Dear my lucky one เทวดาที่รัก 18
อาจเป็นเพราะเรา...ไม่เข้าใจกัน
“ฮ้าวววววว”
แบคฮยอนหาวแล้วหาวอีก เขาเริ่มเบื่อกับการจัดการวิญญาณไม่รู้จักตายพวกนี้แล้วนะเนี่ย
มือซ้ายเท้าคางส่วนมือขวาก็พ่นพลังเพื่อทำลายล้างไม่หยุด แบคฮยอนตอนนี้น่ะท่าทางน่าหมั่นไส้ในสายตามารทั้งหลายไม่น้อย แต่เพราะพลังมีมากจนใช้ไม่หมดทำให้ไม่มีใครกล้าหือกับเขา
หากจะสงสัยว่าแบคฮยอนมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ก็คงต้องเริ่มจากตอนนั้น...
หลังจากท่านตามาเยี่ยมเขาพร้อมกับช่วยรักษาอาการป่วยจนหายดีแล้ว แบคฮยอนก็ได้รับรู้ว่าตนเองมีพลังมากเกินไปใช้ไม่หวาดไม่ไหว และเพราะมันมากเกินไปท่านตาจึงผนึกพลังของเขาไว้บางส่วนจนกระทั่งเติบใหญ่ก็ไม่ได้ปลดผนึกจนเจอน้ำยาเวทตัวดีของจงอินซึ่งมีส่วนผสมของเวทปลดผนึกเข้า พลังที่เคยสงบในร่างกายก็ปะทุออกมา
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้มีพลังมากมายขนาดนี้แต่แบคฮยอนเห็นท่านตาไม่พูดเขาก็ไม่ถามให้มากความ ท่านตาซูโฮจึงกำชับว่าตอนนี้พลังเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วแต่ถ้าแบคฮยอนไม่ใช้พลังเสียบ้างจะเกิดความอึดอัดจนสุดท้ายครอบงำจิตใจจนอาจจะบ้าไปก็ได้
เทวดาตัวน้อยนึกถึงตำนานลัคกี้วันขึ้นมาทันที ในตอนนั้นพญามารอาเดลก็มีพลังมากเกินไปและไม่ได้ใช้ออกมาจึงได้มาทำลายล้างสวรรค์ไปกว่าครึ่ง หากตัวเขาเองเกิดอาการเช่นนั้นบ้าง จะไม่ทำลายล้างนรกนี้ไปกว่าครึ่งบ้างหรือ ดังนั้นแบคฮยอนจึงได้ถามท่านตาว่าจะจัดการอย่างไร ก็ได้คำตอบว่าควรไปทำงานอะไรสักอย่างที่ต้องใช้พลังมากๆ ก็น่าจะพอ
สุดท้ายเมื่อพญามารระดมสมองทั้งจากมารมือขวามือซ้ายรวมถึงลัคกี้วันในตำหนักทั้งสี่ จึงได้ข้อสรุปว่าในหน่วยงานของเซฮุนมารมือขวามีงานเกี่ยวกับการจัดการวิญญาณคลั่งที่ต้องใช้พลังจำนวนมากอยู่ หากให้แบคฮยอนทำงานตรงนั้นก็อาจจะช่วยให้เขาได้ใช้พลังจำนวนมากจนไม่อึดอัดได้
แรกเริ่มนั้นแน่นอนว่าชานยอลค้านสุดตัวเนื่องจากคิดว่าพลังสว่างของแบคฮยอนจะดึงดูดให้วิญญาณเข้ามาดูดพลังเหมือนครั้งที่แล้วตอนอยู่บนโลกอีก แต่พอหลังจากนั้นสามสาวลัคกี้วันร่วมแรงร่วมใจกันสอนให้แบคฮยอนสร้างบาร์เรียป้องกันวิญญาณจนสำเร็จ เทวดาตัวเล็กก็ได้มาประจำการหน่วยจัดการวิญญาณที่สี่สังกัดมารมือขวาจนได้
