล็กเพิ่งตระหนักว่าตนเองนั้นค่อนข้างจะสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน ตอนแรกเขาก็ไม่ทราบว่างานกำจัดวิญญาณนี่มันเป็นงานที่ต้องใช้พลังมากที่สุดแล้วหรือ เพราะเขาเห็นว่าบางทีอี้ชิงกับสามสาวมักจะได้รับภารกิจลับซึ่งทำให้เหนื่อยมากหลังจากกลับถึงตำหนักตลอด

    แต่งานของเขาอย่างมากก็แค่ง่วง หาว ไม่มีเพลียหรือใช้งานหนักใดๆ ทั้งสิ้น แสดงว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้ใช้พลังมากมายเท่าไหร่แต่ที่ต้องมาทำงานเขตกันวิญญาณนี้เพราะพลังของตนหากพลาดไปอาจจะทำลายมารหรือเทวดาตนอื่นต่างหาก

    แบคฮยอนหัวเราะ หากแต่มีน้ำตาคลอเบ้าตาด้วย

    “ท่านไปพักผ่อนเถอะขอรับ” ทหารมารระดับเอสเข้ามาหาแล้วเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นท่าทางคล้ายกำลังบ้าของแบคฮยอน ร่างเล็กจึงหัวเราะนิดหน่อยแล้วกล่าว

    “เจ้าน่ะ ที่แท้ไม่ได้มีหน้าที่กำจัดวิญญาณคลั่ง แต่มีหน้าที่เฝ้าข้าสินะ” เอ่ยเพียงเท่านั้นก็เห็นสีหน้าทหารมารเปลี่ยนเป็นเครียดแล้วกลายเป็นเฉยชาเช่นเดิมอย่างรวดเร็ว แค่นี้แบคฮยอนก็แน่ใจได้อย่างหนึ่งแล้ว

    “ท่านกลับไปพักเถอะขอรับ พญามารอาจจะกำลังเป็นห่วง” ทหารมารรีบเอ่ยไปเรื่องอื่น

    “อ้อ พญามารสินะที่ให้เจ้ามาเฝ้าข้า” เอ่ยเพียงเท่านั้นก็เห็นว่าเหงื่อผุดข้างขมับของทหารมารเล็กน้อย ใช่จริงๆ ด้วย

    แบคฮยอนจึงได้แต่ยิ้มขมขื่นในใจจากนั้นก็ออกจากกองอำนวยด้วยใบหน้าเศร้า

    โชคยังดีหน่วยสี่ของเซฮุนอยู่ไม่ไกลจากวังลูซิเฟอร์และตำหนักสนมที่แบคฮยอนอาศัยอยู่แต่แรก ดังนั้นเมื่อเขาต้องการพักผ่อนจึงสามารถบินมาที่นี่ได้ไม่นานนัก

    เทวดามาถึงตำหนักก็พบกับมารรับใช้ยืนรออยู่ ตอนนี้เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับวังลูซิเฟอร์มากแล้ว จึงแค่รับผ้าเย็นมาจากพวกนาง สังเกตสีหน้านิดหน่อยก็ทราบว่าอาจจะเป็นทหารระดับเอสปลอมตัวมาก็ได้ แบคฮยอนหัวเราะหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ล้างเท้าแล้วเข้าไปห้องของตนเองซึ่งอยู่ไม่ไกลทันที

    เปิดประตูห้องก็พบกับเตียง แบคฮยอนก็นอนลงอย่างไม่รอช้า อืม... เขาไม่เหนื่อยหรอกจากการทำงาน แต่เพราะเรื่องเมื่อครู่มากกว่า... มันทำให้เขาอยากนอนเพื่อจะไม่ต้องคิดมากใดๆ อีก แล้วเทวดาก็หลับไปในเวลาไม่นานนัก

    โดยไม่รู้เลยว่ามุมมืดนั้นมีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่...



    ****lucky one and monster****




    ชานยอลรีบเคลียร์งานของวันนี้ให้เสร็จเพื่อที่จะได้กลับไปอยู่กับแบคฮยอนไวๆ แต่พอกลับไปตำหนักสนมกลับพบว่าเทวดาที่รักกำลังหลับสนิทเสียอย่างนั้น


    พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างจริงจัง แบคฮยอนจึงมีห้องนอนในตำหนักสนมและชานยอลก็ยังมีห้องนอนของเขาในใจกลางวังลูซิเฟอร์อยู่ แต่เพราะคิดถึงจนอยากตื่นนอนเห็นหน้าแบคฮยอนทุกวัน พญามารจึงได้ย้ายตนเองมานอนที่ห้องเล็กๆ ของแบคฮยอนแทน รอจังหวะที่เหมาะสมค่อยทำพิธีเสกสมรสรับแบคฮยอนเป็นชายาเอกแล้วจึงอยู่ด้วยกันแบบเปิดเผยเสียที

    มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมระใบหน้าคนรักออก จากนั้นก็ก้มลงจูบหน้าผากหนึ่งครั้ง แบคฮยอนในยามนอนยังน่ารักเช่นเคย นัยน์ตาเรียวปิดสนิทหัวคิ้วย่นเล็กน้อยและปากเบะจนเหมือนขี้งอนนั่นก็เรียกให้เขาอยากก้มลงจุมพิตเหลือเกิน ชานยอลเห็นอีกฝ่ายไม่ตื่นจึงแกล้งลักหลับเทวดาตัวดื้อเข้าให้ พบว่ายังไม่ตื่นก็จูบไปอีกหลายๆ ครั้ง

    แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับมีใครกำลังจ้องมองพฤติกรรมนี้ของเขาอยู่ไม่ปาน

    ชานยอลผุดลุกขึ้นทันทีแล้วหันไปมองมุมมืดมุมหนึ่งของห้อง ด้วยความสามารถอ่านใจจึงทำให้เขามักจะรับรู้ตัวตนของใครก็ตามที่ชอบหลบซ่อนเพราะพวกนั้นบางทีมักจะเผลอคิดอะไรบางอย่างออกมานั่นเอง

    เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนกับมีใครบางคนอยู่แถวนี้...เป็นคน ไม่ใช่ตน มีมนุษย์อยู่ที่นี่!

    พญามารรวบรวมพลังมืดส่วนหนึ่งแล้วยิงเข้าไปทุกช่องรวมถึงกางตาข่ายรอบห้องเพื่อตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบอะไร
    แสดงว่ามันหนีไปได้! ร่างสูงนั่งลงบนเตียงพลางครุ่นคิดหนัก

    นึกย้อนไปถึงการต่อสู้ในเขตสามสิบแปดตอนนั้น...

    ชานยอลกำลังจัดการวิญญาณรวมคลั่งให้สงบ ฟาดฟันดาบไฟเข้าไปหาวิญญาณกลุ่มนั้นมือเป็นระวิง แต่พอใกล้จะสำเร็จแล้ว กลับมีเงาร่างสายหนึ่งเข้ามาใกล้ จากนั้นก็พ่นพลังใส่เขาหนึ่งสาย เป็นพลังสว่างจำนวนหนึ่งซึ่งพลังชนิดนี้มักจะมาจากมนุษย์ผู้ได้รับคำอำนวยพรจากพระเจ้าเท่านั้น

    นักเวทมิตินั่นเอง!

    นักเวทมิติที่เข้ามาขัดขวางชานยอลจัดการคลี่ม้วนคัมภีร์เวทมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็พยายามส่งวิญญาณรวมคลั่งนั้นไปที่อื่น ซึ่งเขาเดาว่าอาจจะเป็นโลกมนุษย์ ชานยอลจึงให้ลูกน้องรีบเข้าไปจัดการวิญญาณรวมคลั่ง ส่วนตนเองก็จัดการนักเวทมิติด้วยตนเอง

    นึกไม่ถึงว่านักเวทมิติราวกับจะรู้จุดอ่อนของมาร พอพบว่าชานยอลเป็นคู่ต่อสู้ก็รีบเข้ามาทำร้ายเขาตรงข้อพับปีก ส่งผลให้ชานยอลบาดเจ็บหนัก มือใหญ่พยายามฟาดดาบไฟใส่ไม่ยั้ง แต่นักเวทมิติกลับหลบได้ทุกครั้ง พญามารคิดว่าไม่เข้าท่าจึงเปลี่ยนพลังจากดาบไฟเป็นไฟลูกใหญ่แทน คราวนี้ได้ผลเมื่อเขาปล่อยพลังออกไปก็พบว่านักเวทมิติรีบถอยหนี จากนั้นชานยอลก็จัดการวิญญาณรวมคลั่งจนหมดแล้วส่งข้อความไปหาคยองซูว่าเขากำลังจะกลับ

    ในตอนนั้นชานยอลคิดว่าจะปรึกษาจงอินเสียหน่อย จำได้ว่าเขาส่งมารมือซ้ายไปช่วยแบคฮยอนและคยองซูทำงาน ดังนั้นจึงร่ายเวทเคลื่อนที่ไปปรากฏในห้องทำงานโดยตรง แต่ที่คาดไม่ถึงคือนักเวทมิติที่หลบหนีไปนั้น จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นและใช้ความเร็ววิ่งเข้ามาอยู่ในวงเวทกับเขาด้วย!

    ชานยอลตกใจอย่างมากจึงพยายามปล่อยพลังเพื่อสะบัดนักเวทมิติออก แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายหลบเขาเก่งมากเช่นกันแถมยังเข้ามาทำร้ายข้อพับปีกอีกครั้งให้เขาเคลื่อนไหวช้าลงอีก เมื่อเวทเคลื่อนที่ทำงานชานยอลจึงไปถึงห้องทำงานพร้อมกับนักเวทมิติเสียอย่างนั้น

    โชคยังดีที่จงอินมีสติหน่อย จึงได้ช่วยเขาโดยใช้กริชพลังมืดออกไปได้ จากนั้นชานยอลก็เสียเลือดมากจนสลบไปจึงไม่ได้ตามจับเจ้านั่นไว้

    พอฟื้นขึ้นมาชานยอลก็ได้สั่งให้ลูกน้องไปเสาะหาเบาะแสของนักเวทมิตินี้แล้ว แต่หาเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พบและนักเวทมิติไม่ได้มาแผลงฤทธิ์อีกจึงได้เลิกค้นหาไป ประจวบเหมาะว่าแบคฮยอนกำลังป่วยพอดีจึงได้แต่ระดมสมองและกำลังพลของตนมาช่วยคนรัก ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะพบจุดเชื่อมโยงกับนักเวทมิตินั้นอีกครั้ง

    พอนึกถึงตอนนี้ ชานยอลจึงปลุกแบคฮยอนให้ตื่นเพื่อที่จะทำอะไรสักอย่างก่อนนักเวทมิตินั่นจะทำอันตรายกับคนรักของเขาได้

    “ตื่นได้แล้วที่รัก” เสียงนุ่มเอ่ยข้างหูก่อนจะพบกับดวงตาเรียวกะพริบปริบๆ ชานยอลจึงหอมแก้มน้องหนึ่งที

    “อื้ม ตื่นแล้ว” แบคฮยอนตอบรับ

    “เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า งานที่เขตสี่มีมากไปหรือไม่” หลังจากแบคฮยอนลุกขึ้นมานั่ง ชานยอลก็ถามด้วยความห่วงใยทันที

    “ไม่เหนื่อยเลย แต่ข้าเบื่อ” เทวดาตอบพลางเบะปาก

    “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาทำงานกับข้าไหม” ชานยอลจึงเสนอให้คนรักมาอยู่ใกล้ บอกตรงๆ ว่าเขาไม่ไว้ใจนักเวทมิติหรือใครก็ตามที่ลักลอบมาที่นี่เมื่อครู่ เขาไม่อยากให้แบคฮยอนบาดเจ็บหรือไม่สบายอีก

    “ไม่เอา ถ้าอยู่กับเจ้าก็ไม่ได้ใช้พลังกันพอดี” แบคฮยอนตอบคล้ายเด็กเอาแต่ใจ

    “แล้วเจ้าย้ายไปนอนห้องของข้าดีไหม” ชานยอลลองตะล่อมอีกรอบ แบคฮยอนไปทำงานเขตสี่ไม่ไกลจากเซฮุนเท่าไหร่ก็น่าจะให้เจ้านั่นช่วยดูได้ แต่ห้องนอนนี้มันไม่ปลอดภัย ห้องนอนของเขามีกลไกป้องกันศัตรูแถมยังสามารถใช้พลังของเขากางไว้ได้ตลอดน่าจะไว้ใจได้มากกว่าห้องนี้

    “ทำไมจู่ๆ ถึงชวนย้ายล่ะ เจ้าบอกเองว่ารอให้มีพิธีเสกสมรสแล้วค่อยย้ายเข้าไปนี่นา” แบคฮยอนขมวดคิ้ว ร่างเล็กสงสัยในคำชวนของชานยอลไม่น้อย

    “ก็... ห้องนอนข้ามีการป้องกันที่ดี มีกลไกป้องกันหลายชั้น จะได้ดูแลเจ้าได้” ชานยอลจึงตอบไพล่ไปถึงเรื่องดูแลเทวดาตัวเล็กแทน

    “ป้องกันข้าจากใคร” แต่แบคฮยอนกลับขมวดคิ้วหนักแล้วซักต่อ

    ชานยอลอ้ำอึ้ง แม้จะรู้ว่าเทวดาที่รักนั้นฉลาดเป็นกรด แต่ก็ไม่คิดว่าจะจับใจความสำคัญได้เร็วขนาดนี้ เขาจะบอกได้อย่างไรว่าตรวจพบมนุษย์ที่นี่ แถมยังน่าสงสัยว่าเป็นนักเวทมิติที่เก่งกาจด้วย

    “ข้าแค่คำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้า กับเอ่อ... มารหรือเทวดาตนอื่น” พญามารไม่อยากให้เทวดารับรู้เรื่องนักเวทมิติจึงใส่ร้ายมารอื่นเอาดื้อๆ ทั้งที่ในนรกนี้แทบจะไม่มีใครกล้าต่อกรกับเขาแล้ว

    “หมายความว่าข้าเป็นอันตรายกับมารหรือเทวดาอื่น เจ้าเลยจะขังข้าไว้ในห้องเจ้าแทนอย่างนั้นหรือ” แบคฮยอนกลับเข้าใจผิดเสียอย่างนั้น

    ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้แบคฮยอนกำลังอยู่ในอารมณ์สับสนตัวเองเพียงใด ก่อนหน้านี้เขายังเป็นเทวดาขั้นต่ำมีหน้าที่แค่เป็นมัคคุเทศก์สวรรค์ไปวันๆ แต่เพียงไม่นานกลับได้เป็นลัคกี้วันผู้ยิ่งใหญ่ในวัยเพียงหนึ่งร้อยปีเศษ(อายุเฉลี่ยลัคกี้วันอยู่ที่ห้าร้อยปี)

    มิหนำซ้ำตอนนี้พลังของแบคฮยอนมีมากจนเกินไป อาจจะมากกว่าชานยอลเสียด้วยซ้ำ

    มันทำให้เทวดาตัวเล็กหนักใจไม่น้อย ทั้งเรื่องพลังอาจจะทำให้ตนเองป่วยและพลังอาจจะทำร้ายผู้อื่นได้โดยเฉพาะชานยอลเอง

    แบคฮยอนคิดในใจไปร้อยแปดอย่างถึงความเป็นไปได้ที่ชานยอลจะชวนเขาไปอยู่ห้องด้วยกัน ทั้งๆ ที่ห้องนี้ก็เพียบพร้อมแถมยังเป็นตำหนักของวังลูซิเฟอร์อยู่แล้ว หรือเขาอาจจะเป็นอันตรายกับบุคคลสำคัญ คิดไปแล้วถ้าจะมีอะไรสำคัญกว่าแบคฮยอนก็คงเป็นอี้ชิงกับสามสาวลัคกี้วันลำดับก่อนที่เหลือ

    บางที...ชานยอลอาจจะกังวลว่าเขาจะทำร้ายพวกนั้นโดยไม่ตั้งใจก็ได้

    พอคิดได้ดังนั้นเทวดาตัวน้อยก็น้ำตาไหลไม่รู้ตัว


    ชานยอลอึ้งไปเลยกับพฤติกรรมนี้ ด้วยว่าเขาไม่กล้าบอกแบคฮยอนเรื่องนักเวทมิติเพราะอาจจะทำให้อีกฝ่ายเกิดอันตรายได้ ชานยอลจึงหมายจะพูดถึงว่ามารหรือเทวดาตนอื่นอาจจะคิดร้ายกับแบคฮยอนหรืออะไรทำนองนี้ แต่คาดไม่ถึงว่าเทวดาที่รักจะพูดถึงประเด็นว่าพลังของตนเองมีมากจนไปทำร้ายผู้อื่นเข้า จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาแบบว่าชานยอลตั้งตัวแทบไม่ติด

    ว่าไปแล้ว ผู้อื่นใช่จะคิดว่าแบคฮยอนไม่อันตรายเสียทีเดียว

    ชานยอลนึกถึงช่วงที่พวกเขาเหล่ามารปรึกษากันเรื่องส่งแบคฮยอนไปเขตจัดการวิญญาณที่สี่...

    เป็นความคิดของจงอินว่าส่งแบคฮยอนไปทำลายวิญญาณคลั่งจะดีที่สุด หากควบคุมพลังไม่ได้ก็ให้ทำลายวิญญาณไปจะได้ไม่เกิดลูกหลงไปโดนใครบาดเจ็บเข้า ซึ่งแม้ว่าจะเห็นด้วยแต่ชานยอลก็ยังห่วงแบคฮยอนอยู่ดี จึงได้ส่งทหารมารระดับเอและเอสเข้าไปอยู่ในหน่วยที่สี่และในตำหนักนี้ เหตุผลก็เพื่อความปลอดภัยของแบคฮยอนนั่นเอง


    แต่เขาหาได้คิดเรื่องการป้องกันไม่ให้แบคฮยอนก่อเรื่องกับมารหรือเทวดาอื่นไม่

    พญามารจึงพยายามปลอบไม่ให้แบคฮยอนคิดผิดไปกันใหญ่

    “เจ้าคิดมากไปแล้วแบคฮยอน ที่ข้าอยากให้เจ้าไปอยู่ห้องของข้าเพราะเรื่องความปลอดภัยของตัวเจ้าเท่านั้น เพราะมารตนอื่นอาจจะ...”
    ชานยอลกำลังจะพูดว่าอาจจะเข้ามาทำร้ายแบคฮยอนแต่ก็โดนขัดจังหวะ

    “อาจจะถูกลูกหลงตอนข้ากำลังละเมอแล้วยิงลำแสงมั่วซั่วใช่ไหม”

    เทวดากล่าวพลางน้ำตาไหลมากขึ้นจนตาเรียวแทบจะเป็นแอ่งน้ำตาไปแล้ว นั่นทำให้ชานยอลลำบากใจไปอีก

    “ไม่ใช่ แบคฮยอนเจ้าไม่เข้าใจ หากเจ้ากำลังอารมณ์เสีย ถ้าอย่างนั้นเราไปกินข้าวกันไหม” ชานยอลตัดสินใจตัดบท หากแบคฮยอนกำลังงอแง ต้องพาไปกินข้าวดีที่สุด

    แต่วันนี้แบคฮยอนเหมือนจะงอแงมากกว่าปกติมากนัก

    “ไม่ไปกินข้าว! เจ้าต้องพูดมาให้ชัดเจนก่อนว่าอยากจะพาข้าไปที่ห้องนอนเจ้าเพื่ออะไร เรานอนด้วยกันในห้องนี้มานานหลายวันแล้ว ข้าก็ไม่เห็นมันมีอะไรนี่” เทวดาน้อยขึ้นเสียงพาให้พญามารคิดหนักอีกรอบ

    “แต่ตอนนี้มันมี...” ชานยอลพูดแล้วก็ชะงัก เขาจะเอาเรื่องนักเวทมิติไปพูดให้แบคฮยอนฟังไม่ได้

    “มีอะไร?”  

    “มี เอ่อ มีเจ้าไง เพราะเจ้า...” ชานยอลกำลังจะพูดว่าเพราะแบคฮยอนเป็นคนรักของเขา ดังนั้นจึงต้องดูแลอย่างดี แต่ก็โดนขัดอีกครั้ง

    “สรุปว่าข้าเป็นตัวอันตรายสินะ ขืนอยู่ในนี้ก็รังแต่จะสร้างความเสียหายให้กับห้อง ใช่สิ อีกร้อยปีเจ้าก็จะมีสนมเป็นลัคกี้วันตนใหม่นี่ เจ้าก็อยากรักษาห้องนี้ให้นางสินะ แล้วก็เอาข้าไปขังไว้ในห้องที่มีกลไกซับซ้อนของเจ้า”

    แบคฮยอนพูดแทนชานยอลแถมโยงเรื่องไปไกลอีกร้อยปีอีก หากที่นี่เป็นบนโลก ชานยอลคงจะอดคิดไม่ได้ว่าคนรักของเขากำลังอยู่ในช่วงวันนั้นของเดือนก็เป็นได้

    “ไปกันใหญ่แล้วแบคฮยอน ลัคกี้วันและคนรักของข้าก็คือเจ้าเท่านั้น”

    “แต่เจ้าก็ไม่บอกข้าว่าต้องการให้ข้าไปนอนห้องเจ้าเพราะอะไร ทั้งๆ ที่เจ้าสัญญาไว้แล้วว่ารอจนกว่าพิธีเสกสมรสจะเสร็จถึงค่อยไปอยู่กันนี่!”


    เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ เทวดาจึงตะคอกเสียงดัง พาให้ข้างนอกได้ยินไปหมดทั้งตำหนัก


    “ไม่ใช่ แบคฮยอน ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด แต่ข้าบอกเจ้าไม่ได้” ชานยอลพูดเสร็จก็กอดแบคฮยอนไว้ แม้ว่าจะเริ่มหงุดหงิดไม่น้อยเพราะเทวดาเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง พญามารคิดว่ากอดแบคฮยอนไว้แล้วอาจจะดีขึ้น

    แต่ชานยอลคิดผิดเมื่อแบคฮยอนผละกอดออก จากนั้นก็รวมพลังสว่างเป็นลำแสงยิงใส่เขา

    พญามารรีบสร้างบาร์เรียป้องกันทันที แต่ถึงกระนั้นก็ยังป้องกันไม่ได้ทั้งหมด ลำแสงส่วนหนึ่งพุ่งไปยังประตูแล้วส่งเสียงดัง

    บรึ้ม!

    พลังสว่างของแบคฮยอนเผาประตูและผนังส่วนหนึ่งจนกลายเป็นช่องว่างขนาดใหญ่

    “อะไร เกิดอะไรขึ้น?”
    อี้ชิงและสามสาวลัคกี้วันเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว แววตาตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าของเทวดาทุกตน เมื่อเห็นว่าเป็นแบคฮยอนที่ปล่อยพลังนี้

    “ท่านแม่ ฮึก”
    แบคฮยอนเมื่อเห็นอี้ชิงก็น้ำตาร่วงแล้วพุ่งตัวหวังจะมากอด

    แต่เพราะตั้งตัวไม่ทันและเข้าใจว่าแบคฮยอนจะปล่อยพลังอีกอี้ชิงจึงขยับหลบ

    ทำให้เทวดาตัวน้อยชนผนังจนเสียงดังปัง!

    เมื่อลุกขึ้นได้แบคฮยอนก็น้ำตานองพร้อมมีรอยเลือดติดอยู่ไม่น้อย พาให้ชานยอลเป็นห่วงยิ่งนัก ร่างสูงของพญามารจึงรีบพุ่งเข้าไปใกล้แต่กลายเป็นว่าแบคฮยอนปล่อยลำแสงใส่เขาอีกครั้ง

    คราวนี้พญามารเตรียมตัวไว้แล้ว จึงได้สร้างบาร์เรียป้องกันไปทั่ว คลุมร่างของเขา อี้ชิงและสามสาวลัคกี้วันไว้ทั้งหมด กลายเป็นว่าเทวดาทุกตนอยู่หลังชานยอลและมีวงกลมเรืองแสงป้องกัน ยกเว้นแบคฮยอน

    เหมือนการกระทำนี้จะทำให้แบคฮยอนโกรธหนักขึ้นไปอีก

    “พวกเจ้าทุกตนกลัวข้าสินะ ใช่สิ ข้ามันเป็นตัวอันตรายนี่ ขนาดชานยอลยังคิดจะขังข้าไว้ในห้องเลยนี่”
    แบคฮยอนกล่าวทั้งน้ำตา แม้ว่าใบหน้าจะมีเลือดไหลรวมถึงแผลฟกช้ำจากการชนผนังเมื่อครู่ แต่เทวดาตัวเล็กเหมือนจะเสียสติและพาลโกรธจึงไม่ใส่ใจจะทำแผลใดๆ ทั้งสิ้น แววตาสิ้นหวังส่งมาให้อี้ชิงซึ่งหลบจนทำให้แบคฮยอนชนเมื่อครู่ แม้อี้ชิงจะรู้สึกผิดแต่เพราะเห็นว่าเทวดาน้อยยังอันตรายจึงไม่กล้าทำอะไรอีก ชานยอลเองไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน ได้แต่ยืนอึ้งกับพฤติกรรมคนรักอยู่อย่างนั้น

    กลายเป็นนาอึนที่ได้สติแล้วออกมาจากบาร์เรียเพื่อเดินไปปลอบแบคฮยอนก่อนผู้อื่น

    “ไม่เป็นไรนะแบคฮยอน พวกเราไม่ได้กลัวเจ้าเสียหน่อย เด็กน้อย” นาอึนพยายามยื่นมือมาลูบศีรษะแบคฮยอนด้วยความอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง เมื่อตอนซาร่าฝึกหนักจนแบคฮยอนร้องไห้เธอก็มักจะมาปลอบเช่นนี้


    นั่นทำให้แบคฮยอนคิด นาอึนเป็นหญิงสาวหน้าตาดีและความอ่อนโยนของเธอก็มีมากที่สุด หญิงสาวน่ารักจนเทวดาแอบเทใจให้ ถ้าเทวดาที่ชานยอลปกป้องคือนาอึนล่ะ…

    บรึ้ม!

    เทวดาตัวเล็กจู่ๆ ก็เผลอปล่อยพลังออกมาด้วยความโกรธ ส่งผลให้นาอึนกระเด็นออกมาอย่างแรง ชานยอลจึงพุ่งตัวไปรับเธอไว้ พบว่าเทวดาสาวบาดเจ็บไม่น้อยจึงส่งให้อี้ชิงรักษาทันที จากนั้นเขาก็หันหน้ามามองเทวดาตัวเล็กราวกับตำหนิ

    “มากไปแล้วนะแบคฮยอน สงบสติอารมณ์ได้แล้ว!”
    ชานยอลตวาดเมื่อเห็นแบคฮยอนราวกับคลุ้มคลั่ง แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็คิดว่าตวาดแล้วแบคฮยอนจะได้สงบลงสักที

    เขาไม่รู้หรอกว่านั่นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย

    “งั้นเจ้ายอมรับมาสิว่าตกลงเจ้ากำลังปกป้องใครอยู่ ข้า! หรือพวกเขา!”
    แบคฮยอนยังคงน้ำตานองหน้า มือสวยยกมาชี้ตนเองและพวกอี้ชิงแถมเสียงดังไม่น้อยกว่าชานยอลเลยด้วยซ้ำ

    “ข้า...” ชานยอลตอบไม่ได้ เขาไม่เข้าใจแบคฮยอนเลยสักนิด จู่ๆ คนรักก็คลุ้มคลั่งอาละวาดหนักแถมยังถามอะไรแปลกๆ เขาเป็นผู้ปกครองนรกก็ต้องปกป้องมารและเทวดาทุกตนอยู่แล้ว เหตุใดเทวดาที่เขารักมากที่สุดจึงถามเช่นนี้

    “ไม่ใช่ข้า เพราะข้ามันอันตรายต่อพวกเจ้าสินะ...”

    แบคฮยอนเห็นชานยอลเงียบไปก็ยิ้มเยือกเย็นออกมาหนึ่งครั้ง

    “ถ้าอย่างนั้นก็...ลาก่อน!”

    จากนั้นก็ร่ายเวทเคลื่อนย้ายซึ่งพญามารเป็นผู้สอนให้ด้วยตนเองเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา ชานยอลค้นสติได้กำลังจะเข้าไปคว้าแขนของคนรักไว้ก็พบว่าไม่ทัน เมื่อแบคฮยอนระเบิดพลังก็พลันมีแสงสว่างจ้า แสบตาไปหมด

    จนสุดท้ายก็ทิ้งไว้เพียงซากที่เคยเป็นห้องนอนของพวกเขา ซึ่งตอนนี้สภาพไม่เหลือชิ้นดี...

    และใจชานยอลที่พังเป็นเสี่ยงๆ ด้วย






    talk
    ตื่นๆ เกิดเรื่องแหล่ววววววววว โอ๊ยยยยย แบคฮยอนลู๊กกกกกกก
    เกร็ดเล็กน้อย : ทหารมารมีระดับต่ำสุดที่D ไต่ขึ้นไปเป็น C, B, A และระดับสูงสุดคือ S ดังนั้นทหารมารที่ชานยอลเอามาคุ้มครองแบคฮยอนคือระดับสูงสุดนั่นเอง
    ปล.แบคฮยอนอาละวาดเพราะอะไร? เอาจริงคำตอบมีแทรกเรื่อยๆ ให้ลองอ่านแล้วเป็นแบคฮยอนดูจะเข้าใจเขา แต่ถ้ามองจากมุมของชานยอล ยังไงก็จะไม่เข้าใจ 55555
    สปอยล์ ตอนหน้าแฟนพี่จะมาแล้ว
    #luckyonecb
    @noeybaekbd
    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 19 จงแดที่รัก

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Mon Aug 22, 2016 9:48 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 19
    จงแดที่รัก




    แบคฮยอนใช้เวทเคลื่อนย้ายมาปรากฏตัวในที่แห่งหนึ่ง หันซ้ายหันขวาหาสิ่งที่ต้องการแต่ไม่เจอก็รู้สึกเศร้า เขาจำได้ว่ามันอยู่ตรงนี้ซึ่งคิดดูอีกทีมันอาจจะไม่มีอยู่จริงก็เป็นได้ ความจริงแล้วเขาแค่คิดถึงบ้านหลังนั้น...
    บ้านของชานชานและชานเลี่ยนั่นเอง

    ใช่... แบคฮยอนใช้เวทเคลื่อนย้ายมาบนโลกเลย เขาคิดว่ามาตรงนี้จะสามารถสงบจิตใจได้สักพักและที่นี่ก็ใช้เวทแรงไม่ได้ จะได้ไม่มีใครบาดเจ็บอีกแบบที่เขาทำกับเทวดาสาว...

    นาอึนจะเป็นอย่างไรบ้าง เทวดาครุ่นคิด

    ในตอนนั้นเขาเหมือนกำลังเลือดเข้าตา อารมณ์ที่หมองเศร้าตั้งแต่เจอคยองซูแล้วจับสังเกตได้ว่ารอบตัวมีแต่ทหารมารระดับเอสทำให้แบคฮยอนแทบบ้า พอตื่นมาเจอว่าชานยอลถามเขาเรื่องจะให้ไปอยู่ในออฟฟิศกลางเพื่อเฝ้าระวังหรือกระทั่งให้แบคฮยอนไปอยู่บนห้องนอนชานยอลซึ่งมีกลไกสลับซับซ้อนเพื่อป้องกันไม่ให้แบคฮยอนยิงลำแสงใส่ใครมั่วซั่วอีกก็ทำให้เทวดาน้อยเนื้อต่ำใจในปัญหาของตัวเองนัก
    แล้วพอคิดว่านาอึนอาจจะสำคัญกว่าเขา...

    มันก็ปวดหัวใจเต็มไปหมด...

    ทำไมล่ะ ชานยอล ทำไมต้องห่วงใยนาอึนขนาดนั้น เขาไม่ใช่หรือที่เป็นคนรักของชานยอล เขาไม่ใช่เทวดาที่ชานยอลห่วงใยมากที่สุดหรือ

    กระทั่งท่านแม่ก็ยังหลบเขาเลยนี่ นับประสาอะไรกับคนรัก...

    ในตอนนั้นจึงได้โมโหนัก สุดท้ายก็ยิงแสงมั่วไปหมด หวังดับอารมณ์คุกรุ่น ตนถึงได้กลายเป็นบุคคลอันตรายไปจริงๆ ไม่รู้ว่าพวกท่านแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง

    คิดอีกทีแบคฮยอนก็หัวเราะ เขาจะกังวลทำไม เห็นได้ชัดว่าชานยอลน่ะอยู่กับพวกอี้ชิงและนาอึนก่อนเขาจะมาเสียอีก นาอึนรักชานยอลเสียมากด้วย ที่หญิงสาวบอกว่าไม่เคยมีอะไรกันคงเพราะเกรงใจแบคฮยอนเลยพูดไปอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นพอนาอึนโดนทำร้ายจนบาดเจ็บชานยอลจะพุ่งเข้ามารับแล้วตวาดใส่เขาทำไม

    แล้วแบคฮยอนก็นั่งกอดเข่าร้องไห้...
    เสียใจที่ตนกลายเป็นวัตถุอันตรายของผู้อื่น

    และเสียใจเรื่องชานยอลไม่เข้าใจตนเองมากที่สุด

    “เจ้ารักข้าจริงหรือ ชานยอล” ร่างบางนั่งลงบนพื้นในตรอกมืด จากนั้นก็ร้องไห้เป็นเผาเต่าคนเดียวอยู่เป็นนาน



    จนกระทั่งรุ่งสาง ฟ้ามืดกลายเป็นสว่าง

    แบคฮยอนไม่รู้ว่าตนเองหลับไปเมื่อใด แต่พอรู้สึกตัวก็ได้ยินเสียงผู้คนพูดคุยจอแจบนถนนแล้ว เขาอยู่ในตรอกเล็กๆ นี้อีกนานไม่ได้ เพราะแม้เทวดาจะมีความอดทนมากกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ท้องหิวก็ต้องกินข้าวและร่างกายเปรอะเปื้อนก็ต้องได้รับการชำระล้างอยู่ดี

    ร่างเล็กครุ่นคิดว่าจะไปไหน เพราะไปวัดหรือเร่ร่อนทั่วก็ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก ส่วนไปสวรรค์คงไม่ใช่ตอนนี้ เขาเองไม่มีเหตุผลพอที่จะบอกท่านตาว่าเกิดอะไรขึ้น แบคฮยอนนั่งคิดไม่นานก็นึกถึงเทวดาตนหนึ่งขึ้นมา เพื่อนสนิทที่สุดของเขาทำงานอยู่ในสถานีจัดการสภาพอากาศของสวรรค์ ซึ่งสำนักงานอยู่บนโลกนี้พอดี

    พอนึกออกว่าต้องไปที่ไหน ร่างบางจึงรวมพลังเวทแล้วร่ายเวทเคลื่อนย้ายจากนั้นก็หายวับไปจากตรอกที่นั่งอยู่ในพริบตาอีกครั้ง

    ท่ามกลางสายตาของผู้ที่เฝ้ามองอยู่...


    ****lucky one and monster****


    คิมจงแดเป็นเทวดาอายุห้าร้อยกว่าปีแล้ว รูปร่างหน้าตาก็พอใช้ได้แต่ที่ดีกว่าคือพลังสว่างซึ่งแปลงเป็นสายฟ้าได้อย่างเชี่ยวชาญมากนัก เมื่อทางสวรรค์ทราบความสามารถนี้เขาจึงได้ฝึกในหน่วยควบคุมสภาพอากาศตั้งแต่อายุได้ร้อยกว่าปีและมาประจำการอยู่สถานีจัดการสภาพอากาศบนโลกได้กว่าสามร้อยกว่าปีมาแล้ว

    และเขาคือเพื่อนสนิทของแบคฮยอนด้วย

    ในตอนแรกที่เขาพบกับแบคฮยอนนั้น เขาก็แปลกใจเป็นอันมาก เนื่องจากจงแดในอายุสี่ร้อยปีต้องเข้าไปรายงานเรื่องการควบคุมสภาพอากาศของโลกกับราชาแห่งเทพโดยตรง จึงพบว่าบนตักของราชาแห่งเทพมีเด็กน้อยหน้าตาน่ารักนั่งอยู่ เด็กน้อยสนใจตอนที่เขาพูดถึงสายฟ้าและสภาพอากาศต่างๆ เป็นอันมาก ราชาแห่งเทพจึงขอให้เขาแปลงพลังสว่างเป็นสายฟ้าให้ชมเป็นขวัญตาหน่อย

    จงแดไม่กล้าขัดจึงทำตามคำสั่ง ส่งสายฟ้าเล็กๆ ผ่าลงมาสายหนึ่ง ด้วยประกายวิบวับของมันทำให้เด็กน้อยมองเขาอย่างชื่นชม หลังจากเขารายงานเสร็จก็ตามออกมาเล่นด้วยเสียอย่างนั้น

    เทวดาอายุสี่ร้อยปีนั้นไม่เคยเห็นเทวดาเด็กเล็กมาก่อน เขาก็สนใจแบคฮยอนเหมือนกัน เนื่องจากเทวดาทั่วไปเมื่อมาเกิดจะอยู่ในวัยไม่ต่ำกว่าสิบสี่ปีกันทั้งนั้น แต่เจ้าตัวเล็กนี่ดูยังไงก็เหมือนเด็กห้าขวบ ดังนั้นเมื่อเด็กน้อยตามมา จงแดก็เล่นด้วยจนกระทั่งสนิทกันในที่สุด

    ภายหลังจากนั้นไม่กี่ปี เขาก็เทียวเข้าเทียวออกวังอีเดนเป็นว่าเล่น เหตุผลหนึ่งก็เพื่อมารายงานสภาพอากาศกับราชาแห่งเทพและอีกเหตุผลก็เพื่อแวะมาหาเพื่อนตัวน้อยของเขาซึ่งตอนนี้ตัวใหญ่เท่ากันแล้ว จงแดจึงกลายเป็นเพื่อนสนิทของแบคฮยอนไปโดยปริยาย ด้วยอายุห่างกันแค่สี่ร้อยปีทำให้พวกเขาคบกันด้วยความจริงใจและจงแดก็รู้ว่าเจ้าเพื่อนตัวดีนั้นแสบขนาดไหน

    แม้ว่าด้วยเหตุผลส่วนตัวหลังๆ จึงห่างกันไป เจอกันยี่สิบปีครั้งหนึ่งเห็นจะได้ แต่เพราะแบคฮยอนทำงานมัคคุเทศก์และมีโอกาสมาเที่ยวบนโลกบ้าง จงแดจึงเคยพาเจ้าตัวเล็กไปเที่ยวอยู่และได้รับรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายเรื่อยมา

    นึกถึงตรงนี้ก็ตลกเช่นกัน เนื่องจากความทรงจำวัยเด็กของแบคฮยอนบางทีก็ขาดหาย จึงจำไม่ได้ว่าเขาเองนั้นรู้ดีว่าแบคฮยอนเป็นหลานของซูโฮราชาแห่งเทพ แต่พอซูโฮรู้เรื่องนี้ก็ถูกขอร้องให้ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียอย่างนั้น จงแดจึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าแบคฮยอนเป็นอะไรกับซูโฮ นั่นจึงทำให้เจ้าเด็กนั่นโมโหบ่อยครั้งยามอยากจะอวดว่าท่านตานั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน

    ตั้งแต่ตอนนั้นจงแดก็ติดต่อกับซูโฮตลอดมา จึงได้รับรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายจนล่าสุดที่รู้ข่าวคือไปเป็นลัคกี้วันในนรกเสียแล้ว แถมยังเป็นเทวดาสุดที่รักของพญามารชื่อชานยอลอีกด้วย



    แล้วทำไมเจ้านั่นถึงโผล่มาหาเขาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเอาตอนเช้านี่ล่ะ!!

    “ว่างายยยย จงแดเพื่อนรัก” แบคฮยอนในสภาพเนื้อตัวมอมแมมมีรอยเลือดติดที่เสื้อกระโจนใส่เขาเหมือนหมาน้อยพบเจ้านายที่หายไป เล่นเอาจงแดปรับตัวไม่ทันเพราะไม่คาดคิดว่ากริ่งประตูหน้าบ้านจะดังขึ้นจากฝีมือเจ้านี่ได้

    “เจ้า! แบคฮยอน มาได้อย่างไรเนี่ย?!” จงแดจำต้องรับกอดเพื่อนแล้วผละเจ้าตัวเหม็นออกอย่างไว จากนั้นก็พลิกตัวแบคฮยอนไปมาเพื่อหาว่าเจ้านี่มีบาดแผลหรือเจ็บหนักหรือไม่ อืม... ไม่มี ค่อยโล่งใจหน่อย
    “จงแดอ่า ข้าหิวจังเลย พาไปกินข้าวหน่อย” แบคฮยอนนั้นหลังจากกอดเพื่อนรักก็ร่ำร้องหาแต่ข้าว เล่นเอาจงแดส่ายหน้าด้วยความระอา เจ้าตัวน้อยนี่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เอาเรื่องกินเป็นหลัก เอาเป็นว่าเดี๋ยวเขาค่อยซักมันละกันว่ามาที่นี่ได้อย่างไร ตอนนี้คงต้องพาเจ้าเด็กดื้อเข้าบ้านก่อน

    จงแดพาแบคฮยอนไปอาบน้ำแล้วให้ยืมเสื้อผ้า หลังจากทำกับข้าวกินง่ายๆ เขาก็โทรไปลางานกับหัวหน้าอาวุโสด้วยเหตุผลว่ามีธุระด่วน แล้วก็มานั่งมองเทวดาน้อยสวาปามข้าวราวกับไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

    “เอ้า เบาๆ หน่อยเจ้าตัวเล็ก เดี๋ยวก็เปื้อนเสื้อหมด เพิ่งอาบน้ำมานะ” จงแดตีมือแบคฮยอนที่กำลังจะตักข้าวคำใหญ่แบบไม่สนว่าจะเปื้อนตัวเอง ซึ่งก็โดนทำหน้าเหม็นบูดใส่หนึ่งรอบ จงแดจึงเลิกคิ้วเข้าให้ เจ้านั่นจึงยอมแพ้แล้วตักข้าวคำใหม่เป็นคำเล็กๆ อย่างว่าง่ายทันที

    “ตกลงเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ทะเลาะกับพญามารมาหรือ?”
    พรวด!
    จงแดพูดแซวเล่นแต่คาดไม่ถึงว่าแบคฮยอนจะพ่นข้าวใส่หน้าเขามาหนึ่งพรวด แทงใจดำหรือเนี่ย?

    “แค่กๆ จงแด ข้าขอโทษ” แบคฮยอนรีบขอโทษเพื่อนทันที
    “ไม่เป็นไร รออยู่ตรงนี้นะ” จงแดปาดเอาเศษข้าวที่ติดตรงหน้าออกจากนั้นลุกจากโต๊ะไป

    เพราะข้าวที่พ่นออกมาจากปากเทวดาตัวน้อยเต็มเสื้อเขาไปหมด จงแดจึงต้องอาบน้ำเสียใหม่ หลังจากสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยเขาก็ได้รับเวทสื่อสารที่คุ้นเคย พลังแบบนี้น่าจะเป็นซูโฮราชาแห่งเทพ

    “สวัสดีขอรับท่านราชา” จงแดรับเวทสื่อสารแล้วก็กล่าวทัก
    “จงแด เจ้าอย่าเสียงดัง แบคฮยอนอยู่กับเจ้าใช่ไหม” ซูโฮกล่าวเสียงเบาราวกับกลัวใครได้ยิน
    “ขอรับ ไม่ทราบว่า...” จงแดกำลังจะถามกลับว่านี่มันเรื่องอะไรแบคฮยอนถึงโผล่มาที่นี่ก็โดนขัดก่อน
    “ตอนนี้ชานยอลกับแบคฮยอนกำลังทะเลาะกันน่ะ” ปลายสายเวทตอบมา
    “อา... ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ถ้าอย่างนั้นก็ให้แบคฮยอนอยู่ที่นี่สักพักไหมขอรับ ข้าจะเกลี้ยกล่อมเขาให้” จงแดเข้าใจสถานการณ์แล้ว จึงตอบรับและยังเสนอตัวแก้ปัญหาให้ด้วย
    “ข้าก็ต้องการเช่นนั้น แต่จงแดฟังก่อน ตอนนี้แบคฮยอนน่ะ...” ซูโฮเล่าให้ฟังถึงสถานการณ์ปัจจุบันของแบคฮยอนว่าทะเลาะกันเพราะอะไรและทำไมแบคฮยอนจึงเป็นแบบนั้น สร้างความตกใจให้กับจงแดไม่น้อย เนื่องจากเขาเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าแบคฮยอนเป็นผู้มีพลังสว่างมากมาย แถมยังควบคุมพลังไม่ได้ด้วย

    “แล้วตอนนี้ที่นรกเป็นอย่างไรขอรับ” จงแดอดเป็นห่วงไม่ได้ เพื่อนของเขาสร้างความเสียหายให้ทางนรกมากขนาดนั้น ไม่รู้ว่าพญามารนั้นรักเพื่อนเขามากพอจะให้อภัยหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นจะให้แบคฮยอนหลบอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่กันเล่า
    “ที่นรกไม่เป็นไร แบคฮยอนไม่ได้สร้างความเสียหายเท่าใดนัก แต่ที่พวกเรายังไม่ออกไปตามหาแบคฮยอน เพราะเราคิดว่าเขาจะไปหาเจ้า” ซูโฮตอบมา พาให้จงแดเคารพราชาแห่งเทพทั้งในฐานะผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์และท่านตาของแบคฮยอนมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
    เทพอาวุโสตนนี้ถึงกับรู้ว่าแบคฮยอนจะมาหาเขา แถมยังคิดจะให้เขาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของแบคฮยอนคอยเกลี้ยกล่อมเจ้านั่นด้วย เรื่องพลังนั้นเทวดาสายควบคุมสภาพอากาศไม่รู้อะไรมากนัก แต่หากจะหาใครที่รู้จักเทวดาตัวน้อยดีที่สุดต้องตอบว่าจงแดแน่นอน เขาเองอยู่กับเจ้าตัวเล็กมานาน มีวิธีร้อยแปดในการเกลี้ยกล่อมให้แบคฮยอนยอมเลิกทำตัวเป็นเด็กงอแงเช่นนี้แน่

    “ถ้าอย่างนั้นก็บอกพวกเผ่ามารให้วางใจได้ขอรับ ข้าจะจัดการเจ้าเทวดาเด็กดื้อให้” จงแดรับคำ จากนั้นเมื่อซูโฮวางใจจึงได้ตัดสายเวทสื่อสารไป
    เทวดาหนุ่มเอ่ยกับตนเองพลางครุ่นคิด “สงสัยต้องพาไปเที่ยวเสียหน่อยล่ะมั้งเนี่ย”


    ****lucky one and monster****


    “ขนมสายไหมก็น่ากิน อ๊ะ นั่นมาการองนี่นา” แบคฮยอนชี้ไปทางร้านขนมจากนั้นก็ลากจงแดไปอย่างรวดเร็ว เล่นเอาเทวดาเพื่อนสนิทสายศีรษะด้วยว่าระอาในความเป็นเด็กตื่นตลาดของเขา
    “ค่อยๆ เดินสิเด็กน้อย นายน่ะตัวโตจนหมาเลียตูดไม่ได้แล้วนะ ยังจะวิ่งไปหาขนมอย่างกับเด็กๆ อีก” จงแดบ่นแต่ก็ยอมให้แบคฮยอนลากไปโดยดี

    เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน หลังจากแบคฮยอนกินข้าวเสร็จก็ง่วงนอน จงแดจึงพาไปนอนและปล่อยให้เพื่อนได้พัก จนเมื่อเจ้าตัวดื้อตื่นขึ้นก็ทำหน้าเศร้าเหมือนกำลังคิดหนัก เทวดาอายุมากกว่าจึงพามาตลาดเพื่อเปิดหูเปิดตาและลืมความเศร้าเสียบ้าง

    ตอนนี้แบคฮยอนเลยทำตัวเหมือนตอนเป็นเทวดาเด็ก คอยออดอ้อนให้จงแดซื้อนั่นซื้อนี่ให้ เจ้าตัวแสบนี่ร้ายนัก บอกว่าไม่มีเงินและไม่ได้เอาบัตรกดเงินมา จึงให้จงแดคอยตามจ่ายให้ตลอด แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันถ้าเจ้านี่ทำหน้าเศร้าตลอด จงแดก็ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมให้กลับไปหาท่านชานยอลได้อย่างไร

    พอเดินซื้อขนมไปมากมายก็เกิดหิวจานหลัก จงแดจึงพาแบคฮยอนมาพักที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งไม่ไกลจากตลาดนัก

    “นี่ ใจเย็นๆ อย่ารีบกินสิ ไม่มีใครแย่งนายหรอก” จงแดตีมือแบคฮยอนที่กำลังจะตักกับข้าวคำโตเหมือนตอนเช้า เจ้านี่น่ะพอหิวก็จะตักกินคำโตโดยไม่สนใจขนาดปากของตนเองแบบนี้ตลอดเลย
    “แหะๆ ค่อยๆ กินก็ได้” แบคฮยอนยิ้มรับจากนั้นก็ตักข้าวคำที่เล็กลงจากเมื่อครู่ไปนิดเดียวเข้าปากไป แต่ปากเทวดาก็เล็กตามขนาดตัวนั่นแหละ ข้าวเม็ดหนึ่งจึงติดมุมปากเข้าให้
    จงแดเห็นดังนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบข้าวเม็ดนั้น จากนั้นก็เอาเข้าปากอย่างไม่คิดอะไร แต่การกระทำนี้กลับทำให้แบคฮยอนนิ่งไปราวกับกำลังมองเห็นภาพซ้อนจงแดเป็นใครอื่น

    เพราะจงแดอ่อนโยนคล้ายชานยอล…

    ตั้งแต่ตัดสินใจคบกัน ชานยอลก็มักจะพาแบคฮยอนที่อารมณ์เสียไปกินข้าวเพื่อดับอารมณ์บ่อยๆ ซึ่งแบคฮยอนมักจะกินข้าวแล้วมีข้าวเลอะติดมุมปากทุกครั้งไปและชานยอลก็จะหยิบข้าวเม็ดนั้นมากินต่อหน้า ก่อนจะขู่ว่าถ้ากินเลอะอีกจะจูบเข้าให้ แบคฮยอนจึงแกล้งกินให้เลอะกว่าเดิมแล้วยิ้มระรื่นเมื่อถูกจูบ สุดท้ายเขาก็หายอารมณ์เสียและจบลงที่เตียงเกือบทุกครั้ง

    แต่ตอนนี้แบคฮยอนกลับทิ้งชานยอลมาบนโลกมนุษย์นี้เสียแล้ว จะกลับไปก็ยังไม่กล้า ตนเองทำเรื่องแย่ๆ ไว้มากนัก แถมตอนนี้แม้แต่ทหารมารมาตามหาเขาสักตนก็ไม่มี สงสัยจะโดนชานยอลทิ้งเข้าให้แล้ว

    จงแดเมื่อเห็นเพื่อนรักเงียบไปก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงตักข้าวคำใหญ่มายัดใส่ปากเล็กนั่นเสียเลย

    “เอ้า นิ่งเงียบไปทำไม อาหารร้านนี้อร่อยจนนายน้ำตาไหลเลยรึไงหื้ม”
    แบคฮยอนมีข้าวที่จงแดตักใส่เต็มปากเลยพูดไม่ชัด “องแออ้า(จงแดบ้า)” ว่าเพื่อนไปหนึ่งทีแบบไม่รู้เรื่องแล้วจากนั้นก็นั่งกินข้าวต่อ แม้ในใจจะคิดถึงคนรักในนรกไม่น้อย

    เทวดาตัวเล็กไม่รู้เลยว่าจงแดมองออกว่าเขากำลังเป็นอะไร อาการอย่างนี้จงแดเห็นมานักต่อนักแล้ว มันเรียกอาการคิดถึงคนรักชัดๆ ต่อหน้าเขาแบคฮยอนก็ทำเป็นว่าร่าเริงและลืมเรื่องที่ทะเลาะกับชานยอลมา แต่พอมีอะไรให้คิดถึงได้ก็ชะงักและน้ำตาไหลเงียบๆ เสียอย่างนั้น

    นี่แบคฮยอนคงจะรักเจ้าพญามารชานยอลอะไรนั่นไม่น้อยเลยสินะ เขาชักอยากเจอเจ้ามารนั่นเสียแล้ว จงแดคิดในใจ

    หลังจากกินข้าวจนอิ่ม จงแดก็พาแบคฮยอนไปช้อปปิ้งซื้อของใช้ต่อ ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กจะไม่มีอะไรติดตัวมาแม้แต่นิดเดียว ป๋าจงแดเลยกลายเป็นเทวดารูดปรื้ดจ่ายให้น้องเสียอย่างนั้น แม้ว่าเงินเดือนของเทวดาผู้ทำงานอย่างหนักมาสามร้อยกว่าปีอย่างเขาจะพอเลี้ยงอิหนูได้สบายๆ ไปหลายคน แต่ตรงนี้เขาจะเอาไปคิดบัญชีกับพญามารคราวหลังก็แล้วกัน
    จงแดจดหนี้ครั้งนี้ไว้ในใจละเอียดยิบเลยล่ะ เขาต้องคิดค่าดูแลเจ้าตัวเล็กและค่าเกลี้ยกล่อมให้กลับนรกด้วย