งานที่นี่ก็อย่างที่เห็นคือแบคฮยอนแค่กางบาร์เรียป้องกันอย่างง่ายๆ ใช้ปีกสี่คู่ช่วยพยุงตัวเหนืออากาศจากนั้นก็ยิ่งพลังสว่างแปลงเป็นลำแสงจำนวนมากใส่วิญญาณคลั่งทั้งหลายให้สงบหรือไปเกิดใหม่ แค่นี้ก็ปิดจ๊อบแล้ว
“ฮ้าววววว” มันง่ายและสะดวกเกินไปจนเขาง่วงไม่รู้กี่รอบแล้วเนี่ย
“เจ้าทำอย่างนั้นนี่เอง มิน่าล่ะ ข้าถึงต้องทำรายงานเยอะนัก” จู่ๆ เสียงหนึ่งก็เอ่ยทัก แบคฮยอนรู้สึกว่าคุ้นมากจึงหันไปไม่รอช้า
เป็นคยองซูนั่นเอง
“คยองซู้ววววววว” แบคฮยอนรู้สึกดีใจที่ได้เจอเทวดาตัวเล็ก เขาจึงรีบโผบินไปซบคยองซูด้วยความรวดเร็ว แต่เทวดาธรรมดาหรือจะสู้เทวดาตัวเก็งลัคกี้วันที่ฝึกมาหลายร้อยปีได้ คยองซูจึงแค่บินหลบ จากนั้นก็ปล่อยให้แบคฮยอนเอาหัวโหม่งพื้นหนึ่งทีเบาๆ
เบาจริงๆ แค่พื้นแตกไปรัศมีกว่าร้อยเมตรและวิญญาณแถวนั้นตายเกลี้ยงก็เท่านั้น…
แบคฮยอนยกมือขึ้นมาอังหน้าผากแล้วร่ายเวทรักษาเบื้องต้นไปหนึ่งบทจึงรักษารอยหัวโนได้ แต่เนื่องจากบาร์เรียที่เขากางไว้รอบตัวนั้นประกอบด้วยพลังสว่างจำนวนไม่น้อย พื้นที่เขากระแทกใส่จึงแตกละเอียดเป็นหลุมกว้าง วิญญาณคลั่งแทบไม่กล้าเข้าใกล้ เทวดาตัวน้อยไม่ใส่ใจพื้นแตกนั่นก็ลุกขึ้นกางบาร์เรียอีกชั้นแล้วบินขึ้นไปหาคยองซูอีกรอบทันที
สังเกตว่าคยองซูยังบินอยู่อย่างสงบแม้พื้นเบื้องล่างแตกละเอียด พอมองก็พบว่าเทวดากลุ่มผู้ถูกเลือกไม่บาดเจ็บสักปลายก้อย ความเก่งของเทวดาระดับท้อปเป็นเช่นนี้เอง แบคฮยอนก็เพิ่งเข้าใจ
“เจ้าคิดถึงข้าหรือ คยองซู”
พอบินขึ้นมาถึงระดับเดียวกับเลขาลำดับสองได้ แบคฮยอนก็เอ่ยทัก หลังจากเหตุการณ์วันนั้นแบคฮยอนก็ไม่ได้พบคยองซูอีก รู้แต่ว่าอีกฝ่ายเป็นเทวดาที่รักของมารมือซ้ายไปเสียแล้ว แต่ก็เหมือนจะชอบงานเลขาพญามาร จึงได้ทำงานตำแหน่งเดิมต่อ
“คิดถึงเจ้ากับผีน่ะสิ” แต่ก็โดนปัดเยื่อใยไม่เหลือชิ้นดีเสียอย่างนั้น
“คยองซูยังโกรธข้าหรือ” แบคฮยอนจึงหน้าเจื่อนพลางยิ้มแหยๆ
“โกรธ” และคำตอบของคยองซูคำเดียวก็ก่อความมืดขึ้นรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว
ที่แท้คยองซูโกรธเขาอยู่นี่เอง เทวดาตัวท้อปถึงได้ไม่คุยกับเขาสักนิด ได้ข่าวว่าตอนเขาป่วยนั้นคยองซูก็ยังไม่มาเยี่ยมเขาเลยด้วยซ้ำ ใช่สิ อีกฝ่ายหวังจะมาเป็นลัคกี้วันของชานยอลจึงมาช่วยแผนของเขาแต่ก็โดนแผนของจงอินตลบหลังจนต้องตกเป็นชายามารมือซ้ายเสียนี่