    “จงแดอ่า นายสะดวกจริงๆ ใช่ไหมที่จะให้ฉันอยู่ด้วย” เพราะอยู่บนโลกจึงต้องใช้สรรพนามของโลก แบคฮยอนเห็นจงแดเงียบไปจึงถามขึ้นมา เผื่อว่าเพื่อนไม่สะดวก เขาจะได้ไม่รบกวนมากนัก แต่จะไปที่ไหนค่อยคิดอีกทีละกัน
    “หา? อ่อ สะดวกสิ บัญชีหนี้ก็ค่อยให้ชานยอลจ่ายให้ ดีมั้ย” จงแดพอหลุดจากภวังค์ก็เล่นแบคฮยอนไปหนึ่งดอก ทำเอาเทวดาตัวเล็กหน้าม้านทันที
    “เอ่อ ถ้าเขายังไม่โมโหฉันมากเกินไปน่ะนะ” แบคฮยอนก้มหน้าพลางตอบจงแดเสียงเบา
    “เอาล่ะ ฉันว่านายต้องเล่าอะไรให้ฉันฟังได้แล้ว” จงแดไม่ปล่อยให้แบคฮยอนต้องเงียบต่อ เขาเองทำทีว่าไม่รู้เรื่องต่อไปไม่ไหวแล้ว จำต้องคาดคั้นเจ้าตัวเล็กให้เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นให้จงได้ จากนั้นเขาก็จะอาศัยตอนที่แบคฮยอนรู้สึกผิด ค่อยๆ เกลี้ยกล่อมเจ้านั่นให้กลับไปหาคนรักของตนเองซะ
    “จงแดอ่า ไม่เล่าไม่ได้เหรอ ฉันยังไม่พร้อม” แบคฮยอนพอโดนคาดคั้นก็น้ำตาคลอ แม้มุกนี้ใช้กับเพื่อนไม่เคยได้ผลแต่ก็ทำตลอดเพราะสุดท้ายจงแดก็จะยอมโอนอ่อนให้เขาอยู่ดี
    “อย่ามาทำเป็นน้ำตาคลอ นายก็รู้ว่าฉันรู้จักนายดีกว่าใคร เลิกทำหน้าเป็นหมาไม่ได้กินอาหารแล้วเล่าทุกอย่างมาเดี๋ยวนี้นะ” สรุปว่าน้ำตาคลอของแบคฮยอนคราวนี้ไม่ได้ผลกับจงแดเลยสักนิด เพื่อนรักจึงได้ลากเขาขึ้นรถจากนั้นก็ขับออกไปโดยบังคับให้เล่าความจริงให้ฟังทุกอย่าง

    แบคฮยอนจึงต้องเล่าเรื่องราวความเป็นมาหลายอย่าง ย้อนตั้งแต่ตอนเจอชานยอลครั้งแรกแล้วอีกฝ่ายทำเครื่องหมายบนตัวเขาไว้ ซึ่งพอพูดถึงตรงนี้แบคฮยอนก็มีน้ำตาซึมออกมา เห็นว่าเครื่องหมายนั้นทำให้ชานยอลสามารถหาแบคฮยอนเจอไม่ว่าอยู่ไหน ทำไมตอนนี้ถึงได้ไม่มาหาเขาเล่า มันน่าน้อยใจนัก

    จงแดเมื่อเห็นน้ำตาเพื่อนรักก็ยอมโอนอ่อนให้ว่าถ้าอย่างนั้นถึงบ้านค่อยเล่าออกมาก็ได้ แต่เมื่อเทวดาขับรถไปได้ครึ่งทาง ก็พบกับเหตุการณ์ประหลาดเข้า

    ปกติทางไปสถานีจัดการสภาพอากาศมักจะเงียบสงบเพราะอยู่ในป่าลึกใช้ได้ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีรถยนต์หรือยานพาหนะอื่นให้เห็น แม้แต่คนก็ยังไม่ค่อยมาเดินตรงนี้เพราะพวกเทวดาโบราณได้ทำเขตกำกับไว้ หากมนุษย์ทั่วไปมาเห็นเข้าก็จะคิดว่าเป็นทางไปบ้านร้างหรืออะไรทำนองนั้น

    แต่วันนี้จงแดต้องเบรกรถกะทันหันเพราะบนถนนมีคนนอนอยู่ ซึ่งสภาพไม่ค่อยดีนัก

    “จงแดเบรกทำไม” แบคฮยอนกำลังจะทักแต่จงแดกลับบอกให้เงียบเสียงก่อน จากนั้นเทวดาแก่กว่าก็ร่ายเวทกางบาร์เรียครอบไว้ก่อนจะลงจากรถเพื่อไปดูคนคนนั้น ไม่รู้ว่าแน่นิ่งอย่างนี้จะเป็นศพไปแล้วหรือเปล่า

    เมื่อเข้าไปใกล้ก็พบว่าร่างที่นอนอยู่เป็นผู้ชายคนหนึ่ง สวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คอย่างดีหากแต่มีรอยขาดเป็นทางยาวหลายรอย ท่าทางนั้นราวกับว่าหมดสติไป จงแดจึงเข้าไปเขย่าเพื่อปลุก

    “คุณๆ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” จงแดกล่าวภาษาสุภาพของโลก จากนั้นก็เขย่าตัวคนนั้นเรื่อยๆ

    แสงไฟจากรถทำให้จงแดเห็นหน้าคนคนนั้น ใบหน้ารูปไข่มีผมสีบลอนด์ปกคลุมบางส่วน แม้จะมีรอยเปื้อนทั่วใบหน้าและมีรอยแผลประปรายแต่ก็เห็นได้ชัดว่าหน้าตาค่อนข้างน่ารัก จงแดเกลี่ยเส้นผมที่คลุมหน้านั้นออก จากนั้นก็ค่อนข้างตกตะลึงไม่น้อย

    ใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้งดงามยิ่งกว่าใครที่เขาเคยเห็นมา ยามหลับตานั้นหางตายกขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ถึงกับน่าเกลียด คิ้วได้รูปขมวดนิดแต่ก็ทำให้ดวงหน้านั้นยังคงความงามอยู่ไม่น้อย แล้วเมื่อตานั้นกะพริบปริบๆ เขาก็พบว่าดวงตาสีน้ำตาลเทาของอีกฝ่ายนั้นทำให้ความสวยประทับลงกับหน้าของชายหนุ่มได้อย่างลงตัวทีเดียว

    ชายหนุ่มเมื่อลืมตาขึ้นก็เอ่ยเสียงเบา “หนีไป...”
    กล่าวแล้วก็ไอออกมาเป็นเลือดคำหนึ่ง “หนีไป... พวกมันอยู่ที่นี่... อย่าให้โดนจับ” พูดถึงตรงนี้ชายหนุ่มในอ้อมกอดของจงแดก็หมดสติไปอีกครั้ง เทวดาจึงเรียกแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เขาจึงอุ้มชายหนุ่มขึ้นแนบอกหวังจะพาไปรักษาตัวที่บ้าน

    แต่เมื่อจงแดเดินกลับไปยังไม่ถึงรถก็เจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้า

    ชายในชุดดำปรากฏตัวขึ้นจากทุกมุมมืด จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเทวดาอายุห้าร้อยปีจะมีฤทธิ์ไม่น้อยแต่จงแดก็ไม่ได้ฝึกการต่อสู้มาโดยตรง จึงได้แต่ยิงสายฟ้าเข้าใส่กลุ่มชายชุดดำเหล่านั้น ก็สามารถทำให้พวกนั้นล้มได้ส่วนหนึ่ง

    แบคฮยอนที่อยู่ในรถมองพวกเขาอย่างตื่นตระหนก จงแดกำลังจะบอกให้เพื่อนอยู่ในรถแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อแบคฮยอนเปิดประตูรถออกมา ชายชุดดำดังกล่าวก็พุ่งเข้าใส่แบคฮยอนแทน แม้ว่าเพื่อนของเขาจะพลังเยอะมากแต่เนื่องจากศัตรูอาศัยจังหวะหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ จงแดเห็นชายชุดดำคนหนึ่งรีบพุ่งไปประชิดตัวแบคฮยอน จากนั้นก็เอาผ้าโปะปากเพื่อนเขา แบคฮยอนขัดขืนนิดหน่อยแต่ไม่นานก็ล้มฟุบเสียอย่างนั้น

    “แบคฮยอน!” จงแดตะโกนเสียงดังแต่ก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวเพื่อนได้ ตอนนี้เขาอุ้มชายหนุ่มที่หมดสติไว้แนบอกมือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็ส่งสายฟ้าใส่ชายชุดดำเป็นระวิง แถมจังหวะที่เขาชะงักเพราะตะโกนใส่แบคฮยอนเมื่อครู่ยังทำให้พวกมันคนหนึ่งประชิดตัวเข้ามาได้อีก

    จงแดรับรู้เป็นครั้งสุดท้ายว่าเขานั้นถูกเตะเข้าที่ท้องอย่างแรงแล้วก็โดนเข็มฉีดยาปริศนาปักที่หัวไหล่ หลังจากนั้นก็เหมือนโลกหมุนอย่างรวดเร็วก่อนรอบตัวจะมืดลงแล้วเขาก็ล้มไปพร้อมกับชายหนุ่มผู้งดงามในอ้อมอกคนนั้น


    (ในอีกมุมหนึ่ง)

    ชายชุดดำหยุดลงมือตามที่เขาสั่งแล้ว พวกนี้ต้องฟังเขาอยู่แล้วเพราะเป็นลูกน้องที่ไว้ใจมากนัก หลังจากนั้นทั้งหมดก็พาเทวดาที่จับได้ขึ้นรถเตรียมเอาไปกักขังตามแผน

    เขามองทุกคนทำตามคำสั่งอย่างใกล้ชิด ให้แน่ใจว่าเทวดาที่หมายปองไว้จะขึ้นรถทั้งหมด แต่เขาก็ก็คิดได้ว่าหนึ่งในนั้นมีสิ่งที่คล้ายสัญญาณตามตัว มือหนึ่งจึงคว้าคัมภีร์เวทมาจากอากาศว่างเปล่า จากนั้นก็ร่ายมนตร์หนึ่งบท ชื่อของมารตนหนึ่งก็ปรากฏบนหลังคอของเทวดาตนนั้น

    มือขวาใช้มีดกรีดข้อมือซ้ายแล้วหยดเลือดตนลงบนรอยนั้น ปากก็ท่องมนตร์ต่อ เลือดก็หลั่งไหลไม่ขาดสาย สักพักชื่อของมารก็ถูกบดบังด้วยเลือดของเขาจนกระทั่งกลายเป็นแถบสีดำๆ ตรงหลังคอเทวดานั่นแทน เท่านี้พวกนั้นก็จะตามไม่เจอแล้ว

    “ท่านครับ อีกคนจะให้จัดการยังไงครับ” ลูกน้องคนสนิทถามเขาเมื่อพิธีปิดบังเสร็จสิ้น พลางชี้ไปที่เทวดาอีกตนหนึ่ง
    “จับไปด้วยกัน น่าจะใช้ประโยชน์ได้” เขากล่าวแล้วก็เดินกลับไปยังรถของตนเอง
    “ครับ ผมจะดูแลให้ทุกอย่างเรียบร้อย” ลูกน้องของเขาให้สัญญา

    จากนั้นเขาก็มองทุกอย่างจากในรถตนเอง เมื่อเห็นว่าลูกน้องลำเลียงเทวดาที่จับได้ขึ้นรถและออกไป เขาก็ขับตามในระยะประชิด

    จนกระทั่งถึงสถานที่แห่งหนึ่ง เขาก็ยิ้มออกมาช้าๆ

    “หวังว่าข้าจะสามารถใช้งานเจ้าได้นะ แบคฮยอน”




    ความวัวไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรกไหมล่ะ

    #luckyonecb
    @noeybaekbd




    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 20 ซุปเปอร์อิลลูมิเนติ

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Fri Aug 26, 2016 10:10 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 20
    ซุปเปอร์อิลลูมิเนติ






    แบคฮยอนรู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนจะเช้าแล้ว สิ่งที่ทำให้ระบุได้ว่าเช้าคือแสงแดดแยงเข้าตาตนเองเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแบคฮยอนระบุอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง

    ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นก็พบว่ากำลังนั่งอยู่ในห้องนอนขนาดประมาณไม่กี่เมตรคล้ายห้องในโรงแรมแบบแคปซูล ในห้องมีแค่เตียงที่เขานั่งและโต๊ะกับเก้าอี้สีขาวเท่านั้น บรรยากาศคล้ายโรงพยาบาลเพราะทุกอย่างเป็นสีขาวไปหมด แต่โรงพยาบาลคงไม่มีหน้าต่างลูกกรงเหล็กเหนือศีรษะแบบนี้แน่ๆ

    ที่นี่ที่ไหน?

    พอนึกทวนความทรงจำก็พบว่าปวดศีรษะเหลือเกิน มือจึงเอื้อมไปหยิบน้ำดื่มที่วางบนโต๊ะ จากนั้นก็ค่อยตั้งสติได้ เขาจำได้แล้วว่าเมื่อวานหรือไม่ก็วันก่อน ไม่รู้ว่าตอนนี้ผ่านไปกี่วันแล้ว เขากับจงแดเพื่อนสนิทไปซื้อของใช้ของกินเพื่อรองรับการลี้ภัยของแบคฮยอน แต่ขากลับดันเจอพวกไหนไม่รู้แอบซุ่มจัดการ

    ก็เลยถูกจับมาที่นี่สินะ แบคฮยอนคิด

    ตรงข้ามกับเตียงที่นั่งอยู่คือประตูขนาดพอดีกับร่างกายเล็กของเขา แบคฮยอนเมื่อหายเวียนหัวจึงลุกขึ้นแต่ก็ปวดแปลบตรงท้ายทอยเสียอย่างนั้น เมื่อจับดูก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับคอเหมือนจะมีอะไรแปะทับแต่หาไม่เจอ เขาเลิกใส่ใจเรื่องคอไปก่อน จากนั้นก็ลุกขึ้นจับลูกบิด

    แกร๊ก! ประตูเปิดได้ งั้นเขาก็ต้องหาทางหนีสินะ

    มือสวยค่อยๆ ขยับลูกบิดประตูให้เบาที่สุด จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นหน้าออกไป ภาพที่เห็นทำให้แบคฮยอนงงไปหมด

    สองข้างประตูมีทางยาวสุดลูกหูลูกตา ทุกอย่างเป็นสีขาวเช่นเดียวกับห้องนอนของเขา แต่ละฟากของทางเดินมีประตูขนาดพอๆ กับห้องของเขาเรียงราย แต่ประตูทุกห้องมีเลขติดอยู่ด้วย เมื่อเหลือบดูห้องตนเองจึงได้รู้ว่านี่คือห้องศูนย์ศูนย์สี่ ตรงกันข้ามคือศูนย์ศูนย์สาม และขวามือคือศูนย์ศูนย์สองและศูนย์ศูนย์หนึ่ง

    ถัดจากนั้นก็เป็นห้องอะไรแบคฮยอนก็ไม่ทราบได้เพราะยังไม่ได้เดินไปดู สองตากลอกไปมาเพื่อพิจารณาทางหนีและสมองก็คิดว่าทางขวาน่าจะเป็นทางออกจึงค่อยๆ ปิดประตูแล้วเดินย่องอย่างเชื่องช้า แม้ชุดที่ใส่จะเป็นเสื้อและกางเกงขายาวสีขาวเช่นกันกับผนัง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้แบคฮยอนเนียนไปกับผนังที่นี่สักนิด

    ไม่มีป้ายใดบ่งบอกว่าทางไหนคือทางออก แต่เพราะถัดไปทางซ้ายคือห้องศูนย์ศูนย์ห้าหกเจ็ดแปดไปเรื่อยๆ แบคฮยอนจึงได้แต่มาห้องทางขวาเพื่อหวังจะเจออะไรอย่างเช่นทางออกบ้าง มือน้อยค่อยๆ แตะฝาผนังแล้วเดินไปเรื่อยๆ เมื่อพบห้องที่สงสัยก็ลองส่องเข้าไปทางกระจกตรงประตูแต่ไม่เห็นแสงหรืออะไรจึงเดินไปอีก

    แล้วจู่ๆ ประตูหนึ่งในนั้นก็เปิดขึ้น

    แบคฮยอนจึงหลบหลังตู้ดับเพลิงซึ่งอยู่ข้างฝาผนังพอดีเพื่อให้พ้นสายตาของผู้ที่จะออกมาจากประตูนั้น

    ร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงสีขาวปรากฏตัวขึ้นพร้อมสัญลักษณ์แปลกๆ ที่หน้ากากสีแดงซึ่งคร่อมใบหน้าปิดกระทั่งดวงตาจนมิด สิ่งนั้นทำให้แบคฮยอนไม่ทราบว่าหญิงสาวกำลังมีอารมณ์เช่นไร มองเห็นเขาหรือไม่ แต่พอเหลือบมองของที่ถือเป็นอุปกรณ์ผ่าตัด ทั้งมีดเอย เข็มฉีดยาเอยก็พาให้แบคฮยอนหน้าซีด ที่สำคัญ! หญิงสาวกำลังเดินมาทางนี้แล้ว!

    ร่างเล็กของเทวดาจำต้องเปิดประตูด้านข้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ พอพบว่าประตูไม่ล็อกก็เปิดออกแล้วเข้าไปหลบทันที

    ห้องห้องนั้นแทบจะมืดสนิทมีเพียงแสงสว่างจากทางเดินส่องมา จากนั้นเมื่อสายตาปรับได้ เขาจึงเห็นว่ามีแสงส่องเล็กน้อยมาจากประตูด้านขวามือ แบคฮยอนจึงวิ่งไปตรงนั้นแล้วกระชากประตูก่อนจะเข้าไปในนั้นเพื่อหลบหญิงสาวปริศนาอีกชั้นหนึ่ง

    ร่างเล็กกำลังเอาหูแนบประตูที่เพิ่งปิดไปเพื่อดูว่าหญิงสาวตามมาหรือไม่ ทันใดนั้นแสงสว่างก็ พรึ่บ! คล้ายมีใครเปิดไฟ จากนั้นไหล่เขาก็ได้รับสัมผัสจากมือปริศนา

    แบคฮยอนร้องจ๊ากด้วยความตกใจ มือทั้งสองปิดใบหน้าพร้อมร้องอย่านะ! หัวใจลงไปอยู่ตาตุ่มเรียบร้อยแล้ว

    “แบคฮยอน?” แต่แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น

    ร่างเล็กเงยหน้ามาก็พบว่าห้องนั้นมีคนสองคนนั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าเขา ไม่ใช่สิ หนึ่งในนั้นคือเพื่อนของเขาเอง เป็นเทวดาไม่ใช่คน จงแดนั่นเอง!

    “จงแด!” แบคฮยอนเหมือนเด็กขวัญผวา โผเข้าหาเพื่อนแล้วร้องไห้ จงแดเมื่อเห็นเด็กน้อยโผมาก็กอดรับพร้อมตบหลังเบาๆ เพื่อให้คลายกังวล เสียงนุ่มของเทวดาอายุห้าร้อยปีส่งเข้ามาในโสตประสาทของแบคฮยอนว่า “ไม่เป็นไร แบคฮยอน ไม่เป็นไร” หลายครั้งจนกระทั่งเสียงสั่นเครือของแบคฮยอนหายไปในที่สุด

    ร่างเล็กจึงผละออกจากอกเพื่อนแล้วปล่อยให้จงแดเช็ดน้ำตาให้ แม้ร่างกายของทั้งคู่มีขนาดไม่ต่างกันนักแต่จงแดอบอุ่นกว่ามาก แบคฮยอนจึงวางใจแล้วหยุดร้องไห้ในที่สุด หลังจากขวัญผวาเมื่อครู่

    “นายดีขึ้นแล้วใช่ไหมแบคฮยอน” จงแดยังคงลูบศีรษะของเพื่อนรักอยู่ น้ำเสียงอ่อนโยนมากถึงสิบส่วน
    “อือ” แบคฮยอนเมื่อหายตกใจจึงหันไปมองรอบๆ ทันที

    เขาและจงแดกำลังนั่งอยู่ในห้องสีขาวขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง ทั่วห้องมีสายระโยงระยางเชื่อมกับวงเวทและน้ำยาต่างๆ คล้ายห้องนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องกับห้องนักเวทรวมกัน แบคฮยอนมองของเหลวและกลุ่มควันที่อยู่ในของเหล่านั้นก็สัมผัสถึงไอเวทบางส่วน จากนั้นเขาก็มองมาที่มนุษย์คนเดียวในห้องซึ่งยิ้มแฉ่งรอเขานานแล้ว

    “สวัสดี” มนุษย์คนนั้นทักเขาก่อน
    “สะ สวัสดี” แบคฮยอนจึงทักตอบตามนั้นแต่เสียงยังสั่นเล็กน้อย
    “ผมชื่อมินซอก เป็นนักวิจัยครับ” ชายคนนั้นแนะนำตัวแล้วยื่นมือมาหา
    “อ่อ เอ่อ ผมชื่อแบคฮยอน” เทวดาจับมือมนุษย์แล้วเอ่ยแนะนำตัวเช่นกัน แต่อาชีพเทวดานั้น ก็ไม่รู้ว่าจะบอกอีกฝ่ายว่าอย่างไรดี แม้จะเห็นว่าคนตรงหน้าดูจะรู้จักเวทไม่น้อยก็เถอะ
    “คุณเป็นเทวดาสินะ”
    “ทำไมคุณถึงรู้” แบคฮยอนกลับต้องอึ้งเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยทัก พอหันไปมองก็พบว่าจงแดกำลังยิ้มกว้างก็ให้เข้าใจว่าโดนเพื่อนเอาไปแฉแล้วแน่ๆ
    “ใช่ครับ คุณจงแดบอกผมแล้ว และนั่นทำให้ผมรู้สึกขอบคุณมากทีเดียว”
    “ทำไมต้องขอบคุณด้วยล่ะครับ?”

    แบคฮยอนถามมนุษย์พลางทำหน้าสงสัย จงแดจึงอาสามาช่วยอธิบายความนัยนี้ เริ่มต้นจากที่ว่าเทวดาทั้งสองพบคนนอนพับอยู่ข้างทางจึงลงไปช่วย มาทราบเอาทีหลังว่านั่นคือมินซอกนั่นเอง

    “นายนั่นเอง! ไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น?” แบคฮยอนอุทานมาครั้งหนึ่งจากนั้นจงแดก็อธิบายต่อ

    หลังจากถูกจับมา จงแดก็ได้สติในตอนเช้าตรู่ จากนั้นก็พบว่าอยู่ที่นี่แล้ว เทวดาอายุห้าร้อยปีรีบหาว่าเพื่อนอยู่ที่ใด จึงได้พบกับมินซอกเข้า มนุษย์หนุ่มเล่าว่าที่นี่เป็นสถาบันทดลองแห่งหนึ่งซึ่งเขาเองก็ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนของโลก เนื่องจากตอนเข้ามานั้นถูกปิดตาพามา และก็สารภาพว่าทั้งสองอาจจะถูกจับมาเพราะตัวเขานั่นเอง

    แบคฮยอนเบิกตากว้างว่าทำไมมินซอกเป็นนักทดลองแล้วพวกเขาต้องถูกจับด้วย มินซอกจึงเฉลย

    สถาบันทดลองแห่งนี้เหมือนจะมีเจ้าของเป็นผู้ทรงอิทธิพลของโลกคนหนึ่ง ซึ่งมินซอกไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร เดิมทีนั้นเขาเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้นซึ่งหลงใหลในศาสตร์อย่างเวทมนตร์และวิทยาศาสตร์ไปด้วยกัน เขาจึงค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็สามารถใช้เวทมนตร์ควบคู่กับการใช้อุปกรณ์พิเศษได้ขึ้นมา

    มินซอกเที่ยวเอางานวิจัยของเขาไปเสนอบริษัทใหญ่ๆ แต่ก็โดนหาว่าเพ้อเจ้อ แต่แล้วก็มีใครคนหนึ่งโทรหาเขาแล้วบอกว่าจะให้ทุนวิจัยมหาศาลแลกกับการมาทำงานที่นี่ ซึ่งเงินเดือนและทุนวิจัยนั้นแค่ส่วนหนึ่งแต่มินซอกสนใจในสถาบันมากกว่า แม้สถาบันจะลึกลับแต่อุปกรณ์นั้นล้ำสมัยกว่าใคร จึงได้ตกลงปลงใจมาทำงานที่นี่ โดยไม่รู้ว่านั่นคือการตัดอิสรภาพของตนเองเข้าให้แล้ว

    ถึงตรงนี้มือของมนุษย์มีเหงื่อชื้นและสีหน้าเป็นกังวล แต่จงแดเอามือตนเองไปกุมมือคู่นั้นไว้พร้อมมองหน้าอย่างมีความหมาย มินซอกจึงยิ้มแล้วเล่าต่อ ท่ามกลางใบหน้าสงสัยของแบคฮยอนที่เห็นพฤติกรรมทั้งหมดนั้น

    มินซอกเล่าต่อ เขามาถึงสถาบันแห่งนี้และค้นคว้าจนได้เครื่องมือทรงประสิทธิภาพชนิดหนึ่ง หากใส่พลังธรรมชาติคล้ายพลังสว่างของเทวดาหรือพลังมืดของมารเข้าไปก็จะทำให้สามารถควบคุมความคิดมนุษย์ที่เชื่อมต่อกับเครื่องนี้ได้ สามารถทำให้คนคนนั้นเปลี่ยนทัศนคติ หรือกระทั่งเปลี่ยนจากคนแบบหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่งได้แทบจะถาวร
    เครื่องมือนี้มันทั้งดีมากและอันตรายมากไปพร้อมๆ กัน เพราะหากตกอยู่ในมือคนดี เขาก็สามารถจะใส่ความคิดดีๆ ให้กับมนุษย์ผู้อื่น อาจจะทำให้คนร้ายในคุกปรับตัวเป็นคนดีได้ และทำให้โลกสงบสุข แต่หากอยู่ในมือคนชั่ว ก็จะทำให้คนดีกลายเป็นคนชั่วหรือกระทั่งทำให้ผู้นำประเทศกลายเป็นคนเลวและทำลายประเทศอื่นจนกระทั่งเกิดสงครามก็ได้

    แบคฮยอนฟังแล้วก็อึ้ง ไอ้เจ้าเครื่องมือต่างๆ ในห้องนี้หรือคือสิ่งนั้น หากเป็นจริงแล้วใครโดนจับไปใส่ความคิดแย่ๆ เข้า โลกก็ต้องแย่แน่

    แต่เมื่อเห็นแบคฮยอนเหลือบมองวงเวทและอุปกรณ์ทดลอง มินซอกกลับหัวเราะ

    “กองเครื่องมือพวกนี้ไม่ใช่เครื่องนั้นหรอก นี่แค่อุปกรณ์ทดลองของพวกเรา พวกเขาเก็บอิลลูมิเนติไว้อีกห้องหนึ่งซึ่งล็อกแน่นหนา”
    (อิลลูมิเนติ=illuminati หมายถึงผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ และเป็นองค์กรลับซึ่งรวมนักวิทยาศาสตร์ผู้ไม่เห็นด้วยกับพระเจ้าและคริสตจักร สัญลักษณ์ของอิลลูมินาติคือรูปปิรามิดมีดวงตาอยู่ข้างใน ส่วนสิ่งที่น่าสนใจสำหรับสารของอิลลูมินาติคืออักษรอ่านได้ทั้งสองด้าน แนะนำให้ลองอ่าน angels&demons ของ dan brown ดู สนุกมาก)

    “อิลลูมิเนติ?”
    “ชื่อของเครื่องนั้นอย่างไรล่ะ นายอยากไปดูไหม เดี๋ยวฉันพาไป” มินซอกตอบคำถามแบคฮยอนแล้วกล่าวอย่างใจกว้าง

    แบคฮยอนพยักหน้า จากนั้นทั้งสามก็ออกจากห้องนั้นมาอีกห้องหนึ่ง ซึ่งเยื้องไปไม่ไกลนัก

    พอแบคฮยอนมาถึงห้องนั้นก็หน้าซีด เพราะหญิงสาวสวมหน้ากากเมื่อครู่ยืนอยู่ข้างในเต็มไปหมด แม้มินซอกจะพาพวกเขามาเกาะกระจกแผ่นใหญ่หน้าห้องเท่านั้น แต่สัญลักษณ์คล้ายกระดูกเรียงกันเป็นรูปหกเหลี่ยมมองมุมหนึ่งคล้ายหัวกะโหลกบนหน้ากากของหญิงสาวเหล่านั้นก็หลอนเกินไป ขนาดยืนมีกระจกกั้นแบคฮยอนยังขาสั่นเล็กๆ

    “นายไม่ต้องกลัวหรอกนะ พวกนี้น่ะเป็นหุ่นยนต์ หากเราไม่ทำอะไรอันตรายร้ายแรงพวกมันก็จะไม่ทำอะไรเราทั้งนั้น”

    อะไรกันล่ะที่ร้ายแรง แบคฮยอนคิด เมื่อครู่ภาพหุ่นยนต์สาวถือถาดใส่อุปกรณ์ผ่าตัดเดินมาทางเขายังหลอนอยู่ไม่หาย คิดไม่ออกเลยว่าถ้าโดนจับได้จะโดนทำอะไรบ้าง

    “นั่นคืออิลลูมิเนติ” มินซอกเมื่อเห็นแบคฮยอนพยายามมองผ่านกระจก จึงชี้ไปที่จุดจุดหนึ่ง

    ข้างในห้องกระจกมีตู้กระจกหลายใบ ในนั้นจัดวางสิ่งของคล้ายหน้ากากอุปกรณ์วิชวลเรียลลิตี้สีขาวเงินวางอยู่สองอันต่อหนึ่งตู้ โดยทั้งสองมีแถบสีตรงหูฟังต่างกันอันหนึ่งสีแดงส่วนอีกอันสีฟ้า กลางหน้ากากคู่นั้นมีกล่องสีขาวเลี่ยมขอบด้วยโลหะสีสวยคั่นไว้ บนกล่องมีปุ่มอยู่ประมาณสี่ห้าปุ่มซึ่งแบคฮยอนก็เห็นไม่ชัดว่าเป็นอะไร เขาจึงมองมาทางมินซอกด้วยสายตาฉงนสงสัย

    “นั่นคืออิลลูมิเนติเวอร์ชั่นล่าสุด พร้อมใช้ทันทีเมื่อผ่านเงื่อนไข ประกอบด้วยหน้ากากเชื่อมต่อความคิดของผู้ถ่ายทอดสีแดงและผู้รับสีฟ้า ตรงกลางคือกล่องควบคุมซึ่งในนั้นใส่เวทเกี่ยวกับการอ่านความทรงจำและเวทฝังความคิดไว้ เมื่อผู้ถ่ายทอดใส่พลังธรรมชาติเข้าไปก็จะสามารถอ่านความทรงจำผู้รับได้ และจากนั้นก็จะถ่ายทอดความรู้สึกหรือความคิดที่จะทำให้ผู้รับเปลี่ยนไป”

    มินซอกเห็นแบคฮยอนหันไปถลึงตามองเครื่องมืออีกครั้งก็บรรยายสรรพคุณเครื่องมือของเขาต่อ

    “ปุ่มบนกล่องคือปุ่มระดับความแรงของการฝังความคิดและความรู้สึก มีตั้งแต่ไม่กี่วินาที ยาวนานไปจนถึงตลอดชีวิต ซึ่งฉันเคยทดลองแล้วพบว่าบางคนก็มีความคิดนั้นไปจนกระทั่งตายก็ไม่สามารถฟื้นตัวตนเก่าขึ้นมาได้”

    กล่าวถึงตรงนี้มินซอกก็ทำหน้าสลด จากนั้นก็เงยหน้าแล้วพาแบคฮยอนไปอีกห้องหนึ่ง

    ห้องห้องนี้ต่างจากเมื่อครู่เล็กน้อย แม้จะเป็นห้องกระจกเช่นกันแต่มีแสงสว่างส่องเป็นร่างแหเต็มไปหมด รวมทั้งหุ่นยนต์รูปหญิงสาวก็มีรูปร่างใหญ่กว่าปกติแถมมีจำนวนมากกว่าเดิมด้วย มองลอดร่างแหนั่นไปแบคฮยอนก็เห็นสิ่งที่ทำให้อ้าปากค้าง

    “นั่นคือซุปเปอร์อิลลูมิเนติ มันมีหน้ากากเชื่อมต่อผู้ถ่ายทอดอันเดียวแต่มีหน้ากากเชื่อมต่อผู้รับจำนวนนับไม่ถ้วน เท่าที่ฉันรู้ก่อนจะหนีออกไปก็พันชิ้นแล้ว”
    “พันชิ้น!” แบคฮยอนตกตะลึงพลางมองไปทางเครื่องมือนั้นด้วยความกลัว ในใจรู้สึกแปลกประหลาดราวกับว่าสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับตนแน่ เมื่อมองอีกครั้งก็เห็นกล่องขนาดประมาณครึ่งเมตรคูณครึ่งเมตรอยู่ตรงกลางระหว่างหน้ากากผู้ถ่ายทอดและหน้ากากผู้รับ

    “กล่องเชื่อมต่อมีวงเวทย่อขนาดหลายวงฝังไว้ ซึ่งสามารถใช้เทคโนโลยีนาโนชิปฝังได้มากที่สุดถึงหนึ่งหมื่นวงเวท เท่ากับว่าสามารถฝังความคิดของผู้ถ่ายทอดได้ถึงหนึ่งหมื่นคนต่อครั้ง”

    มินซอกพูดถึงตรงนี้ก็เอามือปิดหน้าแล้วจากนั้นก็พูดเสียงสั่นราวกับกำลังร้องไห้

    “มันเป็นความคิดของฉันเอง ฉันแค่คิดตื้นๆ ว่าหากเราทำให้นักโทษทั่วโลกเปลี่ยนความคิดที่จะทำชั่วมาทำความดีแล้วจะทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น แต่ แต่” มินซอกตัวสั่นเทิ้ม จนกระทั่งจงแดเข้าไปกอดอีกฝ่ายไว้จึงสามารถเล่าต่อได้
    “เจ้าของสถาบันไม่ยอม เขาเป็นมาเฟียระดับโลกซึ่งมีความคิดจะให้ทุกคนอยู่ในกำมือเขา เขามีบริษัทขายอุปกรณ์เล่นเกมและกำลังจะทำให้อิลลูมิเนติเป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อเกมวิชวลเรียลลิตี้ระดับพรีเมี่ยม” มินซอกสูดลมหายใจหนึ่งครั้ง “และซุปเปอร์อิลลูมิเนติจะส่งไปถึงผู้นำทุกประเทศและผู้นำทางด้านธุรกิจทั่วโลกเร็วๆ นี้”

    ร่างเล็กของมินซอกสั่นเทิ้มอีกครั้ง แบคฮยอนเริ่มรู้สึกถึงเรื่องร้ายอย่างไรไม่รู้

    “เขาจะ... เขาจะทำให้ผู้นำประเทศและนักธุรกิจต่างๆ เชื่อฟังแต่เขา ทำอย่างไรดี โลกแย่แล้วคราวนี้ เขาเป็นคนไม่ดี ถ้าเขาสั่งให้ระเบิดประเทศใดหรือทำลายเมืองทิ้งก็ง่ายมาก”
    มินซอกกล่าวถึงตรงนี้ก็เอามือทึ้งหัวไปมา แต่สักพักก็สงบลงแล้วกล่าวเสียงเบา ท่ามกลางความตกใจของแบคฮยอนและความนิ่งเงียบของจงแด

    “แต่เครื่องนี้จะทำงานก็ต่อเมื่อมีพลังเวทส่งเข้าไปที่กล่องอย่างเพียงพอเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ไม่มีมนุษย์คนไหนมีพลังอย่างนั้น พวกนั้นจึงตามหาเทวดาอย่างพวกนายมาทดลอง”

    ถึงตรงนี้แบคฮยอนตกตะลึงเมื่อมินซอกลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นแล้วร้องไห้

    “ฉันผิดเองแบคฮยอน ฉันรู้เรื่องนี้ดีแล้วกำลังหนีพวกนั้นและจะไปเตือนพวกเทวดาที่สถานีควบคุมสภาพอากาศ ฉันนึกว่าพวกนั้นจะตามไม่เจอแต่พวกมันก็ตามมาทำร้ายฉันแล้วจากนั้นก็ซุ่มจับพวกนายมาจนได้ ฉันขอโทษ” มินซอกร้องไห้ฟูมฟายในขณะที่จงแดก็จับไหล่สั่นเทิ้มพลางลูบหลังเล็กไปด้วย

    “ฉันทำให้พวกนายถูกจับมา แล้วพวกเขาก็จะทดลองเครื่องนั่นกับพวกนาย แต่...แต่...” มินซอกสะบัดใบหน้านองน้ำตาแล้วยกมือมากอดเข่าแบคฮยอนไว้ นั่นทำให้เทวดารู้สึกถึงอะไรสักอย่างที่ไม่ค่อยดีนัก
    “แบคฮยอน ถ้านายทำให้เครื่องนี้ทำงานได้ พวกเขาจะเว้นชีวิตครอบครัวของฉัน คุณตาคุณยายของฉันท่านยังรอฉันไปหา พ่อกับแม่ก็มักจะโทรมาบอกว่าสบายดี น้องสาวก็คอยอ้อนให้กลับบ้านตลอด แต่ถ้าฉันไม่สามารถหาคนมาใช้เครื่องนี้ได้ พวกเขาจะฆ่าทุกคน ไม่นะไม่ มินอาน้องพี่”

    แบคฮยอนหน้าซีดเมื่อมินซอกร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพลางพร่ำถึงครอบครัวไม่หยุด จากนั้นเขาก็เห็นจงแดเข้ามากอดอีกฝ่ายไว้ ไม่นานแสงสว่างก็ครอบคลุมร่างมนุษย์หนุ่ม จากนั้นมินซอกก็สลบไป ท่ามกลางเหงื่อไหลย้อยเต็มสองขมับของแบคฮยอน

    จนกระทั่งพวกเขามาถึงห้องพักห้องศูนย์ศูนย์หนึ่ง จงแดก็วางมินซอกลงบนเตียง แล้วชวนให้แบคฮยอนนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ดูเหมือนจงแดจะรู้จักที่ทางของสถาบันนี้ไม่น้อย เมื่อเห็นว่าถูกมองอย่างสงสัย เทวดาอาวุโสกว่าจึงเปิดปาก

    “เจ้าสลบไปห้าวัน แบคฮยอน ระหว่างนั้นข้าก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับที่นี่แล้ว” จงแดเอ่ยพลางทำสีหน้าเรียบ ปลายหางตาเหลือบมองมินซอกคล้ายห่วงใยไม่น้อย
    “ข้าสลบไปนานขนาดนั้นเชียว ระหว่างนั้นเจ้าทำอะไรบ้าง” เมื่ออยู่กันสองตน เทวดาทั้งสองก็ใช้ภาษาเทวดาใส่กัน เมื่อแบคฮยอนถาม จงแดก็ตอบจนหมด

    เทวดาอายุห้าร้อยปีกล่าวว่า หลังจากที่ฟื้นก็พบว่ามินซอกมารอแล้วและพาไปดูรอบๆ จากนั้นก็แนะนำห้องทั้งหมดให้รู้จัก ก่อนจะพาเขาหลบสายตาพวกหุ่นยนต์แล้วเล่าเรื่องทุกเรื่องให้ฟัง ซึ่งเรื่องพวกนั้นก็อย่างที่เห็นเมื่อครู่ ดูแล้วมินซอกชอบเวทมนตร์ซึ่งใช้พลังธรรมชาติจากพระเจ้าคล้ายกับพลังสว่างของเทวดาและพลังมืดของมาร จากนั้นก็เอามาทดลองบรรจุใส่ในเครื่องมือซึ่งค้นคว้าจากวิทยาศาสตร์
    “หมายความว่ามินซอกใช้เวทและใช้เครื่องพวกนี้ได้?” แบคฮยอนเอ่ยทวนเมื่อจงแดเล่ามาถึงตรงนี้
    “ใช่ แต่เพราะเขาเป็นคนดีมาก จึงไม่ยอมใช้บ่อยๆ ตามคำสั่งของเจ้านายใหญ่ที่นี่ และนั่นทำให้เขาถูกทำโทษ” เห็นเพื่อนเอ่ยถึงมนุษย์หนุ่มพลางทำหน้าเศร้า แบคฮยอนจึงบีบมือจงแดเอาไว้ แล้วยิ้มให้กันหนึ่งครั้ง

    จงแดจึงเล่าเรื่องต่อ
    เขากับมินซอกนั้น ห้าวันมานี้ได้แต่วิจัยและวิจัยถึงปริมาณพลังที่ต้องใช้ใส่ในซุปเปอร์อิลลูมิเนติ เนื่องจากจงแดเป็นเทวดาที่ประจำสถานีควบคุมสภาพอากาศจึงมีความสามารถด้านฟิสิกส์ไม่น้อย ช่วยคำนวณความเป็นไปได้และแก้ไขจุดบกพร่องไปหลายด้าน จนกระทั่งซูปเปอร์อิลลูมิเนติค่อนข้างเสถียร สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ส่งผลข้างเคียงร้ายแรงทั้งผู้ถ่ายทอดและผู้รับ คงเหลือเฉพาะอาการง่วงหรือซึมกว่าปกตินิดนึงเท่านั้น

    พวกเขาทำงานเต็มประสิทธิภาพเพราะเจ้านายใหญ่ที่นี่โหดสุดๆ หากเขาหรือมินซอกไม่ยอมทำงานก็จะให้หุ่นยนต์สาวมาพามินซอกไปทำโทษ ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องทำโทษนั้น เพราะหลังจากนั้นมินซอกจะมีรอยแผลตามตัวและสลบกลับมาตลอด นั่นยิ่งทำให้จงแดไม่กล้าขัดคำสั่ง ได้แต่รอแบคฮยอนฟื้นและแก้ไขเครื่องเพื่อช่วยนักวิจัยผู้น่าสงสารเท่านั้น

    “แล้วทำไมเจ้าไม่หาทางหนี?” แบคฮยอนเอ่ยขัด
    “ไม่ใช่ไม่หาทางหนี แต่มันหนีไม่ได้” แต่จงแดกลับส่ายหน้า

    “สถาบันนี้มีเวทปิดผนึกพลังในแต่ละห้องไว้ ข้าสามารถใช้พลังแค่รักษาหรือกล่อมประสาทเบาๆ เหมือนที่ทำกับมินซอกเมื่อครู่ได้ แต่เวทสายฟ้าทำไม่ได้สักนิดเดียว” จงแดก้มหน้าจ้องพื้น น้ำเสียงห่อเหี่ยว

    “เหมือนว่ามีห้องเดียวที่ใช้เวทได้คือห้องสำหรับใช้เครื่องอิลลูมิเนติเท่านั้น”

    แบคฮยอนหน้าเสีย ใช้พลังไม่ได้แล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีก

    มือน้อยลูบหลังคอแล้วระลึกถึงเจ้าของรอยบนคอตน ป่านนี้แล้วชานยอลยังไม่ออกมาตามหาเขาอีก ทั้งๆ ที่เคยบอกว่าแบคฮยอนเป็นลัคกี้วันเพียงหนึ่งเดียว คงจะโกรธมากที่เขาทำร้ายนาอึนจึงไม่มาสินะ

    “แบคฮยอนเจ้าฟังอยู่รึเปล่า?” จงแดกล่าวพาให้แบคฮยอนหลุดจากภวังค์ เทวดาน้อยจึงเอ่ยถามซ้ำ
    “เจ้าว่าอะไรหรือ?”
    “ข้าจะบอกว่าหากเจ้าทดสอบพลังผ่านแล้วได้ใช้ห้องทดสอบอิลลูมิเนติ เราอาจจะหนีไปได้”
    “หืม?”
    “เพราะห้องนั้นเป็นห้องเดียวที่ใช้พลังของเจ้าได้อย่างไรเล่า ถ้าเจ้าแอบทำวงเวทเคลื่อนย้ายติดตัวแล้วใช้ในพริบตา จะต้องหนีจากที่นี่ได้แน่ๆ”
    “แล้วเจ้ากับมินซอกล่ะ”
    “เจ้าก็กลับมาช่วยพวกเราสิ เจ้าเด็กบื้อเอ๊ย” จงแดเขกหัวเพื่อนหนึ่งทีแล้วพูดต่อ

    “ได้ไหมแบคฮยอน?”

    คำถามนั้นทำให้แบคฮยอนคิดหนักเหลือเกิน


    เครียดมากบทนี้ หากใครคิดถึงว่าความสามารถของเครื่องอิลลูมิเนติมันร้ายแรงขนาดทำลายโลกได้จะเครียด แต่เอาจริงพี่เครียดเพราะนี่แค่เริ่มต้นความวินาศเท่านั้น -*-

    #luckyonecb
    @noeybaekbd

    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 21 ฝันของชานยอล

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Thu Sep 01, 2016 10:27 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 21
    ฝันของชานยอล








    “แรงอีกแบคฮยอน แรงอีก อีกนิด”

    เสียงที่เอ่ยออกมาจากเฮดโฟนพาให้แบคฮยอนหงุดหงิด เขาพ่นพลังใส่เครื่องบ้านี่มาเกือบชั่วโมงแล้วยังจะให้แรงไปถึงไหน ปกติใช้สลายพวกวิญญาณยังไม่ใช้มากขนาดนี้เลย

    “เกือบแล้วแบคฮยอน อีกนิดนะ ขอร้องล่ะ” เสียงจากเฮดโฟนดังขึ้นอีกครั้ง

    “ข้า จะ หมด แรง แล้ว” แบคฮยอนแค่นเสียง เขารู้ว่าพลังตนเองนั้นใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมด แต่การควบคุมให้มันส่งเข้ากล่องควบคุมอิลลูมิเนติทำให้เขาแทบหมดแรงจริงๆ อีกนิดเขาจะล้มทั้งยืนแล้ว

    “อีกนิด นั่นล่ะ! พอได้” มินซอกพูดกรอกไมค์ส่งไปเฮดโฟนจากนั้นจงแดก็เปิดประตูห้องทดสอบ เข้าไปรับเพื่อนที่กำลังจะล้มไว้ในอ้อมกอดทันเวลาพอดี

    “ไหวไหมเจ้าตัวเล็ก” น้ำเสียงนุ่มเอกลักษณ์ประจำตัวจงแดส่งมาให้รู้สึกดีเช่นเคย แบคฮยอนพยักหน้าจากนั้นก็พยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ไม่เป็นผล จงแดจึงอุ้มเทวดาผู้น้องไว้ในอ้อมอก จากนั้นก็พาไปพักผ่อน

    โดยมีมินซอกนักวิจัยผู้บ้าคลั่งตามไปติดๆ



    (ห้องพักหมายเลขศูนย์ศูนย์สี่)

    “แบคฮยอน ฉันขอโทษ คราวหน้าจะไม่ให้นายฝืนอีกแล้ว”
    เมื่อมาถึงห้องพักแล้วจงแดจึงวางแบคฮยอนลงกับเตียง ส่วนมินซอกนั้นวิ่งมาขอโทษพลางยกมือแบคฮยอนขึ้นคล้ายจะให้เขกศีรษะตนเอง นั่นทำให้จงแดรีบจับมือมนุษย์แล้วขมวดคิ้ว

    “พอแล้วน่า นายไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย นี่เป็นความต้องการของพวกเราเอง” จงแดเอ่ยเสียงนุ่มกับคนรู้สึกผิด จากนั้นจึงยิ้มให้
    “ใกล้จะได้แล้วใช่ไหมมินซอก นายไม่ต้องเป็นห่วงนะ ถ้าแบคฮยอนออกไปได้ ครอบครัวของนายจะต้องปลอดภัยแน่” เมื่อจงแดกล่าวจบก็พบกับสายตามินซอกมองมาอย่างมีความหมาย มันเกินกว่าที่แบคฮยอนผู้เหนื่อยล้าจะรับไหว จึงได้แต่คิดย้อนไปถึงว่าทำไมเขาถึงมานอนเหนื่อยแบบนี้ได้ตั้งหลายวันแล้ว



    (ย้อนไปสัปดาห์ก่อน)

    “ได้ไหมแบคฮยอน?” น้ำเสียงเว้าวอนของเพื่อนสนิทพร้อมสายตาที่มองมาตรงเขาทีหนึ่งและมองมินซอกซึ่งนอนบนเตียงอีกทีทำให้แบคฮยอนเข้าใจความหมาย เพื่อนของเขาตกหลุมรักมนุษย์หนุ่มเข้าให้เสียแล้ว

    “เจ้ากับมินซอก เฮ้ จงแด ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” เทวดาถามตะกุกตะกัก มันเพิ่งผ่านมาห้าวันเอง เขาพลาดอะไรไปเนี่ย
    “มินซอกสวยมาก” จงแดมองอีกฝ่ายแล้วยิ้ม พาให้แบคฮยอนมองตาม อืม ถ้าใบหน้ารูปไข่ ผิวเนียนละเอียด หางตาเชิดกับจมูกรั้นและปากเผยอหมายถึงสวย เขาก็เห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
    “และเขายังเป็นคนดีมากด้วย” จงแดยังพูดต่อ “เจ้าก็รู้ว่าหลายปีมานี้ข้าทำงานสถานีควบคุมสภาพอากาศเพื่อช่วยเหลือให้มนุษย์ที่ดีได้พบกับอากาศสดใส ช่วยให้เด็กน้อยไปโรงเรียนได้อย่างไม่เปียกฝน คอยส่งสายฟ้าไปผ่าพวกผิดคำสาบาน หรือกระทั่งทำลายพวกบริษัทแย่ๆ ทิ้ง แต่ยังไม่เคยเจอคนดีเช่นเขามาก่อนเลย”
    สายตามองคนบนเตียงนั้นพาให้แบคฮยอนอิจฉานัก หวานกว่าน้ำตาลวิเศษของสวรรค์เสียอีก

    “ยังไง” เทวดาผู้น้องอดเอ่ยถามไม่ได้

    “หลายวันมานี้เขาคอยดูแลข้ามาตลอด ให้ข้าหลบเมื่อเจ้านายใหญ่มา แถมพอผลวิจัยไม่เป็นไปตามกำหนด เขาก็ขอเจ้านายใหญ่ให้ทำโทษเขาคนเดียวด้วย เขาทำให้ข้าไม่ถูกทำโทษ เสียสละเพื่อข้าที่เพิ่งรู้จัก”

    จงแดบรรยายต่อพลางเกลี่ยเส้นผมอีกฝ่ายด้วยความรัก สร้างความงุนงงให้กับแบคฮยอนไม่น้อย เทวดานี่ก็ตกหลุมรักกันง่ายๆ อย่างนี้เลยหรือ สงสัยจะเป็นพรหมลิขิตเสียแล้ว เหมือนเขากับชานยอลหรือเปล่านะ?

    พลันคิดถึงชานยอล แบคฮยอนก็แอบสลดในใจ แต่สักพักจงแดก็จับมือเขาไว้แล้วบีบแน่น

    “มินซอกไม่อยากให้เราใช้เครื่องอิลลูมิเนติในทางที่ผิดแต่ก็ขัดคำสั่งเจ้านายใหญ่ไมได้เพราะครอบครัวเขาถูกปองร้ายอยู่ ทางเดียวที่จะช่วยได้คือเจ้าต้องเข้าไปเป็นผู้ใช้เครื่องอิลลูมิเนตินั่นเอง จากนั้นก็หนีไปแล้วรีบกลับมาช่วยพวกเราให้ได้” จงแดทำหน้าเว้าวอนแล้วขอร้อง

    “ได้โปรดแบคฮยอน พลังของข้าน้อยเกินไป ไม่สามารถใช้เครื่องได้ มีแต่เจ้าเท่านั้น” เพื่อนรักลงไปคุกเข่ากับพื้นแล้วตอนนี้

    “ก็ได้ จงแดลุกขึ้น ข้าจะลองดู!” จนในที่สุดแบคฮยอนก็ตอบตกลง



    (กลับมาที่ปัจจุบัน)

    หลังจากแบคฮยอนตอบไปแบบนั้น...

    ก็ต้องมาทดสอบพลังจนสภาพร่อแร่แบบนี้มาหนึ่งสัปดาห์แล้ว!

    “ถ้าพวกนายจะสวีทกันก็ขอเถอะ ให้ฉันนอนพักก่อนได้มั้ย” แบคฮยอนเอ่ยอย่างอ่อนแรงเมื่อคู่จงแดมินซอกยังนั่งจ้องตากันไม่เลิก

    เทวดาเพื่อนรักจึงได้ยกมือเกาท้ายทอยแล้วจากนั้นก็จูงมือมนุษย์หน้าสวยออกจากห้องไป

    ทิ้งให้แบคฮยอนคิดถึงมารตนหนึ่ง ที่บอกว่าเขาคือคนรักแต่จนแล้วจนรอดผ่านมาหลายวันก็ยังไม่มาตามหากันเสียอย่างนั้น

    น้ำตาจึงไหลจากสองตาเรียวออกมาอาบแก้มช้าๆ


    ****lucky one and monster****


    “บ้าเอ๊ย!”