แบคฮยอนพอรู้ว่าทำให้คยองซูโกรธ ก็ทำท่าจะบินจากไปอย่างห่อเหี่ยว
เทวดาอดีตตัวเก็งลัคกี้วันจึงพูดเสียงดังขึ้นว่า
“โกรธที่เจ้ารู้ตัวว่ารักท่านชานยอลช้าไป จนข้าเกือบจะไม่ได้รักกับจงอินแล้ว”
หื้ม? แบคฮยอนได้ยินถึงกับหูผึ่งแล้วรีบบินวนกลับมาทันที
คราวนี้ด้วยความเร็วของปีกที่กางออกอีกสองคู่เป็นหกคู่เท่ากัน แบคฮยอนจึงเข้ามากอดคยองซูสำเร็จ เทวดาที่รักของพญามารกอดเลขาลำดับสองของพญามารไว้แน่นพลางเอ่ย
“ข้าคิดแล้วว่าเจ้าต้องไม่ใจร้ายกับข้า ขอบคุณนะ คยองซู”
แล้วทั้งสองก็เปลี่ยนจากการบินคุยกัน กลายเป็นนั่งคุยพร้อมดื่มชาในกองอำนวยการเขตจัดการวิญญาณที่สี่แทน
“ที่เจ้าว่าต้องเขียนรายงานคืออย่างไรหรือ” แบคฮยอนสบโอกาสจึงเอ่ยถามเรื่องที่คยองซูว่าไว้
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ว่าเจ้ากำจัดวิญญาณด้วยพลังที่มากเกินไป จนทำให้พวกมันไม่สามารถเกิดใหม่อีก ถึงกับสูญสลายไปเลย พวกเราเลยต้องทำรายงานจำนวนวิญญาณที่สลายไปเพราะเจ้าน่ะ” เลขาพญามารกล่าวแล้วก็จิบชาเล็กน้อยสร้างความลำบากใจให้แบคฮยอนเมื่อย้อนไปคิด
หลายวันมานี้เขากำจัดวิญญาณคลั่งไปแล้วหลายตัวด้วยการยิงลำแสงใส่ พอยิงแล้วพวกมันก็หายไปนึกว่าไปเกิดใหม่แล้ว ที่แท้เขาถึงกับสลายพวกมันไปเลยหรือนี่
วิญญาณคลั่งแท้จริงก็ยังเป็นวิญญาณที่สามารถมีสำนึกได้สักวันหนึ่งและพวกมันสามารถกลับไปเกิดในโลกมนุษย์ใหม่ได้ แต่หากสลายก็คือการทำลายชีวิตในวัฏจักรไปเลย อาจจะทำให้ภพภูมิต่างๆ รวนได้ พอแบคฮยอนรู้ตัวว่าทำให้สมดุลภพภูมิเปลี่ยนไปก็ตกใจไม่น้อย
“ข้าไม่รู้ต้องทำอย่างไรเลยคยองซู ข้าแค่ยิงลำแสงธรรมดามันก็กลายเป็นลำแสงที่สลายวิญญาณเสียอย่างนั้น” แบคฮยอนเบะปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ไม่เป็นไรหรอกแบคฮยอน แค่วิญญาณน่ะ หายไปไม่กี่ร้อยกี่พันก็ไม่เสียสมดุลหรอก ยังดีกว่าเจ้าไปสลายมารหรือเทวดาเข้า” เทวดาตัวท้อปเอ่ยเนิบนาบพลางจิบชาอีกครั้ง
แต่นั่นก็ทำให้แบคฮยอนฉุกคิด
นั่นสิ ถ้าเขาเผลอทำร้ายใครขึ้นมา มันจะกลายเป็นว่ารุนแรงจนยากจะแก้แล้วหรือไม่ มิน่าล่ะ เขาถึงถูกส่งตัวมาทำงานที่นี่ หน่วยจัดการวิญญาณที่สี่นอกจากทหารมารระดับเอหรือเอส ก็ไม่มีทหารมารตนอื่นเลย
หรือว่าที่นี่อาจไม่ใช่เขตกักวิญญาณที่สี่ แต่เป็นเขตกักเขาเองจากมารหรือเทวดาตนอื่น...