    ชานยอลยกเท้าเข้าถีบตู้ในห้องทำงานหนึ่งที พาให้เอกสารร่วงกราวไปหนึ่งกอง พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนจะต่ำลงจนไม่เหลือความเป็นพญามารอยู่แล้ว

    “ชานยอล ใจเย็นก่อน” คยองซูวาดมือหนึ่งทีเอกสารทั้งหมดก็กลับคืนสู่ชั้นเดิมของมันด้วยเวทควบคุมแรงโน้มถ่วงของเขา แม้ว่าจะเริ่มหงุดหงิดตามแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ ชานยอลเป็นทั้งเจ้านายของเขาและยังอยู่ในภาวะอารมณ์ที่แม้แต่ใครก็สงสารด้วยกันทั้งนั้น

    เพราะตั้งแต่แบคฮยอนหายไป นี่ก็สองสัปดาห์ไปแล้วที่ไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ เลย

    คยองซูเดินไปหยิบชากุหลาบพันปีที่ชานยอลชอบออกมาให้เจ้าตัวดับอารมณ์ ร่างสูงรับไว้แล้วค่อยๆ จิบแต่หลังจากนั้นก็เหมือนจะแย่ลงเพราะชานยอลสัมผัสได้ว่าชากุหลาบพันปีของแบคฮยอนนั้นอร่อยกว่านี้มากนัก

    “คยองซู เจ้าว่าข้าทำผิดมากไหม” หลังจากนั่งลงแล้ววางถ้วยชาบนโต๊ะ ชานยอลก็เอามือข้างหนึ่งยกมาปิดหน้า ส่วนอีกมือกอดอกพลางเอ่ยคำถามที่เลขาลำดับสองได้ยินมาไม่ต่ำกว่ายี่สิบรอบแล้ว

    “ไม่หรอก” และตอบออกไปด้วยความใจเย็นเช่นเดิม

    มือหนึ่งของเทวดาอดีตตัวเก็งลัคกี้วันพยายามนวดไหล่ให้เจ้านาย ส่วนอีกมือก็ร่ายเวทคลายประสาทอ่อนๆ แม้รู้ว่าอาจไม่ได้ผลแต่คยองซูก็อดไม่ได้ที่จะช่วย เขาเองเข้าใจดีว่าหากคนรักหายตัวไป เขาจะรู้สึกอย่างไร นี่ไม่นับว่าก่อนแบคฮยอนหายไปนั้นพวกเขาทะเลาะกันใหญ่โตอีกด้วย

    “ข้าตรวจอย่างไรก็หาไม่พบ สัญลักษณ์นั้น” ชานยอลยังคงเอามือปิดหน้าและตอบอู้อี้ เดาว่าน้ำตาพญามารซึ่งร่ำลือกันว่าหายากราคาแพงคงจะเลอะเปรอะใบหน้าอีกแล้ว คยองซูจึงได้แต่ลูบหลังแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าให้

    สถานการณ์ดูไม่ค่อยดีเลย ดังนั้นเราควรย้อนดูเหตุการณ์เสียก่อน




    (สองสัปดาห์ที่แล้ว)

    ชานยอลยืนมองแบคฮยอนในตรอกซึ่งเคยเป็นบ้านของชานยอลและชานเลี่ย เขาตามแบคฮยอนมาตั้งแต่รู้ว่าคนรักใช้เวทเคลื่อนย้ายสำเร็จ น่าดีใจเช่นกันเมื่อสิ่งแรกที่แบคฮยอนคิดถึงคือสถานที่บนโลกซึ่งเป็นความทรงจำของเขาทั้งสอง

    แต่ชานยอลกลับไม่กล้าเดินเข้าไปหา ได้แต่ยืนมองคนรักนั่งลงกับพื้นแล้วร้องไห้อยู่ตรงนั้น

    มันบอกไม่ถูกเช่นกันว่ารู้สึกอย่างไร เขาไม่เข้าใจเลยว่าตนเองทำผิดอะไรและตรงไหนที่ควรแก้ไขเพื่อไม่ให้คนรักต้องขัดใจจนหนีไปอีก ชานยอลไม่กล้าแม้กระทั่งเดินเข้าไปกอดเมื่อเห็นว่าอากาศเริ่มเย็นและเทวดาตัวเล็กเผลอหลับไปแล้ว ได้แต่เสกผ้าห่มมาคลุมตัวให้แบคฮยอนแทน แล้วจ้องมองจากมุมมืดอยู่อย่างนั้น

    หลังจากนั้นเมื่อแบคฮยอนตื่น ชานยอลก็พบว่าอีกฝ่ายรีบใช้คาถาเคลื่อนย้ายอีกแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าไปไหน แต่เมื่อเขาตรวจจับจากสัญลักษณ์บนคออีกฝ่ายได้ ชานยอลจึงรีบตามไปทันที ก็พบว่านั่นคือสถานีควบคุมสภาพอากาศของสวรรค์ เมื่อเห็นแบคฮยอนเหมือนจะเข้าไปในบ้านของเทวดาตนหนึ่งจึงติดต่อซูโฮซึ่งยังพักผ่อนอยู่ในนรกให้ช่วยติดต่อสักหน่อย

    เป็นไปตามคาดเมื่อเทวดาที่แบคฮยอนไปขอความช่วยเหลือเป็นเพื่อนสนิทจริงๆ ด้วย ซึ่งเซฮุนกับซูโฮก็พูดขึ้นพร้อมกันเลยว่า ‘นั่นน่ะเพื่อนสนิทที่สุดเลยล่ะ’ ชานยอลจึงคลายความกังวลไปได้บ้าง

    เมื่อซูโฮใช้เวทสื่อสารติดต่อไปยังเพื่อนตนนั้นจึงได้ความว่าแบคฮยอนยังอยู่ในอารมณ์เศร้า ชานยอลคิดว่าปล่อยให้แบคฮยอนอยู่ที่อื่นบ้างน่าจะดี ไม่ใช่อยู่กับเขาซึ่งตอนนี้ไม่เข้าใจคนรักและไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย จะปลอบก็ยังไม่กล้า ใจเสาะขนาดนี้

    แม้จะเป็นห่วงมากก็ตาม

    หลังจากนั้นไม่กี่วัน ชานยอลก็ลองติดตามแบคฮยอนดูแต่ก็พบว่าข่าวคราวของคนรักนั้นหายไปเสียอย่างนั้น เวทสัญลักษณ์ที่เขาทำบนหลังคอแบคฮยอนเหมือนมีอะไรไม่ทราบมาขวางกั้น คล้ายตัดสายใยชานยอลไม่ให้สามารถค้นหาเทวดาของเขาได้

    ร่างสูงกระวนกระวายชั่วครู่ก็พบว่าซูโฮรีบมาพบด้วยอาการร้อนรนพลางบอกว่าตอนนี้ก็ติดต่อจงแดเพื่อนแบคฮยอนผ่านเวทสื่อสารไม่ได้เช่นกัน

    และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความตึงเครียดทั้งหมดทั้งมวล สะเทือนไปทั้งกลางใจของสวรรค์และนรก

    ราชาแห่งเทพรีบกลับสวรรค์โดยมีมารมือขวาของเขาตามไปติดๆ เนื่องจากสถานีควบคุมสภาพอากาศของสวรรค์นั้นซ่อนอยู่ในป่าลึก หากไม่เคยไปมาก่อนจะหาไม่พบ และราชาแห่งเทพนั้นก็ไม่เคยมีธุระใดๆ เพื่อไปที่นั่น ส่วนใหญ่จะติดต่อจงแดทางเวทสื่อสารมากกว่า ซูโฮจึงต้องติดต่อผ่านทางพนักงานสถานีกลางเสียก่อน

    ชานยอลรับคำท่านตาของคนรักแล้วฝากฝังให้เซฮุนติดต่อมาเมื่อมีข่าว จากนั้นเขาก็เรียกเลขาคนสำคัญเข้าพบ เลขาลำดับหนึ่ง...

    เลขาลำดับหนึ่งของชานยอลเป็นมนุษย์แถมยังเป็นผู้หญิงอีกด้วย

    แต่หาใช่มนุษย์ธรรมดาไม่ เพราะเธอคือนักเวทมิติอาวุโสผู้มีอายุกว่าสามร้อยปีแล้ว ร่างกายของเธอยังดูสาวแถมยังสวยมากหุ่นดีด้วย บางครั้งเธอก็จะรับงานถ่ายแบบเพื่อติดต่อกับผู้มีอำนาจฝ่ายต่างๆ จนมีข้อมูลแน่นกว่าใคร ยามใดต้องการข่าวที่นรกสืบไม่ถึงก็ได้เธอติดตามให้ ว่าไปแล้วเธอเปรียบเป็นเสมือนแขนขาซึ่งชานยอลสามารถยื่นเข้าไปในโลกมนุษย์ได้อย่างเปิดเผยนั่นเอง

    ปกติเขาจะปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่อย่างอิสระบนโลกมนุษย์และคอยรับฟังข่าวที่เขาต้องการเท่านั้น ยกเว้นเวลามีปัญหาหนักจึงจะเรียกกลับมาที่นรกสักครั้งหนึ่ง

    ความจริงแล้วนักเวทมิติคือมนุษย์จำพวกหนึ่งที่พระเจ้าประทานพรให้ จึงสามารถใช้พลังธรรมชาติได้โดยหลักการก็เช่นเดียวกับพลังสว่างของเทวดาและพลังมืดของมารนั่นเอง

    แต่เนื่องจากมนุษย์นั้นมีความรักโลภโกรธหลงแรงกว่าเทวดาและมารมากนัก พระเจ้าจึงประทานพรด้านพลังให้เพียงหยิบมือ นักเวทมิติจำเป็นต้องใช้พรสวรรค์มากกว่าเทวดาและมาร ซึ่งสองกลุ่มหลังนั้นใช้พลังได้แต่กำเนิดแต่นักเวทมิติใช้พลังได้เมื่อโตเต็มวัยแล้วเท่านั้น แถมยังต้องฝึกอย่างหนักเพื่อให้เก่งเท่าๆ กับมารและเทวดาอีกด้วย

    ว่ากันว่าแรกเริ่มพระเจ้าประทานพรให้กับมนุษย์เพื่อให้กลุ่มผู้มีพลังนั้นใช้พลังรักษาความดีงามของโลก โดยพลังธรรมชาติสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ดังนั้นลูกหลานของนักเวทมิติแม้บรรพบุรุษจะตายไปแต่ก็สามารถฝึกฝนพลังสืบทอดกันมาได้อย่างยาวนาน และใช้พลังเพื่อคอยทำให้โลกสงบสุขเรื่อยมา

    แต่กระนั้น...

    ช่างโชคร้ายเมื่อกลุ่มมาเฟียกลุ่มหนึ่งดันแต่งงานกับหญิงสาวที่เป็นนักเวทมิติ แม้ว่าหลังจากนั้นเธอจะรู้ว่าทำผิดจึงได้ถอนตัวออกมาแต่ก็ไม่สามารถควบคุมพลังลูกหลานของเธอได้ จึงกลายเป็นว่ามีนักเวทมิติที่ไม่ดีปะปนมาในหมู่นักเวทมิติที่ดี สองร้อยปีหลังมานี้ชานยอลต้องคอยต่อสู้กับนักเวทมิติที่มักจะมาดึงวิญญาณคลั่งไปที่โลกตลอด

    แต่เพราะมีเลขาลำดับหนึ่งช่วยเป็นหูเป็นตาให้ จึงสามารถปราบพวกนี้ได้เกือบทุกครั้ง

    ชานยอลไม่อยากเชื่อลางสังหรณ์ของตนเองมากนักแต่ดูเหมือนเรื่องคราวนี้อาจจะเกี่ยวกับนักเวทมิติผู้เป็นเลขาลำดับหนึ่งของเขาก็เป็นได้

    พญามารจึงกางคัมภีร์เวทซึ่งวางไว้หลังโต๊ะทำงานออกมาม้วนหนึ่ง จากนั้นก็เติมพลังมืดเข้าไปเล็กน้อย เกิดแสงสว่างเรืองรอง เขาก็พูดข้อความที่ต้องการ

    “ซึลกิ ข้าต้องการพบเจ้าด่วน”




    (กลับมาที่ปัจจุบัน)

    ตั้งแต่ชานยอลเรียกซึลกิกลับมาและมอบหมายหน้าที่ให้นางไปตามหาแบคฮยอนบนโลก ก็ผ่านไปเกือบสองสัปดาห์แล้ว ระหว่างนั้นชานยอลก็ใช้กองกำลังทหารมารระดับเอสออกไปช่วยซูโฮค้นหาตลอดแต่หาได้พบเบาะแสไม่

    เดิมทีราชาแห่งเทพกล่าวว่าบ้านพักของจงแดปิดสนิทดี แต่เทวดาหัวหน้าอาวุโสของสถานีควบคุมสภาพอากาศไม่ได้รับการติดต่อจากจงแดเลยตั้งแต่วันนั้นที่โทรมาลางาน ทั้งหมดจึงคาดว่าจงแดกับแบคฮยอนอาจจะไปพักผ่อนก็เป็นได้

    ทั้งหมดก็ได้แต่หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น

    แต่...

    สัปดาห์ก่อน ทหารมารของชานยอลกลับค้นพบรถยนต์ของจงแดถูกนำไปทิ้งในทะเลแห่งหนึ่งเข้า นั่นทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปถนัด จากที่คิดในแง่ดีว่าเทวดาทั้งสองอาจจะไปพักผ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งก็เปลี่ยนไป กลายเป็นว่าอาจจะถูกจับตัวไปก็เป็นได้

    ชานยอลเองก็พยายามตามหาแบคฮยอนผ่านเวทสัญลักษณ์ที่ทำติดตัวคนรักไว้ แต่ก็ไม่ได้ผล เขาเองก็ใช่ว่าจะว่างมากมาย งานของนรกอย่างไรก็ต้องมีเขาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด แม้คยองซูจะเข้ามาช่วยแบ่งเบางานไปบ้างแล้วแต่ชานยอลก็ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อมีเวลาว่างเขาจึงค่อยใช้เวทตามสัญลักษณ์ครั้งหนึ่ง

    แล้วก็เป็นอย่างนี้มาเกือบสัปดาห์แล้ว เขารู้สึกถึงเส้นใยระหว่างเขากับแบคฮยอนยังไม่หายไป แต่เหมือนกับมีใครมาขวางไว้

    บ้าชะมัด!

    “ท่านควรใจเย็นก่อนชานยอล ข้าว่าอีกไม่นาน ซึลกิน่าจะกลับมาพร้อมข่าวดี” คยองซูเห็นเจ้านายเย็นลงก็หยุดลูบหลังจากนั้นก็เดินกลับโต๊ะทำงานของตนเองพลางพูดถึงเลขาลำดับหนึ่งซึ่งถูกส่งไปหาข่าว แต่ยังไม่กลับมา

    ราวกับพระเจ้าจะคอยเอาใจลุ้นเพราะพอกล่าวถึงซึลกิปุ๊บ กลางห้องก็ปรากฏวงเวทอันคุ้นเคยขึ้นมาเสียอย่างนั้น

    ร่างของหญิงสาวสูงโปร่งคนหนึ่งอยู่ในวงเวท เมื่อหมอกเวทจางจึงเห็นหน้าเธอได้ชัด ใบหน้ารูปไข่ ตาเรียวหนึ่งชั้นแต่คมกริบและจมูกโด่งพร้อมปากสวยราวกลีบกุหลาบ นางแบบแถวหน้าระดับโลก ซึลกิปรากฏตัวพร้อมโค้งคำนับชานยอลช้าๆ

    “เป็นอย่างไรบ้าง” ชานยอลเอ่ยเสียงแหบแห้ง

    “ได้ข่าวแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยประโยคแรก พาให้หัวใจชานยอลกระตุกด้วยความดีใจหนึ่งครั้ง “แต่ไม่ค่อยดีนัก” แล้วก็ทำให้ชานยอลห่อเหี่ยวด้วยความรวดเร็ว

    แต่ก่อนที่ชานยอลจะคิดไปไกลถึงกระทั่งว่าแบคฮยอนเป็นอะไรไปบ้างนั้น นักเวทมิติสาวก็กล่าวรายงานเรื่องราวทั้งหมดเสียก่อน

    ซึลกิเล่าว่า เธอค้นพบแล้วว่าแบคฮยอนถูกจับตัวไปและยังไม่ตาย จึงค่อนข้างจะเป็นข่าวดี หากแต่ข่าวอีกข่าวเกี่ยวกับผู้ที่จับแบคฮยอนไปนั้นไม่ค่อยดีนัก

    กลุ่มมาเฟียน่าสงสัยที่จับตัวไปนั้นคือลูกหลานของนักเวทมิติไม่มีผิด ปัจจุบันปกครองโดยนักเวทมิติรุ่นที่ห้าซึ่งอายุเกือบจะห้าสิบปีแล้ว ซึลกิไม่ทราบเช่นกันว่านักเวทมิติคนนั้นเก่งด้านไหนหรือมีความสามารถอะไรเป็นพิเศษแต่ข่าวที่เธอหามาได้บอกว่ากลุ่มนี้มีห้องวิจัยลับแห่งหนึ่งซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าอยู่ตรงไหน

    ข่าวที่น่ากลัวสำหรับห้องวิจัยนั้นคือพวกเขากำลังค้นคว้าและทดสอบเกี่ยวกับเครื่องมือชนิดหนึ่งซึ่งต้องใช้พลังธรรมชาติจำนวนมาก ที่ผ่านมานักเวทมิติคนนี้จึงพยายามจะมาลักพาวิญญาณคลั่งไปบนโลกเพื่อดึงดูดเทวดาหรือมารที่มีพลังมากมายมาเพื่อกำจัดวิญญาณนั้น

    หลังจากนั้นก็มักจะฉวยโอกาสจับตัวเทวดาหรือมารผู้มีพลังธรรมชาติจำนวนมากไปทดสอบเครื่องมือนั้นมาโดยตลอด และไม่มีเทวดาหรือมารรอดกลับมาสักราย

    ชานยอลขนลุกเมื่อคิดภาพตามถึงตรงนี้ จะเป็นอย่างไรหากนักเวทมิตินั้นรู้ว่าแบคฮยอนเป็นเทวดาที่มีพลังสูงสุดในประวัติการณ์และจะเป็นอย่างไรเมื่อพวกนั้นจับคนรักของเขาไปทดสอบเครื่องมือพวกนั้น แบคฮยอนอาจจะตกอยู่ในอันตรายก็เป็นได้

    “เจ้าได้เบาะแสแล้วใช่ไหม ว่าห้องวิจัยนั้นอยู่ที่ใด ซึลกิ” ชานยอลถามออกไปแต่ได้รับคำตอบเป็นการก้มหน้ามองพื้นของซึลกิแทน

    “ท่านชานยอล ห้องวิจัยนั้นลึกลับมากเจ้าค่ะ ข้ากำลังสืบค้นอยู่ แต่เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าท่านแบคฮยอนยังมีชีวิตจึงมารายงานก่อน” ซึลกิตอบเสียงเบา

    ชานยอลหงุดหงิดในคำตอบมากแต่ก็ไม่กล้าโทษเลขาสาว แค่ว่าซึลกิได้ข่าวขนาดนี้ก็ไม่รู้ว่านางต้องเผชิญอันตรายขนาดไหนแล้ว แม้จะใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพบว่าคนรักยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ยังหาไม่พบคือปัญหาใหญ่ จึงได้แต่บอกให้เลขาสาวพักสักหน่อยแล้วค่อยไปตามข่าวต่อ

    ส่วนเขาก็พยายามสงบจิตใจ แม้ว่าจะทำไม่ค่อยได้เลยก็ตาม




    แล้วคืนนั้นชานยอลก็ฝันร้าย

    ในฝันนั้นเขากำลังอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นไม่เหมือนสิ่งก่อสร้างใดๆ ซึ่งเขาเคยพบมาก่อน มีแต่สีขาวเต็มไปหมด ทั้งประตูสีขาว ผนังสีขาว แม้กระทั่งหญิงสาวรูปร่างดีก็แต่งชุดสีขาวด้วยกันทั้งสิ้น พลันหญิงสาวสี่คนก็เข็นเตียงหน้าตาประหลาดผ่านเขาไป ชานยอลพยายามหลบให้ แต่เมื่อเห็นว่าบนเตียงเป็นใครก็เบิกตากว้าง

    แบคฮยอน! แบคฮยอนของเขากำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียงนั้น

    ชานยอลรีบตามหญิงสาวเหล่านั้นไปและพยายามฉุดกระชากเตียงด้วยมือตนเองหากแต่ไร้ผล มือของเขาคล้ายของโปร่งแสงและมันไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดๆ ได้เลย เขาพยายามจับไปที่ใบหน้าคนรักแต่มือตนเองก็ทะลุผ่านหน้าแบคฮยอนไปเช่นกัน พาให้หงุดหงิดใจมาก แต่กระนั้นชานยอลก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ตามเตียงปริศนานั่นต่อ

    จนกระทั่งมาถึงห้องกระจกแห่งหนึ่ง ห้องนี้ใหญ่โตเทียบเท่ากับสนามฟุตบอลขนาดย่อมๆ เลยทีเดียว แบคฮยอนถูกพาเข้าไปในห้องนั้นจากนั้นชานยอลก็ตามมาติดๆ

    พญามารเมื่อตามเข้าไปก็ตกตะลึงในสิ่งที่พบเห็น

    เบื้องหน้าเขานั้นคือกล่องขนาดหนึ่งเมตรคูณหนึ่งเมตรหน้าตาไม่น่าไว้ใจหนึ่งกล่อง ลักษณะนั้นคล้ายลูกบาศก์ขนาดใหญ่ทำมาจากโลหะคล้ายอัลลอยด์สีเงินมีหน้าจอแสดงผลแบบแอลอีดีและปุ่มจำนวนหนึ่ง โดยกล่องนั้นมีสายเชื่อมต่อไปอีกห้องหนึ่งซึ่งมีผู้ควบคุมอยู่ด้านในนั้น

    ชานยอลพยายามเพ่งมองผู้ควบคุมก็พบว่าไม่คุ้นเคยจึงมองเลยตามหลังไปก็พบว่านั่น! เขาเหมือนจะรู้สึกว่าเคยเห็นหน้าคนข้างหลังจากที่ไหน

    พญามารยืนคิดชั่วครู่ก็ออกเดินไปใกล้ๆ ห้องควบคุม พบว่าตนเองผ่านผนังเข้าไปได้จึงเข้าไปลอบฟังสักหน่อย เขาค่อนข้างแน่ใจว่าตนเองไม่ได้ฝัน แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

    “แบคฮยอนจะ... ปลอดภัยใช่ไหม” ชายที่ชานยอลจำได้แล้วว่าชื่อจงแดพูดคุยกับชายที่อยู่บนแผงควบคุมด้านหน้า นั่นทำให้ชานยอลประหลาดใจ ทำไมเพื่อนของแบคฮยอนจึงมาอยู่ตรงนี้ได้
    “ใช่ เขาจะปลอดภัย” ชายแปลกหน้าที่ชานยอลไม่รู้จักกล่าวขึ้น น่าแปลกเช่นกันที่ชานยอลไม่เคยเห็นหน้าคนคนนี้แต่ความรู้สึกเหมือนกับเคยเจอมาแล้วแต่จำไม่ได้ว่าเจอที่ไหน

    ระหว่างที่ชานยอลสำรวจชายแปลกหน้า เขาก็พบว่าแบคฮยอนถูกนำไปวางบนเตียงใกล้กับกล่องสีเงินประหลาดนั่น พร้อมกับสายสีขาววางเชื่อมระหว่างเทวดากับกล่อง สายนั้นมีจำนวนมากจนแทบเต็มร่างเล็ก

    ร่างโปร่งแสงของพญามารรีบปราดไปที่คนรักแล้วพยายามกระชากเส้นสายสีขาวพวกนั้นออกไปแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อเขาเป็นราวกับวิญญาณในตอนนี้ ชานยอลนึกโมโหตนเองนัก ทำไมกับแค่ตามหาคนรักจึงทำไม่ได้ เขาต้องมาที่นี่ในร่างจริงจึงจะช่วยได้ ทันใดนั้นเขาก็เพ่งจิตตามหาสัญลักษณ์หลังคอแบคฮยอนเหมือนที่ผ่านมาทันที

    ราวกับจะได้ผลเมื่อจู่ๆ หลังคอแบคฮยอนมีแสงประหลาดออกมา ชานยอลนึกว่าเขาทำสำเร็จแล้วแต่เมื่อเข้าไปมองใกล้ๆ กลับพบว่าแสงประหลาดนั่นเป็นสีแดงเลือด ชานยอลเห็นจงแดในห้องควบคุมร้องออกมาด้วยความประหลาดใจครั้งหนึ่ง จากนั้นชายแปลกหน้าก็พูดว่าไม่มีอะไร เทวดาจึงได้ยืนนิ่งดูการทดลองต่อ

    แสงประหลาดสีแดงเรืองออกมาตามพลังที่ชานยอลใช้ในการร่ายเวทสัญลักษณ์จนถึงจุดหนึ่งที่แบคฮยอนเริ่มครางเบาๆ คล้ายจะเจ็บ ชานยอลจึงชะงักทันที

    ร่างโปร่งแสงรีบบินไปห้องควบคุมพลางตะโกนเสียงดังหวังจะให้จงแดได้รับรู้ว่าควรหยุดการทดลองนี้เสีย

    ซึ่งราวกับจะได้ผลอย่างไรไม่ทราบเมื่อเทวดาหนุ่มกล่าวกับชายแปลกหน้าด้วยความกลัว “เราเลื่อนไปก่อนดีไหม แบคฮยอนเหมือนจะไม่ไหว”

    แต่ชายหน้าแผงควบคุมกลับหันหน้ามามองจงแดหนึ่งครั้ง แววตาราวกับเจ้านายกำลังดุลูกน้องถูกส่งมาผ่านแว่นตากรอบรูปกลม จากนั้นจงแดก็เดินกลับไปยืนที่เดิมคล้ายว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    นั่นทำให้ชานยอลสงสัย

    “เจ้า! จะทำอะไรคนรักข้า แล้วเจ้าทำอะไรกับเพื่อนของเขาด้วย!” ชานยอลเริ่มรับรู้ได้ว่าจงแดไม่ปกติ และแบคฮยอนกำลังจะเจ็บหนัก แต่เช่นเดิมคือเขาตะโกนไปเท่าไหร่ก็ไม่มีใครได้ยิน ชายคนนั้นส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะกล่าว

    “นายอย่าทำให้ฉันลำบากใจเลยจงแด ฉันรู้สึกเหมือนฉันกำลังจะควบคุมนายไม่อยู่อีกแล้ว” มือเรียวสวยขยับแว่นครั้งหนึ่งจากนั้นก็กดปุ่มสีเขียวคล้ายเปิดการทำงานเมื่อทุกอย่างพร้อม

    “ขยับออกจากตรงนั้นหน่อย” เขาสั่งการแล้วหญิงสาวที่พาแบคฮยอนมาก็ถอยออกไป จากนั้นหน้าจอก็แสดงผลว่าพร้อมแล้ว ชายแปลกหน้ากดปุ่มสีขาวที่เขียนว่า ‘ทำงาน’ หนึ่งครั้ง แสงสว่างจ้าก็ออกมาจากร่างแบคฮยอนจนชานยอลมองไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง


    แต่เขาได้ยินเสียงร้องชัด

    “อ๊ากกกกกกกกกกก”

    แบคฮยอนร้องออกมาพาให้ชานยอลหัวใจแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาพยายามเข้าไปหาคนรักตามทิศทางที่คาดเดาไว้แม้จะมองอะไรไม่เห็น ร่างโปร่งแสงราวกับจะรับรู้ความร้อนที่เกินขนาด จากนั้นภาพสีแดงที่ซ้อนทับเวทสัญลักษณ์ของเขาก็เปิดออกทีละชั้นจนสุดท้ายทำให้เขาเห็นภาพในหัวที่ต้องการ

    เขาพบแล้วว่าแบคฮยอนอยู่ที่ไหน!