แบคฮยอนจมกับความคิดชั่วครู่แล้วคยองซูก็เล่าให้ฟังว่าตอนนี้พญามารก็ทำงานเยอะมากเช่นกัน พร้อมกับย้ำว่าการสลายวิญญาณของเขายังไม่ถึงขั้นทำใครเดือดร้อน คราวหน้าก็เบามือหน่อย ยิงลำแสงเล็กลงหน่อย จากนั้นก็บ่นอีกนิดหน่อยว่าไม่ค่อยได้นอนเพราะมารมือซ้ายค่อนข้างเอาแต่ใจ หัวเราะนิดหน่อยในความขี้อ้อนของจงอินแล้วเวทสื่อสารของใครสักตนก็ทำให้คยองซูต้องกลับไปทำงานในที่สุด
เมื่อคยองซูกลับไป แบคฮยอนก็คิดมากของจริง
เทวดาร่างเล็กเพิ่งตระหนักว่าตนเองนั้นค่อนข้างจะสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน ตอนแรกเขาก็ไม่ทราบว่างานกำจัดวิญญาณนี่มันเป็นงานที่ต้องใช้พลังมากที่สุดแล้วหรือ เพราะเขาเห็นว่าบางทีอี้ชิงกับสามสาวมักจะได้รับภารกิจลับซึ่งทำให้เหนื่อยมากหลังจากกลับถึงตำหนักตลอด
แต่งานของเขาอย่างมากก็แค่ง่วง หาว ไม่มีเพลียหรือใช้งานหนักใดๆ ทั้งสิ้น แสดงว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้ใช้พลังมากมายเท่าไหร่แต่ที่ต้องมาทำงานเขตกันวิญญาณนี้เพราะพลังของตนหากพลาดไปอาจจะทำลายมารหรือเทวดาตนอื่นต่างหาก
แบคฮยอนหัวเราะ หากแต่มีน้ำตาคลอเบ้าตาด้วย
“ท่านไปพักผ่อนเถอะขอรับ” ทหารมารระดับเอสเข้ามาหาแล้วเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นท่าทางคล้ายกำลังบ้าของแบคฮยอน ร่างเล็กจึงหัวเราะนิดหน่อยแล้วกล่าว
“เจ้าน่ะ ที่แท้ไม่ได้มีหน้าที่กำจัดวิญญาณคลั่ง แต่มีหน้าที่เฝ้าข้าสินะ” เอ่ยเพียงเท่านั้นก็เห็นสีหน้าทหารมารเปลี่ยนเป็นเครียดแล้วกลายเป็นเฉยชาเช่นเดิมอย่างรวดเร็ว แค่นี้แบคฮยอนก็แน่ใจได้อย่างหนึ่งแล้ว
“ท่านกลับไปพักเถอะขอรับ พญามารอาจจะกำลังเป็นห่วง” ทหารมารรีบเอ่ยไปเรื่องอื่น
“อ้อ พญามารสินะที่ให้เจ้ามาเฝ้าข้า” เอ่ยเพียงเท่านั้นก็เห็นว่าเหงื่อผุดข้างขมับของทหารมารเล็กน้อย ใช่จริงๆ ด้วย
แบคฮยอนจึงได้แต่ยิ้มขมขื่นในใจจากนั้นก็ออกจากกองอำนวยด้วยใบหน้าเศร้า
โชคยังดีหน่วยสี่ของเซฮุนอยู่ไม่ไกลจากวังลูซิเฟอร์และตำหนักสนมที่แบคฮยอนอาศัยอยู่แต่แรก ดังนั้นเมื่อเขาต้องการพักผ่อนจึงสามารถบินมาที่นี่ได้ไม่นานนัก
เทวดามาถึงตำหนักก็พบกับมารรับใช้ยืนรออยู่ ตอนนี้เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับวังลูซิเฟอร์มากแล้ว จึงแค่รับผ้าเย็นมาจากพวกนาง สังเกตสีหน้านิดหน่อยก็ทราบว่าอาจจะเป็นทหารระดับเอสปลอมตัวมาก็ได้ แบคฮยอนหัวเราะหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ล้างเท้าแล้วเข้าไปห้องของตนเองซึ่งอยู่ไม่ไกลทันที
เปิดประตูห้องก็พบกับเตียง แบคฮยอนก็นอนลงอย่างไม่รอช้า อืม... เขาไม่เหนื่อยหรอกจากการทำงาน แต่เพราะเรื่องเมื่อครู่มากกว่า... มันทำให้เขาอยากนอนเพื่อจะไม่ต้องคิดมากใดๆ อีก แล้วเทวดาก็หลับไปในเวลาไม่นานนัก
โดยไม่รู้เลยว่ามุมมืดนั้นมีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่...