    แม้ภาพในหัวจะเห็นชัดแต่ภาพตรงหน้ากลับเลือนรางลงทีละน้อย ชานยอลเริ่มออกมาจากห้องทดลองนั้นเรื่อยๆ เขากำลังจะจับมือแบคฮยอนได้อยู่แล้วแต่ร่างกายกลับออกห่างราวกับเอื้อมมือไม่ถึงเสียอย่างนั้น
    ไกลออกไป...

    ไกลออกไป...

    จนกระทั่งอยู่ในห้องนอนของเขาเอง


    “ไม่!!!” ชานยอลผุดลุกขึ้นนั่งในความมืด พร้อมกับเหงื่อแตกพลั่ก

    ไฟในห้องถูกเปิดขึ้นพร้อมกับเสียงของอี้ชิงที่วิ่งมาดูเพราะการตะโกนเสียงดังของชานยอล จากนั้นท่านแม่ก็เอ่ยถาม

    “ชานยอล เจ้าเป็นอะไร บาดเจ็บตรงไหน” เทวดาอาวุโสเดินเข้ามาเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อลูกชายคนโต จากนั้นก็รอคำตอบ
    “ข้า... เจอแล้ว”
    “อะไร เจออะไร”
    “เจอเขาแล้ว ท่านแม่ ข้าเจอเขาแล้ว” ชานยอลเขย่าร่างอี้ชิงแล้วพูดซ้ำไปมาราวกับคนบ้า “แต่เขากำลังบาดเจ็บ ข้าต้องไปช่วยเขา ต้องไปช่วยเขา”

    “ชานยอลใจเย็นก่อน เดี๋ยวๆ” อี้ชิงงงอาการลูกชายตนเองไม่น้อย จากนั้นก็กอดชานยอลแนบอกหวังให้พญามารคุมสติตนเองได้ มือท่านแม่ลูบหัวลูบหลังลูกรักแล้วถามเสียงนุ่มอีกครั้ง “เจ้าเจอใครกันแน่”

    “แบคฮยอน ข้าเจอเขาแล้ว”

    เท่านั้นอี้ชิงก็รีบติดต่อไปยังเซฮุนทันที

    แล้วความวุ่นวายทั้งนรกสวรรค์ก็เกิดขึ้นตามมา



    โอย แต่งบทนี้แล้วหัวใจจะวาย สงสารแบคฮยอน ฮือ แม่ม ไรท์เตอร์แม่ม
    ปล. ย้อนไปย้อนมาไม่งงเนอะ (โดนเขวี้ยงของ--)

    #luckyone
    @noeybaekbd

    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 22 บุกไปช่วย!

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Fri Sep 16, 2016 9:48 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 22
    บุกไปช่วย!






    ตู้ม!

    เสียงอะไรสักอย่างระเบิด ทำให้แบคฮยอนตื่นขึ้น

    แต่กระนั้นเทวดาร่างเล็กก็ขยับตัวไม่ได้เลยสักนิด

    แบคฮยอนพยายามปรับสายตาให้รับแสงในห้องก่อนแล้วค่อยปรับระบบสมอง จากเคยคิดว่าห้องพักหมายเลขศูนย์ศูนย์สี่ที่เขานอนพักมาหลายสัปดาห์เป็นห้องธรรมดาก็เกิดความคิดใหม่ ไม่ว่าเสียงระเบิดที่เขาได้ยินจะมาจากทางไหนมันก็น่าจะสะเทือนมาถึงห้องนี้บ้าง ตรงกันข้าม แม้แต่ฝุ่นในห้องยังไม่ขยับเลยสักนิด

    สมองสั่งการให้มือขวาขยับยกขึ้นมาจึงเห็นว่าทั่วทั้งแขนของเขามีผ้าพันแผลเต็มไปหมด รอยเลือดจางๆ ยังติดอยู่ตรงฝ่ามือ พอยกแขนขึ้นมาก็รู้สึกตึงจนไม่สามารถหยิบจับอะไรได้ กะพริบตาสักนิดก็ตึงหน้า เดาว่าทั้งร่างกายของแบคฮยอนคงมีผ้าพันแผลไว้ทั่วแล้ว จึงทำให้เขาลุกไม่ขึ้นเช่นนี้

    ความทรงจำค่อยๆ ย้อนทวนกลับมาว่าทำไมเขาจึงตกอยู่ในสภาพนี้ได้ แล้วแบคฮยอนก็น้ำตาไหลเล็กน้อยเพราะความเจ็บใจ

    จงแดหักหลังเขา!

    ราวสามสัปดาห์ก่อน พวกเขาเริ่มทดสอบและฝึกใช้พลังในการขับเคลื่อนเครื่องซุปเปอร์อิลลูมิเนติ หากแต่ความพยายามกลับไร้ผล เมื่อเจ้านายใหญ่ของที่นี่สั่งให้ขยายขนาดเครื่องไปเรื่อยๆ จากหนึ่งหมื่นจนถึงสามารถส่งต่อผู้รับได้ถึงหนึ่งแสน

    ขนาดของกล่องรับพลังใหญ่ขึ้นจนเป็นหนึ่งเมตรคูณหนึ่งเมตร ความสามารถในการบรรจุพลังขยับไปที่ห้าสิบเท่าของเครื่องเก่า มันทำให้แบคฮยอนซึ่งสามารถควบคุมให้พลังเข้าไปในเครื่องขนาดหนึ่งหมื่นผู้รับต้องเร่งพลังเข้าไปอีกมาก แต่เทวดาอายุหนึ่งร้อยเจ็ดปีอย่างเขาไม่เคยฝึกการควบคุมพลังมาก่อน ในที่สุดมันก็ถึงขีดจำกัด

    มินซอกเมื่อรู้ว่าแบคฮยอนเอาไม่อยู่ก็เดินวนไปมาพลางร้องไห้คร่ำครวญถึงครอบครัวไม่หยุด แม้จงแดจะคอยปลอบคอยกอดเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล เพื่อนรักจึงได้มาคุกเข่าขอร้องแบคฮยอนอีกทางหนึ่งให้พยายามอีก ระหว่างนั้นก่อนที่แบคฮยอนจะตอบปฏิเสธอีกรอบ เจ้านายใหญ่ก็เรียกมินซอกไปเข้าพบ

    หลังจากมินซอกออกมาจากห้องติดต่อเจ้านายใหญ่ มนุษย์หนุ่มก็หน้าซีดขาวราวกับกระดาษ พลางพึมพำคำว่า ไม่ได้ๆ พูดกับตนเองไม่หยุด

    จงแดจึงเข้าไปถามว่าทำไมเกิดอะไรขึ้น มินซอกก็ร้องไห้ก่อนจะพูดเสียงสั่นว่าเจ้านายใหญ่ให้เขาใช้อุปกรณ์ชุดใหม่ ซึ่งสิ่งนี้เลียนแบบมาจากวิญญาณรวมคลั่งซึ่งจะดูดพลังงานจากผู้ใช้เข้าสู่เครื่องได้โดยตรง อุปกรณ์นี้ยังไม่เสถียรสักเท่าไหร่ ที่ผ่านมามีแต่คนใช้แล้วหลังจากนั้นเกิดบาดแผลไปทั้งตัว

    แบคฮยอนคิดถึงการถูกดูดกลืนพลังโดยวิญญาณรวมคลั่งเมื่อครั้งอยู่โลกมนุษย์กับชานชานและชานเลี่ย ภายหลังเขาได้ยินจากชานยอลว่าตนเองถูกวิญญาณกลืนกินเข้าไปก็บาดเจ็บหนัก เกิดแผลเต็มตัวไปหมด แทบไม่รอดด้วยซ้ำถ้าหากว่าอี้ชิงมาช่วยไม่ทันเวลา หากอุปกรณ์นี้เลียนแบบมาจากสิ่งนั้นจริงๆ น่ากลัวว่าเขาอาจจะไม่รอดไปพบชานยอลอีก เพราะคราวนี้อี้ชิงไม่ได้อยู่รักษา แถมยังไม่รู้จักที่นี่ด้วยซ้ำ

    “ไม่! ข้าไม่ใช้อุปกรณ์นั้นแน่ๆ” แบคฮยอนตอบจงแด
    “แต่ว่า ถ้าเจ้าไม่ผ่านการทดสอบเสียที เมื่อใดเราจะได้ใช้ห้องอุปกรณ์นั้นกันเล่าแบคฮยอน เจ้าจะได้ใช้เวทเคลื่อนย้ายได้เสียที” จงแดเอ่ยแย้งเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนไม่ยอมอ่อนให้ เขานั้นไม่เคยเห็นวิญญาณรวมคลั่งมาก่อน จึงไม่รู้ว่าอุปกรณ์นั้นจะอันตรายเพียงใด

    แต่แบคฮยอนไม่ยอมท่าเดียว เขายังอยากรักษาชีวิตเพื่อเจอชานยอลอยู่

    หลังจากวันนั้นมินซอกก็เอาแต่ร้องไห้ ซึ่งจงแดก็เหมือนจะลืมไปเลยว่าแบคฮยอนเป็นเพื่อนของเขา แม้ว่าจะเห็นมินซอกถูกลงโทษทุกวันเพราะแบคฮยอนไม่ยอมใช้เครื่องนั้น แต่เขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะไม่ยอมใช้อุปกรณ์นั่นเด็ดขาด ได้แต่ทดสอบพลังแบบเดิมและเร่งให้ผ่านขีดจำกัดให้ได้

    แต่เพราะการควบคุมพลังของแบคฮยอนไม่น่าจะผ่านขีดจำกัดเดิมได้ง่ายและมินซอกก็โดนเจ้านายใหญ่ทำโทษจนร่างกายเป็นแผลทุกวัน การใช้อุปกรณ์นั้นจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนสำหรับจงแด

    เช้าวันหนึ่งหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ จงแดก็ยื่นน้ำดื่มให้แบคฮยอนหนึ่งแก้ว จากนั้นเมื่อผ่านไปไม่ถึงนาที แบคฮยอนก็รู้สึกราวกับตัวแข็งไปทีละน้อย

    ร่างเล็กมองเทวดาเพื่อนสนิทแล้วถลึงตาใหญ่ เขาไม่เห็นแววตารู้สึกผิดจากจงแดแม้สักนิด แบคฮยอนจึงได้รู้ว่าถูกหักหลังเข้าให้แล้ว ในใจมีแต่ความสับสนว่าเพื่อนที่คบกันมากว่าร้อยปีเหตุใดจึงทำแบบนี้ แต่เมื่อเขาเห็นมินซอกมายืนมองเขาเงียบๆ ไร้ความตื่นกลัวหรือคราบน้ำตาเช่นเคย แบคฮยอนจึงรู้ว่าตนเสียเพื่อนให้กับอีกคนไปแล้ว

    “มินซอกบอกว่าเจ้าจะไม่เป็นไร ข้าขอโทษ เจ้านอนพักเถอะนะ ที่เหลือข้าจะจัดการต่อเอง” จงแดเอ่ยเสียงเรียบ ท่ามกลางน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มของแบคฮยอนด้วยเสียใจที่ถูกหักหลัง

    แล้วเขาก็รู้สึกตัวตื่นไม่นานหลังจากนั้น มือเท้าแขนขาขยับไม่ได้สักนิด ทำได้เพียงกลอกตาและส่งเสียงที่ไม่เป็นคำ กำลังถูกลากเข้าไปในห้องหนึ่งโดยหุ่นยนต์สาวซึ่งฟังคำสั่งของมินซอกเพียงผู้เดียว

    แบคฮยอนอยากจะหัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก เขาคงกำลังเข้าไปใช้อุปกรณ์บ้านั่นแน่ๆ หากใช้จริงนี่อาจเป็นจุดจบของชีวิตก็เป็นได้ เทวดาจึงภาวนาต่อพระเจ้าถึงความปรารถนาสุดท้ายก่อนตาย

    ว่าเขาอยากเจอหน้าชานยอลสักครั้ง

    ไม่รู้เหมือนกันว่าชานยอลมาเจอเขาหรือไม่ ในตอนนั้นหลังจากแบคฮยอนถูกสายเชื่อมต่อเข้ากับกล่องแล้วก็รู้สึกปวดแปลบตรงท้ายทอยขึ้นมา อันที่จริงอาการปวดแปลบตรงท้ายทอยนี้แบคฮยอนเป็นบ่อยๆ ในช่วงหลังแต่ไม่มากเท่านี้ ท้ายทอยร้อนมากขึ้นจนเขาต้องส่งเสียงร้อง จากนั้นมันก็ไม่ปวดอีก

    หลังจากนั้นมินซอกที่อยู่ในห้องควบคุมก็กดเปิดปุ่มทำงาน ร่างกายของแบคฮยอนจึงปล่อยพลังออกมาพร้อมกับความเจ็บปวดอย่างที่ทนแทบไม่ได้

    ร่างเทวดาราวกับแตกเป็นเสี่ยง แบคฮยอนได้กลิ่นคาวเลือดของตนเองและรับรู้ว่าพลังกำลังไหลออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว จากตอนแรกเขาถูกพันธนาการด้วยอุปกรณ์และยาพิษ เสียงที่มีจึงได้เอ่ยออกมาไม่ชัดและพูดออกมาไม่เป็นคำ แต่ต่อมามันก็ดังขึ้นๆ ราวกับความเจ็บปวดทลายฤทธิ์ยาพิษออกสิ้น

    แบคฮยอนตะโกนเรียกชื่อชานยอลและกรีดร้องเสียงดัง รู้สึกร้อนท้ายทอยและร้อนไปทั้งร่างกาย จากนั้นสติก็ดับวูบไปในเวลาไม่นาน



    จนกระทั่งตอนนี้มารู้สึกตัวตื่นก็พบว่าตนเองไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทำอะไรแล้ว

    น้ำตาไหลอาบแก้มเทวดาช้าๆ


    ถ้าเขาไม่หาเรื่องทะเลาะกับชานยอล
    ถ้าเขาไม่ทำตัวเป็นเด็กงอแง
    ถ้าเขาจะคิดให้มันดีกว่านี้เสียหน่อย
    ถ้าเพียงแต่เขาจะไม่น้อยใจชานยอลแล้วจากนรกมาบนโลกซึ่งเต็มไปด้วยมนุษย์ผู้โลภมากและขาดสติพวกนี้...

    คำว่า ถ้า... มันคงไม่มีความหมายแล้วในเมื่อตอนนี้เขาไม่มีทางกลับไปทำแบบนั้นได้อีก

    จึงได้แต่นอนเสียใจเงียบๆ อย่างเดียวดาย

    เสียใจ
    เสียใจที่แม้แต่ตอนนี้จะขยับตัวเพื่อหาทางหนีก็ยังทำไม่ได้

    “ชานยอล เจ้าจะมาช่วยข้ารึเปล่า” เทวดากล่าวกับตนเองแล้วก็ยิ้มในความหวังอันเรือนลางของตนเอง

    หลังจากนั้นแบคฮยอนก็หลับไปอีกครั้งเพราะร่างกายยังคงเหนื่อยล้า


    ****lucky one and monster****



    ชานยอลใช้พลังมืดแปลงเป็นดาบไฟสองเล่มเข้าฟาดฟันกองทัพมนุษย์ที่เข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่สิ จะบอกว่าเป็นมนุษย์ก็ไม่เชิงเพราะสิ่งที่พวกเขาต่อสู้อยู่น่าจะเป็นหุ่นยนต์รูปร่างมนุษย์ซึ่งถูกควบคุมด้วยมนุษย์ตัวจริงเสียงจริงจากที่ไหนสักแห่งของฐานทัพที่นี่

    หลังจากเขาฝันประหลาดถึงแบคฮยอนและสามารถตรวจเจอสัญลักษณ์ของคนรักได้ ชานยอลก็รวบรวมทหารมารระดับเอส ซึลกิ อี้ชิง สามสาวลัคกี้วัน มารมือซ้ายและเลขาคยองซูแล้วเตรียมพร้อมมาที่นี่ทันที

    หากแต่ขณะจะออกจากสถานีรถไฟระหว่างภพภูมิก็พบว่าซูโฮมาพร้อมมารมือขวาของเขา และทหารเทพระดับเอสอีกจำนวนหนึ่งด้วย แม้ว่าชานยอลอยากจะบอกซูโฮว่าให้รออยู่เบื้องหลังมากกว่าแต่เทวดาอาวุโสกลับกล่าวว่าหลานของเขาทั้งตนจะไม่ไปช่วยได้อย่างไร เท่านั้นพญามารก็ไม่คิดจะห้าม ก่อนเขาจะมาก็สั่งการกับมารอาวุโสจำนวนหนึ่งไว้เช่นกันว่าหากเกิดอะไรขึ้น ก็ให้แต่งตั้งพญามารตนใหม่ได้เลย

    คาดว่าซูโฮก็คงสั่งเสียเทพอาวุโสไว้แล้วเช่นกัน ถึงได้พากันมาแบบไม่กลัวตายแบบนี้ ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะเทวดามีพลังรักษาและฟื้นฟูเป็นเลิศ หากแบคฮยอนเจ็บหนักอย่างที่เขาฝันก็คงต้องรักษากันขนานใหญ่

    พญามารเห็นทุกคนตั้งใจมั่นก็พาทุกคนออกเดินทางด้วยรถไฟเพื่อรักษาพลังเวทไว้ใช้ในการเดินทางบนโลก

    ชานยอลพร้อมต่อสู้เพื่อแบคฮยอนอย่างเต็มกำลังแล้ว


    ตู้ม!

    เสียงระเบิดพาให้ชานยอลกลับมาสนใจการต่อสู้อีกครั้ง เขาค้นพบว่าที่นี่ถูกตั้งอยู่ในย่านเสื่อมโทรมของเมืองร้างเมืองหนึ่ง ด้านบนของฐานทัพนี่เป็นคล้ายกับลานกำจัดขยะเก่าๆ ด้วยซ้ำ ดังนั้นที่นี่จึงซ่อนตัวได้ดีเยี่ยมจนไม่มีใครเคยพบ มิน่าล่ะ เลขาลำดับหนึ่งของเขาถึงหาไม่เจอ

    ภายใต้ลานกำจัดขยะมีประตูลับซ่อนอยู่ ตรงนี้ได้ซึลกิช่วยค้นหาจึงเปิดได้ แม้จะสงสัยว่านักเวทสาวหาเจอในเวลาไม่นานได้อย่างไร แต่เมื่อหาทางเข้ามาได้แล้วพวกเขาก็บุกเข้าไปตรงๆ เลย

    แน่นอนว่าสัญญาณผู้บุกรุกดังขึ้นในเวลาไม่นาน จากนั้นเมื่อไฟของทางเดินค่อยๆ ปิดมืด ก็ปรากฏร่างของมนุษย์ผู้หญิงจำนวนหนึ่ง ในคราแรกชานยอลสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ผู้หญิงแต่ดูอีกทีเขาก็คุ้นเคย นั่นเป็นหุ่นยนต์ต่างหาก เหมือนกับในฝันที่เขาเจอแบคฮยอนเลยล่ะ

    ชานยอลเอาดาบไฟฟาดใส่หุ่นยนต์ไปครั้งหนึ่ง เจ้าพวกนี้ก็ช่างอึดนัก แม้รูปร่างของหุ่นยนต์จะเป็นหญิงสาวบอบบางสวมชุดสีขาวสะอาดตา แต่ชานยอลก็รู้เลยว่ามันต้องไม่ใช่แค่นั้นแน่ๆ

    หญิงสาวหุ่นยนต์เปิดฝาบนแขนจากนั้นก็พ่นมิซไซล์ขนาดเล็กออกมาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะหลบได้ไม่ยากนัก แต่นั่นก็เหมือนเป็นตัวหลอกล่อความสนใจ เพราะหลังจากนั้นลูกปืนก็ส่งออกมาเป็นชุด แต่เมื่อผ่านบาร์เรียของชานยอลไม่ได้ ลูกเตะลูกถีบรวมถึงกระบี่ยาวซึ่งแปลงร่างมาจากเข็มขัดของพวกเธอก็เข้ามาฟาดฟันต่อสู้กับดาบไฟของชานยอลไม่หยุด

    ร่างสูงของพญามารมีทักษะการต่อสู้สะสมมาเป็นเวลากว่าพันเก้าร้อยปีแล้ว จึงสามารถจัดการพวกหุ่นยนต์ไปได้ไม่น้อย แต่ก็ยอมรับว่าหุ่นยนต์พวกนี้เก่ง จึงได้ฝากบาดแผลไว้ที่เขาบ้างนิดหน่อย แม้จะมีเลือดออกแต่ชานยอลก็ยังไม่คิดเสียเวลารักษา สิ่งที่สำคัญตอนนี้คือเข้าไปช่วยแบคฮยอนออกมาให้เร็วที่สุดต่างหาก

    เมื่อกำจัดหุ่นยนต์ออกไปพ้นทาง ชานยอลจึงพุ่งเข้าไปด้านในโดยมีเหล่าผู้ติดตามและราชาแห่งเทพตามมาติดๆ

    แต่ก็พบว่าทางเข้านั้นแบ่งออกเป็นสามสายเสียอย่างนั้น

    ชานยอลพยายามเพ่งหาสัญลักษณ์ของแบคฮยอนเพื่อหาว่าจะต้องเข้าไปทางไหน แต่ก็จับสัญญาณได้ไม่ชัดนัก คล้ายว่าในนี้จะมีอุปกรณ์รบกวนการใช้พลังเวทอยู่ไม่น้อย เมื่อจับจุดไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี พญามารเลยออกคำสั่งเช่นเคย

    “ขออภัยที่ล่วงเกิน” ชานยอลกล่าวขึ้นต้นกับซูโฮที่มีระดับเท่ากันก่อน “ราชาแห่งเทพ ท่านไปทางซ้ายสุดกับเซฮุนและซึลกิ ส่วนจงอิน คยองซู อี้ชิงให้ไปทางขวา และข้ากับซาร่า จองฮวา นาอึนจะไปทางเส้นกลางเอง”

    พอชานยอลพูดจบก็แบ่งกำลังทหารมารและเทพออกเป็นสามกลุ่มเท่าๆ กันก่อนจะแยกย้ายออกไปอย่างรวดเร็ว

    แล้วก็เจอกับกลุ่มหุ่นยนต์อีกกลุ่มหนึ่งเข้า

    ดาบไฟถูกเรียกออกมาพร้อมฟาดฟันทันที แต่คราวนี้หุ่นยนต์มาแปลกกว่ากลุ่มแรก พวกมันจงใจล้อมชานยอลไว้เป็นวงกลมเพื่อกันคนอื่นออกจากเขา

    ประตูตรงทางเดินเปิดออกเป็นช่องว่าง จากนั้นก็มีแรงดูดขนาดใหญ่เริ่มดึงทหารมารที่มากับชานยอลให้เข้าไปในช่องทีละคนสองคน มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนทหารมารสิบกว่านายและทหารเทพอีกสิบกว่านาย หายไปในพริบตา

    เหลือก็เพียงสามสาวอดีตลัคกี้วันกับชานยอลไว้

    “ซาร่า นาอึน จองฮวา หนีไป!” ชานยอลพยายามตะโกนไปทางสามสาวในขณะที่ตนรับมือกับพวกหุ่นยนต์เพียงลำพังในวงล้อม แต่เพราะพวกเธอก็กำลังต่อสู้กับหุ่นยนต์จำนวนไม่น้อยเช่นกัน จึงไม่สามารถทำตามคำสั่งของชานยอลได้

    ชานยอลสบถในใจ เหมือนว่าเมื่อครู่ตรงปากประตูนั้นเขาถูกหลอกอย่างหนัก เห็นว่าหุ่นยนต์ที่เฮโลไปรับพวกเขานั้นถูกทำลายทิ้งได้ในไม่กี่ดาบก็นึกว่าจะบุกเข้ามาได้ง่ายๆ กลายเป็นว่าศัตรูมีลูกเล่นอย่างเวทแรงดึงดูดซึ่งเอาทหารเทพและมารไปจนหมด ทั้งยังเอาหุ่นยนต์ระดับสูงกว่าเมื่อครู่ออกมาตีวงล้อมเขาและสามสาวลัคกี้วันไว้อีก ราวกับจะรู้ว่าใครมีพลังสูงบ้าง

    หรือว่านักเวทมิติคนนี้จะเป็นคนที่เคยไปสอดแนมที่วังของเขา นึกถึงเมื่อครั้งชานยอลตรวจพบว่ามีมนุษย์ซ่อนตัวอยู่ในห้องแบคฮยอน อาจจะเป็นคนนี้ก็ได้

    อย่างนี้ยิ่งไม่ได้การ ถ้าเคยไปสืบข่าวที่วังลูซิเฟอร์ก็ต้องรู้เรื่องที่แบคฮยอนมีพลังสูงสุดในประวัติการณ์แน่ พวกนั้นจะต้องใช้ประโยชน์จากพลังแบคฮยอนให้คุ้มที่สุด ชานยอลต้องรีบไปช่วยคนรักให้เร็วขึ้นแล้ว

    ชานยอลเริ่มรวบรวมพลังมืดเพื่อจะใช้ทำลายหุ่นยนต์ที่ล้อมเขาให้สิ้นซาก หากแต่เมื่อเขาเริ่มรวบรวมพลังทีไร ก็คล้ายกับว่าโดนดูดหายไปจนเกือบหมด เขาเสียเวลาในการรวมพลังไปด้วยและใช้กระบวนท่าต่อสู้รับมือกับหุ่นยนต์สาวไปด้วยไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเติมไฟให้ดาบคู่ใจของเขาเท่านั้น

    “โธ่เว้ย!” พญามารสบถเสียงดัง “ทำไมถึงรวมพลังไม่ได้”

    “เพราะข้าควบคุมพวกท่านไว้หมดแล้ว” นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ช่องลมจะมีเสียงคล้ายออกจากลำโพงออกมาคุยกับเขาเสียอย่างนั้น

    ชานยอลชะงักดาบในมือซึ่งหุ่นยนต์ก็ชะงักตาม ราวกับได้รับคำสั่งให้หยุด

    “เจ้าเป็นใครกันแน่” ชานยอลเห็นว่ามีโอกาสจึงได้ถามเสียงปริศนานั้น

    “ข้าเป็นใครงั้นหรือ? หากบอกชื่อท่านคงไม่รู้จัก แต่หากบอกว่าข้าเป็นนักเวทที่เคยประมือกับท่านในเขตกักวิญญาณที่สามสิบแปดมาก่อน ท่านน่าจะจำได้” เสียงในลำโพงตอบมาอย่างเยือกเย็น คล้ายจะลองว่าไฟภายในใจชานยอลร้อนเท่าใด

    “เป็นเจ้า!” พญามารสบถแล้วซัดพลังมืดใส่ช่องเสียงด้วยความโกรธ มีเสียงระเบิดตู้มคล้ายของพัง แต่ไม่นานจากนั้นผนังก็ปรากฏช่องว่างอีกช่องหนึ่งขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะ

    “ฮ่าๆ ใช่แล้วข้าเองชานยอล ถึงกับอารมณ์เสียเลยหรือนี่” เสียงจากลำโพงใหม่แต่คนเดิมทำเอาพญามารแทบคลั่ง

    “เจ้าต้องการอะไร ปล่อยแบคฮยอนเดี๋ยวนี้!” ชานยอลยังคงตวาดใส่เสียงนั่นอยู่แม้จะไม่เห็นตัวผู้พูดก็ตาม

    “ได้ปล่อยแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าก็รู้ว่าข้ายังใช้ ‘ประโยชน์’ จากเขาได้อีกมาก” เสียงจากลำโพงเรียบเฉยจนสามสาวเทวดาได้ยินก็ยังโมโห

    “ปล่อยแบคฮยอนเดี๋ยวนี้นะ!” ซาร่าซึ่งได้ยินทุกอย่างตวาดขึ้น เสียงดังไม่แพ้ชานยอลเลย

    “ใช่! ปล่อยน้องชายเราออกมาซะ ก่อนที่พวกเราจะโมโห” จองฮวาพูดขึ้นมาบ้าง นั่นทำให้ชานยอลแอบยิ้มนิดหน่อยแม้จะหงุดหงิด พวกสามสาวคิดว่าแบคฮยอนเป็นน้องชายงั้นหรือ

    “เจ้าห้ามทำอะไรเขานะ พาเราไปพบเขาเดี๋ยวนี้” นาอึนกล่าวขึ้นเสียงแข็งกร้าว ปกติเธอไม่เคยพูดเสียงแบบนี้กับใครมาก่อน แสดงว่าค่อนข้างโมโหไม่น้อยไปกว่าชานยอลแน่นอน

    “ใจเย็นๆ นะ ข้าน่ะไม่ใจร้ายขนาดไม่ให้พวกเจ้าเจอกันหรอก” เสียงในลำโพงพูดจบก็เงียบลงครู่หนึ่ง ราวกับรอให้จังหวะการเต้นของหัวใจของมารสั่นไหวเสียก่อน

    “อันที่จริงข้าน่ะ อยากให้พวกเจ้าทุกตนไปเจอกับเขาตอนนี้เลย”

    สิ้นเสียงปริศนาจากลำโพง ชานยอลก็เข้าใจว่าโดนทำให้หลงกลเสียแล้ว เมื่อหุ่นยนต์สาวที่คล้ายกับหยุดต่อสู้ไปเมื่อครู่ จู่ๆ ก็ปล่อยร่างแหซึ่งทำจากวัสดุประหลาดชนิดหนึ่ง เขาซึ่งหยุดการเคลื่อนไหวไปตั้งแต่เริ่มคุยกับเสียงนั่น ถึงกับต้องรีบปล่อยบาร์เรียป้องกันแต่ก็ยังไม่ทันเพราะบางส่วนรัดขาเขาไว้แล้ว

    “นี่มันอะไรกัน” ชานยอลสบถ ร่างสูงพยายามใช้ดาบไฟฟาดฟันใส่แต่ก็ไร้ผล

    “ที่ผ่านมาข้าจับเทวดาได้กว่าร้อยตนต่อปี ดังนั้นไม่ว่ามารหรือเทวดาตนไหนก็หนีร่างแหพันธนาการนี่ไม่พ้นหรอก หึหึ” เสียงจากลำโพงเอ่ยแล้วหัวเราะ

    “เจ้า!” ชานยอลกำลังจะด่าเจ้านั่นด้วยความโมโหแต่เพราะร่างแหจากหุ่นยนต์ลามมาถึงใบหน้าเขาแล้ว ชานยอลจึงพูดไม่ออกอีก

    พญามารพยายามหันหน้าไปมองความเคลื่อนไหวของอีกด้านก็พบว่าสามสาวที่มาด้วยกันถูกร่างแหนั่นมัดไว้ทั้งตัวแล้ว เขาเห็นแค่ร่างบอบบางของทั้งสามนิ่งไม่ไหวติง จึงพยายามดิ้นเพื่อให้พ้นจากพันธนาการนี่

    แต่พวกมันไม่แค่มัดเขาไว้ สายร่างแหยังส่งกระแสพลังช็อตให้ร่างเขาขยับไม่ได้ตลอดเวลาด้วย และเมื่อเขาพยายามขยับ ร่างแหพวกนั้นก็รัดแน่นพลางปล่อยพลังแน่นขึ้นจนชานยอลหายใจไม่ออกและสติก็เริ่มหาย

    “เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้เจอกับแบคฮยอนแล้ว ข้าจัดให้” เสียงในลำโพงกล่าวทิ้งท้ายแล้วจากนั้นชานยอลก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย


    ****lucky one and monster****


    “ชานยอล!”

    แบคฮยอนสะดุ้งตื่นและร้องออกมาเสียงดัง

    เขาฝันถึงคนรัก ในฝันนั้นชานยอลถูกจับตัวเอาไว้ แต่ในฝันมีใครอีกหลายตนที่เขารู้จักด้วย ทั้งเทวดาสามสาวอดีตลัคกี้วัน มารมือซ้ายจงอินและคยองซู ท่านแม่อี้ชิง รวมไปถึงมารมือขวาเซฮุนและท่านตาซูโฮของเขาด้วย

    แบคฮยอนรู้สึกว่าตนเองลืมตาแต่ก็ยังไม่พบเจอความสว่างจึงคาดเดาว่าตอนนี้เป็นกลางคืน มือน้อยพยายามยันตัวขึ้นเพื่อจะลุกไปเปิดไฟแต่ก็ไม่เป็นผล เทวดาสบถออกมาด้วยความโกรธในพละกำลังของตนเอง หากเขายอมเชื่อฟังซาร่า หมั่นออกกำลังกายเสียหน่อยก็คงไม่ต้องลำบากเช่นนี้แล้ว

    เคยหลงคิดว่าตนเองมีพลังสว่างที่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมดจึงได้แค่พยายามฝึกฝนการใช้พลัง เขาหาได้คิดไม่ว่าหากเขาใช้พลังไม่ได้ ร่างกายที่พระเจ้าให้มานั้นจะสามารถทำอะไรได้บ้าง แม้แต่ต่อยเตะหรือวิ่งไกลแบคฮยอนยังไม่แน่ใจว่าเวลาปกติเขาจะไหวไหม นับประสาอะไรกับร่างกายที่มีแต่ผ้าพันแผลและบาดแผลยังไม่สมานตัวทั้งหมดแบบนี้

    แต่ว่า... หากเขาไม่พยายามลุกขึ้นตอนนี้จะไปทำตอนไหน

    เมื่อคิดว่ากายพร้อมใจพร้อมเราทำได้ แบคฮยอนจึงค่อยๆ ยกมือซ้ายขึ้นมา แสงไฟจางๆ จากทางเดินส่องเข้ามาให้รู้สึกว่าผ้าพันแผลยังคงแน่นอยู่เช่นเดิม แล้วมือขวาที่รออยู่ก็ยกตามมาในเวลาไม่นานนัก มือน้อยพยายามยันตัวให้ไหล่สามารถยกได้ แต่พอเริ่มออกแรงมากเข้า แผลบางส่วนก็ปริออกก่อให้เกิดอาการแสบขึ้นเป็นริ้วๆ

    “โอ๊ย!” แบคฮยอนร้องเสียงดังในความมืด จากนั้นก็กัดฟันไว้ไม่ให้ร้องอีก เขาจะยอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้ ก่อนจะหนีก็ต้องลุกขึ้นให้ได้ก่อน

    มือน้อยชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อ กลิ่นคาวเลือดที่ออกจากแผลปริก็ลอยมาตามลมเรื่อยๆ แขนทั้งสองข้างสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ ในที่สุดไหล่เล็กก็ยกขึ้นจากนั้นมือสองข้างก็ค้ำยันไว้ แบคฮยอนยกตัวขึ้นมานั่งพิงฝาผนังได้สำเร็จด้วยอาการเหนื่อยหอบ

    น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลเป็นสาย เจ็บที่กายไม่พอตอนนี้ยังรู้สึกเจ็บใจมากด้วย ทำไมเขาต้องอ่อนแอขนาดนี้ ไม่เข้าใจตนเองเลย ถ้าเกิดว่าเขาสามารถใช้พลังรักษาตนเองได้ล่ะก็...



    จู่ๆ แสงสว่างเล็กๆ คล้ายแสงระยิบระยับจากประกายเพชรก็ปรากฏขึ้นรอบตัวขึ้นมาช้าๆ

    เทวดาตัวเล็กประหลาดใจมากกับสิ่งนี้ ตาเรียวกะพริบปริบแล้วมองอีกครั้งก็พบว่าประกายนั้นยังอยู่ให้รู้สึกอบอุ่นมากนัก

    หรือว่านี่จะเป็นพลังสว่างที่เขาสามารถเรียกมาได้?

    แบคฮยอนยื่นมือออกมาไขว่คว้าประกายแสงเล็กๆ นั่นไว้ เมื่อลองกำมือแล้วคลายออกจึงรู้สึกว่าแสงสีขาวนั้นอบอุ่นคล้ายน้ำอุ่นที่ท่านตามักเตรียมให้เขาอาบน้ำตอนเด็กๆ มือน้อยกำแสงประหลาดนั่นเอาไว้อีกครั้งแล้วจินตนาการความอบอุ่นไปว่าเป็นอ้อมกอดของชานยอลที่เขารัก

    พลันมือที่กำแสงประหลาดนั้นก็สว่างวาบหนึ่งครั้งแล้วมือแบคฮยอนก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีก

    เขาแกะผ้าพันแผลบนมือออกมาก็พบว่าเลือดไหลซึมเมื่อครู่หายไป ที่สำคัญบาดแผลก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย หรือนี่จะเป็นพลังสว่างที่เชื่อฟังเขาจริงๆ

    แบคฮยอนเริ่มออกคำสั่งให้แสงประหลาดนั้นควบแน่นเป็นก้อนพลังแสงจากนั้นก็แปรให้เป็นพลังรักษา เขาเริ่มจากมือทั้งสองข้าง แขนขาซ้ายขวา จากนั้นทั่วร่างกายก็ปกคลุมด้วยแสงอันอบอุ่นเต็มไปหมด ภายหลังจากแสงสว่างวาบหลายต่อหลายครั้ง บาดแผลทั่วร่างกายก็ลดลงจนหายไปทั้งหมด

    ร่างเล็กแกะผ้าพันแผลออกไปทั้งตัวจากนั้นยันตัวออกจากเตียงอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นได้แล้ว เขาสามารถวิ่งได้ด้วยซ้ำ แบคฮยอนรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่าเขาสามารถหนีออกไปจากที่นี่ได้แล้ว

    พอคิดได้ แบคฮยอนก็พยายามคลำหาสวิตช์ไฟเพื่อจะทำให้ห้องสว่างก่อนจะส่องข้างนอกสักหน่อย แต่เมื่อไฟในห้องสว่างวาบ เขาก็ตกใจเมื่อประตูเปิดออกมาอย่างรวดเร็ว

    ร่างเล็กรีบไปตั้งหลักที่เตียงก่อน ตอนนี้แสงไฟจากไฟฟ้าในห้องทำให้แสงระยิบระยับเมื่อครู่หายไป พอตั้งสติได้ก็เงยหน้ามองที่ผู้บุกรุกห้องเขาก่อน

    “จงแด!” แบคฮยอนพูดเสียงดังเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนตกใจอยู่ในห้องเขาคือเทวดาเพื่อนสนิทนั่นเอง หัวใจที่คิดว่าหายเจ็บไปเมื่อครู่เริ่มปวดปลาบมาเล็กน้อย

    จงแดหักหลังเขา เทวดาตนนี้ไม่ใช่เพื่อนเขาแล้ว

    “แบคฮยอน! เจ้าฟื้นแล้ว แผลเจ้าหายแล้วด้วย” จงแดร้องขึ้นมาด้วยความโล่งอก พลางวิ่งเข้ามากอดแบคฮยอนไว้แต่เทวดาตัวเล็กกลับหลบไปทางอื่นไม่ยอมให้กอดเสียอย่างนั้น

    “เจ้าจะทำอะไร” แบคฮยอนแค่นเสียง เขาไม่ไว้ใจเทวดาตนนี้อีกแล้ว

    “ข้าแค่จะกอดเจ้าเพราะโล่งใจที่เจ้าปลอดภัย” จงแดทำเสียงเศร้าพาให้แบคฮยอนใจอ่อนลงหลายส่วน ร่างเล็กเริ่มใช้สมองประมวลผลว่าเพื่อนพูดจริงหรือไม่ จึงเริ่มสำรวจที่สภาพอีกฝ่าย

    เพื่อนสนิทของแบคฮยอนตอนนี้สภาพไม่ค่อยดีนัก เสื้อผ้าค่อนข้างสกปรกและใบหน้ามีรอยเขียวคล้ำราวกับไปต่อยกับใครมาด้วย ศีรษะมีคราบเลือดนิดหน่อยแต่โดยรวมไม่บาดเจ็บหนักแต่อย่างใด นั่นทำให้แบคฮยอนสงสัย

    “เจ้า... ไปทำอะไรมา” เขาอยากจะถามเพื่อนว่าไปต่อยกับหมาที่ไหนมาแต่ก็ยั้งปากไว้หน่อย

    “ข้า...” จงแดพูดพลางก้มหน้าสำนึกผิด แต่สักพักก็กล่าวเงยหน้าแล้วพูดกับแบคฮยอนด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

    “ข้าหนีมา เขาจับตัวพวกชานยอลไว้แล้ว และเราต้องหนีออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!”

    จงแดพูดแล้วก็พยายามพาตัวแบคฮยอนไปทางประตูอย่างรวดเร็ว ร่างเล็กพยายามฉุดรั้งเพื่อนไว้เพราะจับใจความไม่ถูก แต่เมื่อทวนคำพูดเมื่อครู่ก็สะบัดมือเพื่อนออกอย่างแรงแล้วจับไหล่จงแดเอาไว้แน่น

    “เจ้าว่ายังไงนะ ชานยอลถูกจับอย่างนั้นหรือ?”

    “ใช่ พวกเขาถูกจับหมดแล้ว ข้าเพิ่งรู้เมื่อกี้ ข้าจึงพยายามหนีออกมา” จงแดละล่ำละลักตอบ “พวกเราหนีกันเถอะแบคฮยอน พวกเขาน่าจะไม่รอดแล้ว ไปกับข้า!” จงแดพยายามจับมือแบคฮยอนแล้วลากไปหน้าประตูอีกครั้ง

    แต่แบคฮยอนกลับฉุดจงแดไว้ด้วยแรงทั้งหมดพร้อมประกาศกร้าว

    “ข้าไม่หนีไปไหนทั้งนั้น ข้าจะไปช่วยชานยอล!”



    คนมาช่วยเหมือนจะต้องถูกช่วยและคนที่ต้องถูกช่วยก็จะไปช่วยแล้ว โอ่ย งงมะ เป็นกำลังใจให้ทั้งคู่ด้วยนะ ลุ้นมากเล้ย
    ปล.เสียงในลำโพงนี่น่าจะเดากันได้ละเนอะ
    ปล.2 มีใครจับจุดได้รึยังว่าพี่จงแดเป็นอะไร

    #luckyonecb
    @noeybaekbd


    avatar
    noeybaekbd


    จำนวนข้อความ : 31
    Join date : 15/08/2016

    [EXO] dear my lucky one เทวดาที่รัก ChanBaek Empty Dear my lucky one เทวดาที่รัก 23 พบกันอีกครั้ง

    ตั้งหัวข้อ by noeybaekbd Wed Sep 21, 2016 11:02 pm



    Dear my lucky one เทวดาที่รัก 23
    พบกันอีกครั้ง






    “พาข้าไปหาชานยอลเดี๋ยวนี้ จงแด!” แบคฮยอนตวาดใส่เพื่อนอย่างไม่ไว้หน้า เล่นเอาจงแดหน้าซีดพลางทำอะไรไม่ถูก

    “เจ้าจะไปจริงๆ หรือแบคฮยอน” มือสองข้างของจงแดกำแน่นจนห้อเลือดไปหมด

    “ข้าจะไป... จงแด เดี๋ยวนะ เจ้า...” แบคฮยอนรั้นจะไปหาชานยอลให้ได้จนลืมไปว่าเมื่อครู่เขาสังเกตว่าจงแดแปลกๆ ร่างเล็กจึงหยุดดึงดันจะให้เพื่อนพาไปหาคนรักแล้วหันมามองเทวดาด้านข้างอย่างพินิจพิจารณาเสียก่อน

    “ข้า...” จงแดพูดได้แค่นั้นก็กุมหัวแล้วร้องเสียงดัง

    “อ๊ากกกกกกกกกก”

    “จงแดเจ้าเป็นอะไร” แบคฮยอนตกใจมาก เขาทำอะไรไม่ถูก ได้แต่จับไหล่เพื่อนไว้แล้วเรียกซ้ำๆ

    “จงแด ได้ยินข้าไหม จงแด!!”

    แม้จะเขย่าตัวหรือถามซ้ำๆ ก็ไม่มีอะไรตอบสนองนอกจากเสียงร้องอย่างเจ็บปวด แบคฮยอนค่อนข้างอ่อนใจ เขาเองไม่แน่ใจว่าพลังสว่างที่เอามารักษาตัวเมื่อครู่ยังอยู่หรือไม่ ร่างเล็กจึงตั้งสมาธิเพื่อเรียกพลัง แต่ยังไม่ทันจะได้รู้สึกถึงความอบอุ่น จงแดก็นิ่งงันแล้วล้มไปเสียก่อน

    “จงแด ฟื้นสิ เจ้าเป็นอะไรกันแน่” แบคฮยอนตกใจมากกับอาการของเพื่อนรัก น้ำตาเริ่มไหลเพราะเขากลัวว่าเพื่อนจะเป็นอะไรไปต่อหน้า เขาคงทำใจไม่ได้แน่ถ้าจงแดป่วยหรือกระทั่งตายไปตอนนี้ มือสวยเขย่าตัวเพื่อนไปทั่ว แต่สักพักเขาก็ตกใจจนผงะถอยหลัง

    เมื่อจู่ๆ จงแดลืมตาโพลงจากนั้นก็ลุกขึ้นราวกับเมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรทั้งนั้น

    “แบคฮยอน เจ้าอยากจะไปหาชานยอลใช่ไหม งั้นเดี๋ยวข้าจะพาไป” จงแดพูดจบก็หันตัวไปทางประตูทันที สร้างความประหลาดใจให้กับเขาอย่างมาก แม้จะไม่แน่ใจนักว่าเพื่อนเป็นอะไรแต่แบคฮยอนค่อนข้างมั่นใจว่าจงแดพูดจริง จึงได้ลุกตามไปพลางถามอย่างเป็นห่วง

    “เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วเหรอ จงแด ตอบสิ” มือน้อยข้างหนึ่งยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มเมื่อครู่ ส่วนอีกข้างก็ยกไปจับชายเสื้อเพื่อนเอาไว้ ดึงน้อยๆ ให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขากำลังเป็นห่วงอยู่

    “ไม่เป็นไรแล้ว เราไปกันเถอะ” อารามว่าจงแดเดินเร็วมาก แบคฮยอนจึงทำได้แค่เดินตามให้ทัน เขาไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าใบหน้าจงแด ‘ไม่เป็นไร’ อย่างที่บอกหรือไม่

    “อืม” แบคฮยอนได้แต่ตอบแล้วเดินตามไปเท่านั้น



    จนกระทั่งถึงห้องหนึ่งซึ่งแบคฮยอนคุ้นๆ ว่าเป็นห้องทดสอบซุปเปอร์อิลลูมิเนติ จงแดก็หยุดเดิน จากนั้นจึงเปิดประตูช้าๆ

    “จงแด ห้องนี้ใช่แน่เหรอ” แบคฮยอนถามได้แค่ประโยคเดียว ก็มีเสียง ‘พรึ่บ’ ทำให้ห้องทดสอบซุปเปอร์อิลลูมิเนติขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลสว่างไสวในพริบตา

    พร้อมกับทำให้ใจของแบคฮยอนตกลงไปอยู่ตาตุ่มเรียบร้อย

    เขากำลังยืนอยู่ท่ามกลางเครื่องซุปเปอร์อิลลูมิเนติเหมือนเคยแต่มีหลายส่วนที่แปลกไป เริ่มจากหูฟังแบบเฮดโฟนที่เคยวางกระจัดกระจายบนแท่นความสูงไม่เท่ากันหายไปเกือบทั้งหมด แทนที่ด้วยจอทีวีขนาดยี่สิบสี่นิ้ว ถ่ายทอดสัญญาณภาพบุคคลสำคัญต่างๆ ซึ่งเขาจำได้จากโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีหรือผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ รวมถึงนักแสดงชื่อดังทั้งหลาย

    แต่สิ่งที่ทำให้แบคฮยอนตะลึงงันมากที่สุด กลับไม่ใช่ความยิ่งใหญ่อลังการของหน้าจอทีวีนับหมื่นจอ แต่เป็นเพราะบางแท่นวางใกล้ๆ กล่องควบคุมซุปเปอร์อิลลูมิเนติปรากฏร่างที่เขารู้จักต่างหาก

    เมื่อตั้งสติได้บางส่วนแล้ว เทวดาตัวน้อยจึงวิ่งไปที่แท่นวางใกล้สุด แท่นนั้นสูงเพียงสิบเซนติเมตรแต่กลับมีเสายื่นขึ้นไปสูงกว่าสองเมตร พันธนาการเทวดาสาวสวยตนหนึ่งด้วยตาข่ายรูปร่างประหลาด หญิงสาวมีเส้นผมสีทองงดงามและใบหน้าได้รูปนั้นถูกหน้ากากสีแดงปิดดวงตาไว้

    “นาอึน!” แบคฮยอนพยายามแกะตาข่ายที่รัดขาหญิงสาวออก พลางร้องเรียกเทวดาบนแท่นไปด้วย ร่างแน่นิ่งไม่ไหวติงทำเอาเขาใจเสียไม่น้อย ไม่ใช่ว่า...

    เทวดาน้อยแอบรวบรวมพลังสว่างจากประกายเล็กๆ ที่ติดมือเขาให้กลายเป็นมีดพลังสว่างเส้นเล็ก จากนั้นก็พยายามตัดตาข่ายที่มัดนาอึนออกทีละน้อย เขายิ้มเมื่อมันได้ผล ตาข่ายที่รัดหญิงสาวไว้คลายตัวลงแล้ว เมื่อนาอึนล้มลงมาจากแท่น แบคฮยอนก็รีบเอาแขนตัวเองไปรับไว้

    มือสวยหยิบเอาหน้ากากสีแดงที่ปิดดวงตาหญิงสาวออกไป จากนั้นอังมือตรงจมูก แล้วก็โล่งใจไปหนึ่งแถบ นาอึนยังไม่ตาย เธอคล้ายกับหมดสติไปเฉยๆ เท่านั้น แบคฮยอนจึงวางนาอึนลง แล้ววิ่งไปหาแท่นต่อไป

    “หยุดอยู่ตรงนั้นแบคฮยอน!”

    แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงจากที่ไหนไม่ทราบได้ ทำให้เขาชะงัก

    ไม่ใช่สิ จะว่าไม่ทราบได้อย่างไร ในเมื่อเขาคุ้นเคยกับเสียงนี้อยู่แล้ว ชายคนนี้พูดกรอกหูเขาอยู่ทุกวี่วันมาหลายสัปดาห์จนแบคฮยอนจำเสียงแบบนั้นได้แล้ว



    “นายจะทำอะไรพวกเขา มินซอก!”

    แบคฮยอนพูดเสียงกร้าวพลางหันไปมองรอบๆ เพื่อหาห้องควบคุมซุปเปอร์อิลลูมิเนติซึ่งมีมินซอกอยู่ในนั้น อันที่จริงเมื่อตอนเขานอนพักรักษาตัวจากการถูกอุปกรณ์ดูดพลังทำร้ายก็ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าพวกเขาโดนหลอกใช้ อีกทั้งเมื่อครู่จงแดมาบอกว่าหนีมา เขาก็รู้ในทันทีว่าคนที่จงแดหนีมาต้องเป็นมินซอกแน่ๆ

    พูดถึงจงแด แล้วเพื่อนของเขาล่ะไปไหน

    ทันเท่าความคิด เมื่อจู่ๆ แบคฮยอนรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่อย่างจังหนึ่งครั้ง ร่างเล็กล้มลงทันทีเพราะความแรงของการช็อต สายฟ้าอย่างนี้ไม่น่าโผล่มาจากที่ใดได้นอกจากว่า...