****lucky one and monster****
ชานยอลรีบเคลียร์งานของวันนี้ให้เสร็จเพื่อที่จะได้กลับไปอยู่กับแบคฮยอนไวๆ แต่พอกลับไปตำหนักสนมกลับพบว่าเทวดาที่รักกำลังหลับสนิทเสียอย่างนั้น
พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างจริงจัง แบคฮยอนจึงมีห้องนอนในตำหนักสนมและชานยอลก็ยังมีห้องนอนของเขาในใจกลางวังลูซิเฟอร์อยู่ แต่เพราะคิดถึงจนอยากตื่นนอนเห็นหน้าแบคฮยอนทุกวัน พญามารจึงได้ย้ายตนเองมานอนที่ห้องเล็กๆ ของแบคฮยอนแทน รอจังหวะที่เหมาะสมค่อยทำพิธีเสกสมรสรับแบคฮยอนเป็นชายาเอกแล้วจึงอยู่ด้วยกันแบบเปิดเผยเสียที
มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมระใบหน้าคนรักออก จากนั้นก็ก้มลงจูบหน้าผากหนึ่งครั้ง แบคฮยอนในยามนอนยังน่ารักเช่นเคย นัยน์ตาเรียวปิดสนิทหัวคิ้วย่นเล็กน้อยและปากเบะจนเหมือนขี้งอนนั่นก็เรียกให้เขาอยากก้มลงจุมพิตเหลือเกิน ชานยอลเห็นอีกฝ่ายไม่ตื่นจึงแกล้งลักหลับเทวดาตัวดื้อเข้าให้ พบว่ายังไม่ตื่นก็จูบไปอีกหลายๆ ครั้ง
แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับมีใครกำลังจ้องมองพฤติกรรมนี้ของเขาอยู่ไม่ปาน
ชานยอลผุดลุกขึ้นทันทีแล้วหันไปมองมุมมืดมุมหนึ่งของห้อง ด้วยความสามารถอ่านใจจึงทำให้เขามักจะรับรู้ตัวตนของใครก็ตามที่ชอบหลบซ่อนเพราะพวกนั้นบางทีมักจะเผลอคิดอะไรบางอย่างออกมานั่นเอง
เมื่อครู่เขารู้สึกเหมือนกับมีใครบางคนอยู่แถวนี้...เป็นคน ไม่ใช่ตน มีมนุษย์อยู่ที่นี่!
พญามารรวบรวมพลังมืดส่วนหนึ่งแล้วยิงเข้าไปทุกช่องรวมถึงกางตาข่ายรอบห้องเพื่อตรวจสอบ แต่ก็ไม่พบอะไร
แสดงว่ามันหนีไปได้! ร่างสูงนั่งลงบนเตียงพลางครุ่นคิดหนัก
นึกย้อนไปถึงการต่อสู้ในเขตสามสิบแปดตอนนั้น...
ชานยอลกำลังจัดการวิญญาณรวมคลั่งให้สงบ ฟาดฟันดาบไฟเข้าไปหาวิญญาณกลุ่มนั้นมือเป็นระวิง แต่พอใกล้จะสำเร็จแล้ว กลับมีเงาร่างสายหนึ่งเข้ามาใกล้ จากนั้นก็พ่นพลังใส่เขาหนึ่งสาย เป็นพลังสว่างจำนวนหนึ่งซึ่งพลังชนิดนี้มักจะมาจากมนุษย์ผู้ได้รับคำอำนวยพรจากพระเจ้าเท่านั้น
นักเวทมิตินั่นเอง!