    แบคฮยอนพยายามยันตัวลุกขึ้นพลางมองคนคนหนึ่ง ไม่สิ เทวดาตนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ จงแดยังมีประกายสายฟ้าลั่นเปรี๊ยะๆ ในมือพร้อมฟาดใส่เขาอีกครั้ง แบคฮยอนจึงกระเถิบถอยหนี พยายามรวบรวมพลังบ้าง จากนั้นจ้องหน้าเพื่อนด้วยดวงใจปวดร้าว เขากะว่าจะส่งพลังสว่างส่งไปให้เพื่อนรักได้จุกอก แต่พอกำลังจะส่งไป กลับเห็นความผิดปกติบางอย่าง

    จงแดมองหน้าเขาด้วยสีหน้าปวดร้าว นัยน์ตาที่เคยมองเขาด้วยความเอ็นดูเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แถมยังมีน้ำตาคลออยู่ไม่น้อยด้วย

    “แบคฮยอน...” จงแดพูดเสียงสั่น จากนั้นก็รวมพลังสายฟ้าไว้ในมือ แบคฮยอนไม่เข้าใจการกระทำนี้เลย ใบหน้าเพื่อนเขาราวกับว่าไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ก็เดินเข้ามาพร้อมทำร้ายเขาเนี่ยนะ

    เหมือนจงแดกำลังถูกควบคุมอยู่ ใช่แล้ว!

    “เจ้าทำอะไรจงแด หา! มินซอก!” แบคฮยอนตะโกนเสียงดังไปทั่วห้อง เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ตอบกลับมา พร้อมกับจงแดกำลังน้ำตาไหลเรื่อยๆ ตอนนี้เพื่อนสนิทของเขาไม่รวมพลังสายฟ้าไว้ในมือแล้ว แต่กำลังกุมศีรษะด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ยื่นมาหวังจับตัวแบคฮยอนไว้

    “ช่วย... ด้วย...” จงแดพูดเสียงเบาแต่นั่นก็ทำให้แบคฮยอนตื่นตระหนก

    “ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้ มินซอก!” แบคฮยอนตะโกนไปที่ผนังห้องอีกครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าห้องควบคุมนั่นอยู่ตรงไหน ได้แต่ตะโกนไปรอบๆ พลางหันมามองสภาพเพื่อน

    ตอนนี้อาการของจงแดไม่สู้ดีนัก แม้จะไม่รวบรวมพลังสายฟ้าเพื่อมาทำร้ายเขาแล้ว แต่ก็ยังกุมศีรษะร้องครางไม่หยุด แบคฮยอนจึงวิ่งไปจับตัวจงแดไว้อย่างไม่กลัวตาย พลางกอดเพื่อนเอาไว้

    “ไม่เป็นไรนะจงแด เจ้าต้องไม่เป็นไร” เทวดาผู้น้องกอดเทวดาผู้พี่ด้วยใจที่ปวดร้าว เขาไม่แน่ใจว่าจงแดเป็นอะไรแต่พอจะจับจุดได้แล้วว่าเพื่อนถูกทำอะไรมา อาการของจงแดคล้ายกับกำลังต่อสู้ความคิดในสมอง เพื่อนสนิทของเขาถูกมินซอกใช้อิลลูมิเนติทำให้ถูกควบคุมไว้แน่ๆ แม้จะไม่รู้ว่ามินซอกจัดการเพื่อนเขาไปตอนไหน แต่ตอนนี้แบคฮยอนจะไม่ยอมอีกแล้ว

    “เจ้าไม่ต้องฟังเขาแล้ว ฟังเสียงหัวใจของเจ้าก็พอ เข้าใจไหมจงแด” จงแดเนื้อตัวสั่นเทาราวลูกแมวตกน้ำแบคฮยอนจึงกอดแน่นขึ้น เขาได้ยินเสียงเพื่อนครางด้วยความเจ็บปวด อาจจะกำลังต่อสู้กับคำสั่งหรือสำนึกหรืออะไรก็ตามในหัวอยู่แน่ๆ แต่เทวดาตัวน้อยก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แม้เคยพบอาการนี้เมื่อทำการทดลองก่อนหน้า แต่ก็ไม่รู้วิธีแก้ไข

    แบคฮยอนทดลองเอาพลังสว่างที่ตนมีค่อยๆ เปลี่ยนเป็นพลังรักษา แต่เมื่อเขาส่งพลังไปให้จงแด กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดีขึ้น แถมยังแอบร้องด้วยความเจ็บปวดมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เดี๋ยวก่อน! เวทกล่อมใจที่จงแดชอบใช้กับมินซอกไงล่ะ เขาแอบเรียนรู้มาอย่างลับๆ โดยจำบทเวทและสังเกตกระแสพลังเอา เมื่อนึกได้ แบคฮยอนจึงเริ่มท่องเวทและรวมพลังอย่างรวดเร็ว

    เมื่อเวทพร้อม แบคฮยอนก็ส่งมันไปให้จงแด คราวนี้เริ่มดีขึ้น เมื่อจงแดหยุดร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วจากนั้นก็สลบลงในอ้อมกอดเขา

    “จงแด หลับก่อนเถอะนะ” แบคฮยอนเมื่อเห็นเพื่อนหลับไปก็วางจงแดให้นั่งพิงแท่นวางอันหนึ่ง ก่อนจะหันไปคุยกับลำโพงสักแห่ง

    “ออกมาได้แล้วมินซอก ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่เจ้าทำร้ายเพื่อนข้า!” แบคฮยอนประกาศกร้าว ก่อนจะมองไปรอบๆ เพื่อดูว่าใครอยู่ในห้องนี้บ้าง แท่นวางด้านหน้าเขามีเทวดาลัคกี้วันอีกสามตน ซาร่า จองฮวา แม้แต่อี้ชิงก็ถูกจับไว้ เยื้องไปอีกนิดเป็นจงอินกับคยองซูถูกจับมัดไว้ด้วยกัน ขนาดว่าคยองซูก็โดนจับหมายความว่ามินซอกต้องมีลูกเล่นอะไรแน่ ถึงสามารถจับเทวดาที่เก่งกาจแบบคยองซูได้

    แบคฮยอนกังวลใจว่ามีใครอีกที่ถูกจับมาบ้างจึงมองไปหลายๆ แท่น พบว่ามีทหารมารและทหารเทพถูกจับมาไม่น้อย ทุกตนถูกทำให้สลบคล้ายนาอึน คงโดนจัดการกันหมดแน่

    แต่ว่า…

    ทำไม...

    หันมองไปทางไหนกลับไม่พบชานยอลเลยล่ะ?


    “เจ้าเอาชานยอลไปไว้ไหน มินซอก!” แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงโมโห คงไม่ใช่ว่ามินซอกให้จงแดไปหลอกเขาว่าจับชานยอลมาได้หรอกนะ ถึงแม้ว่าชานยอลยังไม่โดนจับเป็นเรื่องดี แต่อาจจะมีอะไรมากกว่านี้ก็ได้

    มินซอกกลับไม่ตอบ เทวดาตัวน้อยจึงเดินไปแท่นที่อี้ชิงยืนอยู่ แล้วเตรียมจะปล่อยท่านแม่ออกจากตาข่ายที่มัดเขาไว้

    “ข้าจับตัวชานยอลไว้แล้ว!” แต่ยังไม่ทันไปถึงแท่นที่วางอี้ชิงไว้ จู่ๆ มินซอกก็ตอบมาเสียก่อน

    “ว่ายังไงนะ” แบคฮยอนจึงชะงักมือที่จะแก้ตาข่ายของอี้ชิงไว้ก่อน “เขาอยู่ที่ไหน!”

    “หึ เจ้าต้องทำอะไรอย่างหนึ่งก่อนแล้วข้าจะบอกให้” มินซอกต่อรอง เล่นเอาแบคฮยอนอึ้งไป ทำไมคนที่เคยดีกับเขาถึงทำเช่นนี้

    “ทำอะไร”

    “เจ้าเห็นไหมว่าแต่ละแท่นมีหน้าจอฉายรูปคนสำคัญของโลกอยู่ นั่นเพราะพวกเขารับเครื่องอิลลูมิเนติไปแล้ว” มินซอกกล่าวเสียงเรียบ “ข้าต้องการให้เจ้าถ่ายทอดความคิดของข้าลงในหัวพวกเขา”



    แบคฮยอนตกตะลึง

    นักวิจัยนั่นบ้าไปแล้วหรืออย่างไรนะ ทำไมตอนแรกเขาถึงทำเป็นว่าไม่อยากให้ใครต้องถูกบังคับ มินซอกคนดีที่เขากับจงแดเห็นไปไหน ทำไมคำพูดจึงราวกับคนใจร้ายเบื้องหลังห้องวิจัยนี่เสียอย่างนั้น

    เดี๋ยวก่อน เบื้องหลังงั้นหรือ?

    “เจ้าคือมาเฟียคนนั้นใช่มั้ยมินซอก!” แบคฮยอนนึกอะไรบางอย่างออกก็พูดตะโกนใส่ลำโพงปริศนาในผนังทันที

    “หึหึ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะแบคฮยอน” แต่มินซอกกลับหัวเราะเสียงต่ำและตอบเขามาด้วยคำถาม เล่นเอาแบคฮยอนอึ้งไปไม่รู้กี่รอบ ในหัวมีแต่คำพูดเก่าๆ ที่นักวิจัยคนนี้กล่าวอ้าง ทั้งการติดต่อกับมาเฟียใหญ่ บาดแผลที่ได้รับในการลงโทษ หรือกระทั่งเรื่องครอบครัวถูกควบคุมตัวไว้ จึงต้องทำการวิจัยที่เสี่ยงอันตรายนี้

    “เจ้าหลอกพวกข้าทำไม ที่แท้เจ้าเป็นมาเฟียใหญ่นั่นเอง เจ้าถึงกับเอาเรื่องครอบครัวที่ไม่มีอยู่จริงมาโกหกข้า!” แบคฮยอนตะโกนใส่ด้วยความคั่งแค้น

    เขาโง่เองที่หลงเชื่อจนเรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้ ทำไมไม่ฉุกคิดแต่แรกว่ามินซอกจะไปนอนขวางถนนที่มีแต่เทวดารู้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่พวกสอดแนมหรือประสงค์ร้าย เป็นมินซอกที่ทำให้พวกเขาหลงเชื่อทั้งหมด เป็นแผนงี่เง่าที่แบคฮยอนทำให้เทวดาและมารทั้งหลายต้องมาโดนจับ แถมจงแดยังถูกหลอกใช้เพื่อการวิจัยงี่เง่านี่อีก

    “อย่า พูด ถึง ครอบ ครัว ข้า!” แต่มินซอกกลับตะโกนออกมาด้วยใจที่ปวดร้าว

    ปวดร้าวอย่างนั้นหรือ? แบคฮยอนฉุกคิดชั่วครู่ แต่ก็ตะโกนตอบไป “ข้าไม่ทำ ข้าไม่ทำวิจัยนี่แล้ว!”

    แบคฮยอนตอบราวกับไม่เห็นความสำคัญของชานยอลที่มินซอกเอามาต่อรอง แต่เขาไม่อยากทำอะไรที่ต้องทำร้ายคนอื่นแล้ว หากเขาจะช่วยชานยอล เขาก็จะช่วยด้วยตนเอง เขาจะไม่มีทางเอาใครมายุ่งเกี่ยวอีก

    ฝ่ายมินซอกเงียบไปอึดใจ ก่อนจะพูดเสียงเรียบกลับมา

    “ได้ แบคฮยอน ถ้าอย่างนั้นหากเจ้าต่อสู้ชนะ ข้าจะให้เจ้าไป” เสียงเรียบนั้นแฝงแววขนลุกอย่างประหลาด แต่เทวดาตัวเล็กก็หาได้กลัวไม่

    “ได้! ข้าจะต่อสู้จนชนะแล้วพาคนของข้าจากไปแน่!”

    “หึ ใจกล้าดี ถ้าอย่างนั้นก็ต่อสู้กับเจ้านี่ละกัน”

    จบประโยค ประตูบานหนึ่งก็เปิดขึ้นมาจากผนังว่างเปล่า แสงสว่างที่ส่องมานั้นทำเอาแบคฮยอนมองไม่ออกว่า ‘เจ้านี่’ ของมินซอกเป็นใคร แต่ร่างที่เห็นก็ทำให้ใจสั่นสะท้านเล็กน้อยเมื่อมองเงาร่างแล้วคุ้นเคยเป็นพิเศษ บุคคลนั้นเดินมาอย่างเชื่องช้าท่ามกลางใจเต้นระทึกของแบคฮยอน เขาต้องต่อสู้กับอะไรหนอจึงจะได้ออกไปช่วยคนรัก

    จนกระทั่งประตูด้านหลังปิดลงทีละน้อย แสงสว่างที่ทำให้แสบตาน้อยลง แบคฮยอนก็เห็นได้ว่ามินซอกส่งใครมา

    ดวงตาเบิกกว้าง มือน้อยสั่นระริกเมื่อเห็นใบหน้านั้นชัดเจน แบคฮยอนพยายามไขว่คว้าเอื้อมไปหา ‘มาร’ เบื้องหน้า ไม่ได้พบกันมานานเท่าไหร่แล้ว อีกฝ่ายยังหน้าตาดีไม่เปลี่ยน อกแน่น กล้ามดี รูปร่างสูง แม้จะไม่ได้อยู่ในร่างมีปีกค้างคาวและเขาโง้ง หากแต่เส้นผมสีแดงเพลิงก็ยังดูดีที่สุด

    แบคฮยอนคิดถึงเหลือเกิน แต่ก็เศร้าใจเหลือเกินที่ต้องต่อสู้กับมารตนนี้


    “ชานยอล...” เอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็พบแสงสีแดงฟาดมาทางตนเองเข้าอย่างจัง


    ตูม!




    ****lucky one and monster****


    “เจ้าขยับออกไปหน่อยสิ มันอึดอัดนะ” เทวดาตัวน้อยบ่นเมื่อรู้สึกว่าอกกว้างของอีกฝ่ายขยับมาจนใกล้หัวใจเขา แบบนี้ไม่ดีเลย รู้สึกใจสั่นไปหมดแล้ว

    “ที่มันแคบ เจ้าก็อดทนหน่อย” แต่แทนที่จะขยับออกตามคำขอกลับขยับเข้าใกล้เสียนี่ อยู่ๆ ก็ทำตัวสมกับเป็นมารตัวแสบเสียอย่างนั้น

    เท่านั้นยังไม่หนำใจ ใบหน้าหล่อเหลายังก้มลงมองหน้าอีกฝ่ายจนเห็นว่าเทวดาอาวุโสกำลังหน้าแดงอย่างไม่สมเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์แม้แต่น้อย ใบหน้าอ่อนเยาว์ไม่สมอายุแต้มสีเจือจางด้วยแถบแดงเป็นริ้วราวกับสาวน้อย ทำเอาเซฮุนรู้สึกว่าหากไม่ใช่สถานการณ์คับขัน เขาคงจะก้มลงไปจูบแก้มนั่นเพราะความหมั่นเขี้ยวในสีลูกพีชเป็นแน่

    “เจ้า! ขยับเข้ามาทำไม”
    “ชู่ว!”

    ก่อนเทวดาตัวเล็กแก้มสีพีชในอ้อมกอดของเขาจะโวยวายเสียงดัง เซฮุนก็ยกมือที่พอจะขยับได้ออกมาแตะปากเล็กนั่นก่อน ตอนนี้พวกเขากำลังหลบอยู่ในช่องแอร์หรืออะไรสักอย่างข้างฝาผนัง ดังนั้นจึงต้องยัดเป็นปลากระป๋องเยี่ยงนี้ แม้เซฮุนจะชอบไม่น้อยแต่ถ้ามีคนหรือหุ่นยนต์ของพวกนั้นมาพบเข้าคงไม่ดีนัก

    เซฮุนและซูโฮแยกกับพวกชานยอลได้ไม่เท่าไหร่ก็พบเข้ากับหุ่นยนต์จำนวนมาก พวกนั้นจัดการทหารเทพและมารที่พวกเขาพามาจนหมด และเกือบจะจับตัวเขาได้ด้วย แต่เพราะประสบการณ์การจับวิญญาณเจ้าเล่ห์มานานทำให้เซฮุนฉุกคิดได้ว่าอาจจะมีกับดัก จึงพาราชาแห่งเทพหลบออกมาก่อนจะถูกจับได้ พวกเขาหนีเจ้าพวกหุ่นยนต์ตัวร้ายจนมาพบกับช่องแคบแห่งหนึ่ง จึงหลบเข้ามาเบียดในนี้ก่อน


    แกรกๆ

    เสียงแปลกๆ ทำให้เซฮุนหลุดจากภวังค์ ดูท่าซูโฮก็ได้ยินเสียงนี้เช่นกัน จึงได้เงียบลงไปด้วย

    แกรกๆ

    เสียงแปลกๆ ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เซฮุนพยายามรวบรวมพลังมืดเตรียมไว้ พวกเขาหลบอยู่ในนี้ครู่เดียวก็ถูกพบตัวแล้วหรือ สงสัยว่าจะต้องต่อสู้เพื่อหนีออกไปเสียแล้ว

    ตึง!

    เสียงเหมือนอะไรถูกกระชากออกไปพร้อมกับประตูเล็กๆ ด้านหน้าพวกเขาหลุดไปพอดี เซฮุนรวมพลังมืดเป็นลมพายุพัดให้คนหรือหุ่นยนต์ที่มาเปิดถูกกระแทกออกไป จากนั้นจึงคว้าแขนซูโฮไว้พร้อมพาวิ่งอีกครั้ง แต่ในขณะที่กำลังจะออกจากซอกนั้นก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้น

    “อย่าเพิ่งไป ข้าคือซึลกิ!”

    เท่านั้นเซฮุนกับซูโฮจึงหันมามองหน้ากันแล้วพิจารณาสาวสวยตรงหน้าก่อน

    หญิงสาวลุกขึ้นแล้วถอดหน้ากากสีแดงออก เผยให้เห็นใบหน้าคุ้นเคยและกลิ่นอายที่เซฮุนรู้จัก นี่ต้องเป็นซึลกิตัวจริงแน่ แต่ทำไมถึงทำตัวคล้ายเป็นหุ่นยนต์อย่างนั้น

    “ซึลกิ ทำไมเจ้า...” เซฮุนกล่าวทัก หากแต่หญิงสาวกลับลุกขึ้น จากนั้นลากพวกเขาไปในห้องข้างๆ ปิดประตูลงแล้วเปิดไฟก่อนจะพูดขึ้น

    “ข้าปลอมตัวเป็นหุ่นยนต์นี่ตั้งแต่ตอนเห็นพวกนั้นล้อมเราไว้แล้ว ข้าปลอมตัวเก่ง เจ้าก็รู้ พอข้าหยิบเครื่องแต่งกายของพวกมันมาได้ ก็ปะปนกับพวกมันจนล่อพวกมันไปทางอื่นแล้วกลับมาช่วยพวกเจ้านี่แหละ” ซึลกิอธิบายพลางสำรวจห้องที่พวกเขาเข้ามา แม้จะเป็นห้องขนาดไม่กว้างนัก แต่ก็เหมือนกับมีของใช้ต่างๆ ราวกับมีคนอยู่

    แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครโผล่ออกมาให้ตกใจ จึงหันหน้ามามองเทวดาและมารที่เพิ่งช่วยออกมาสักหน่อย

    “เจ้าเก่งจริงๆ ตกลงว่าเจ้าเป็นใครหรือ” ซูโฮเอ่ยทำลายความเงียบ จากนั้นก็จ้องหน้าซึลกิอย่างจริงจัง เขาเองไม่รู้จักเธอมาก่อนเพราะซึลกิเพิ่งจะโผล่มาให้เห็นวันนี้เอง แถมก่อนจะได้คุยกันทักทายสักหน่อย ก็โดนพวกหุ่นยนต์รุมล้อมไว้เสียอีก

    “เดี๋ยวข้าอธิบายเอง” แต่กลายเป็นเซฮุนเข้ามาตอบ และนั่นก็ทำให้ซูโฮขมวดคิ้วเล็กน้อย

    “เจ้าเป็นอะไรกับนาง ชอบนางหรือ?” ซูโฮถามขัดก่อน เล่นเอาซึลกิหันหน้าไปกลั้นยิ้ม ส่วนเซฮุนนั้นก็ตากระตุกหนึ่งครั้งก่อนจะตอบ

    “ไม่ใช่สักหน่อย ข้าชอบเทวดามากกว่า” มารมือขวาจ้องหน้าคนถามเรียกใบหน้าอ่อนวัยให้ขึ้นสีอีกรอบ ก่อนจะยิ้มอย่างพอใจจากนั้นก็เล่าต่อ

    “ซึลกิเป็นนักเวทมิติ และก็เป็นเลขาลำดับหนึ่งของชานยอลต่างหาก” คำตอบของเซฮุนทำเอาซูโฮเบิกตามองกว้างไปยังหญิงสาวที่ถอดหน้ากากสีแดงออกแล้ว ซึลกิยิ้มให้เขาอย่างใจดี จากนั้นก็เล่าต่อในส่วนของตนเอง

    “ต้องขออภัยที่ข้าเสียมารยาท ท่านราชาแห่งเทพ”

    “เจ้ารู้จักข้าด้วย...”

    “ใช่เจ้าค่ะ ใครเล่าจะไม่รู้จักท่าน แต่ที่ข้าเพิ่งรู้เมื่อครู่คือท่านกับมารมือขวานั้น...”

    “อะแฮ่มๆ เล่าต่อสิซึลกิ”

    ซึลกิกำลังจะเอ่ยแซวแต่ก็เห็นเซฮุนกระแอมไอขัดจังหวะเสียก่อน

    “ได้ๆ” หญิงสาวกลั้นยิ้ม เธอไม่รู้มาก่อนว่าราชาแห่งเทพกับมารมือขวาไปคลิ๊กกันตอนไหน แต่มองไปก็น่ารักดี “ข้าทำงานกับท่านชานยอลมานานแล้วเจ้าค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายหาข่าวกรองที่โลกมนุษย์ เป็นแขนขาให้กับท่านชานยอลมากว่าสองร้อยปีแล้ว”

    “แล้วครั้งนี้เจ้าทำไมมาเองล่ะ” ซูโฮยังไม่เข้าใจสถานะของซึลกิสักเท่าไหร่ ในความคิดเขานักเวทมิติมีฝีมือเก่งกาจไม่น้อย และส่วนใหญ่มักทำงานเพื่อโลกหรือองค์กรลับของโลก ไม่ค่อยจะมาทำงานให้กับเทวดาหรือมารมากนัก

    “ข้าคิดว่ามีอะไรสักอย่างที่ข้าควรทำเจ้าค่ะ” ซึลกิตอบเสียงอ้อมแอ้ม “อาจจะเกี่ยวกับการจับพวกเทวดาด้วย”

    คำพูดซึลกิทำให้ซูโฮนึกออก เขาเองก็ทราบมาสักพักแล้วว่าเทวดาที่มาปฏิบัติภารกิจบนโลกมนุษย์มีบางส่วนถูกจับตัวไปซึ่งสงสัยว่าเป็นฝีมือของพวกนักเวทมิติ แต่ยังไม่มีข่าวคราวที่แน่ชัดเท่านั้นเอง

    “หรือว่า เจ้าสงสัยว่านักเวทมิติเป็นผู้บงการที่นี่ แล้วเขาจับเทวดามาที่นี่อย่างนั้นหรือ?”

    “ใช่เจ้าค่ะท่านราชาแห่งเทพ ข้าจึงต้องมาที่นี่เพื่อจัดการ” หญิงสาวกล่าวแค่นั้นแล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างระเบิดอยู่ไม่ไกลนัก


    ตูม!

    ทั้งสามผุดลุกขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย ฝ่ายซึลกิคิดว่าการพรางตัวอาจไม่สำคัญอีกต่อไปจึงถอดชุดสีขาวออก เผยให้เห็นชุดสีดำพอดีตัวคล้องด้วยสายที่ใส่คัมภีร์เวทและยาพิษมากมายแทน ซูโฮมองอีกฝ่ายด้วยสายตาตื่นตะลึง นอกจากนักเวทมิติสาวค่อนข้างสวยและรูปร่างดีแล้ว ยังดูร้ายกาจสมเป็นเลขาลำดับหนึ่งของพญามารอีกด้วย ขนาดเลขาลำดับหนึ่งของเขาซึ่งเป็นหญิงสาวเหมือนกันยังดูดีสู้ไม่ได้เลย

    “ทำไม มองเขาเพราะอิจฉารูปร่างหน้าตาหรือ?” แต่เซฮุนกลับปรายตามองเทวดาตัวเล็กก่อนจะเอ่ยแซวไม่ดูกาลเทศะเสียอย่างนั้น

    “เปล่าสักหน่อย เจ้าไม่คิดว่าซึลกิสวยเกินไปหรือ” ซูโฮจึงทำหน้ากระเง้ากระงอดตอบ มันใช่เวลามาแซวไหมล่ะ

    “เจ้าน่ารักกว่า” แต่เซฮุนกลับทำหน้าเมินเฉย จากนั้นก็เอ่ยคำพูดที่ทำให้ซูโฮหน้าแดงเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้

    ทำเอาซึลกิรู้สึกว่าตนเองกำลังเป็น ก.ข.ค. หรืออะไรบางอย่าง เลขาสุดสวยจึงกระแอมไอ พลางกล่าวเสียงเป็นการเป็นงานสักหน่อย

    “ท่านราชาแห่งเทพ มารมือขวา ข้าว่าข้าได้ยินเสียงดังมาจากทางนี้ ตามมาเจ้าค่ะ” นักเวทมิติสาวชี้ไปยังประตูทางหนึ่งแล้วจากนั้นก็ออกวิ่งอย่างรวดเร็ว




    และสักพักเมื่อมาถึงห้องที่ซึลกิพูดถึง พวกเขาก็ได้พบกับความจริงอันแสนโหดร้าย

    ทั้งสามยืนอยู่หน้าห้องซึ่งเป็นมีช่องกระจกใสทำให้เห็นข้างในได้ชัดเจน ในห้องนั้นมีแท่นวางมากมาย เทวดาและมารที่มาด้วยกันเมื่อครู่ถูกจับมัดบนแท่นในสภาพหมดสติอย่างน่าใจหาย

    แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือตรงกลางห้อง พญามารที่ซึลกิรู้จักกำลังทำร้ายคนคนหนึ่ง ไม่สิ เทวดาตนหนึ่งต่างหาก ตรงนั้นแบคฮยอนกำลังวิ่งหลบพลังเพลิงบรรลัยกัลป์ของชานยอลอย่างทุลักทุเลเพราะไม่ยอมให้ลูกหลงไปโดนมารและเทวดาที่โดนมัดอยู่

    นี่มันอะไรกัน? ชานยอลบอกพวกเขาว่าจะมาช่วยแบคฮยอน แต่ทำไมกลับทำร้ายแบคฮยอนเสียเองเล่า?




    แต่งไปแต่งมาฮุนโฮจะนำหน้าชานแบคแล้วเพคะพระสนม -*-

    #luckyonecb
    @noeybaekbd





      เวลาขณะนี้ Sun May 12, 2024 5:04 pm