นักเวทมิติที่เข้ามาขัดขวางชานยอลจัดการคลี่ม้วนคัมภีร์เวทมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็พยายามส่งวิญญาณรวมคลั่งนั้นไปที่อื่น ซึ่งเขาเดาว่าอาจจะเป็นโลกมนุษย์ ชานยอลจึงให้ลูกน้องรีบเข้าไปจัดการวิญญาณรวมคลั่ง ส่วนตนเองก็จัดการนักเวทมิติด้วยตนเอง
นึกไม่ถึงว่านักเวทมิติราวกับจะรู้จุดอ่อนของมาร พอพบว่าชานยอลเป็นคู่ต่อสู้ก็รีบเข้ามาทำร้ายเขาตรงข้อพับปีก ส่งผลให้ชานยอลบาดเจ็บหนัก มือใหญ่พยายามฟาดดาบไฟใส่ไม่ยั้ง แต่นักเวทมิติกลับหลบได้ทุกครั้ง พญามารคิดว่าไม่เข้าท่าจึงเปลี่ยนพลังจากดาบไฟเป็นไฟลูกใหญ่แทน คราวนี้ได้ผลเมื่อเขาปล่อยพลังออกไปก็พบว่านักเวทมิติรีบถอยหนี จากนั้นชานยอลก็จัดการวิญญาณรวมคลั่งจนหมดแล้วส่งข้อความไปหาคยองซูว่าเขากำลังจะกลับ
ในตอนนั้นชานยอลคิดว่าจะปรึกษาจงอินเสียหน่อย จำได้ว่าเขาส่งมารมือซ้ายไปช่วยแบคฮยอนและคยองซูทำงาน ดังนั้นจึงร่ายเวทเคลื่อนที่ไปปรากฏในห้องทำงานโดยตรง แต่ที่คาดไม่ถึงคือนักเวทมิติที่หลบหนีไปนั้น จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นและใช้ความเร็ววิ่งเข้ามาอยู่ในวงเวทกับเขาด้วย!
ชานยอลตกใจอย่างมากจึงพยายามปล่อยพลังเพื่อสะบัดนักเวทมิติออก แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายหลบเขาเก่งมากเช่นกันแถมยังเข้ามาทำร้ายข้อพับปีกอีกครั้งให้เขาเคลื่อนไหวช้าลงอีก เมื่อเวทเคลื่อนที่ทำงานชานยอลจึงไปถึงห้องทำงานพร้อมกับนักเวทมิติเสียอย่างนั้น
โชคยังดีที่จงอินมีสติหน่อย จึงได้ช่วยเขาโดยใช้กริชพลังมืดออกไปได้ จากนั้นชานยอลก็เสียเลือดมากจนสลบไปจึงไม่ได้ตามจับเจ้านั่นไว้
พอฟื้นขึ้นมาชานยอลก็ได้สั่งให้ลูกน้องไปเสาะหาเบาะแสของนักเวทมิตินี้แล้ว แต่หาเท่าไหร่ก็เหมือนจะไม่พบและนักเวทมิติไม่ได้มาแผลงฤทธิ์อีกจึงได้เลิกค้นหาไป ประจวบเหมาะว่าแบคฮยอนกำลังป่วยพอดีจึงได้แต่ระดมสมองและกำลังพลของตนมาช่วยคนรัก ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะพบจุดเชื่อมโยงกับนักเวทมิตินั้นอีกครั้ง
พอนึกถึงตอนนี้ ชานยอลจึงปลุกแบคฮยอนให้ตื่นเพื่อที่จะทำอะไรสักอย่างก่อนนักเวทมิตินั่นจะทำอันตรายกับคนรักของเขาได้
“ตื่นได้แล้วที่รัก” เสียงนุ่มเอ่ยข้างหูก่อนจะพบกับดวงตาเรียวกะพริบปริบๆ ชานยอลจึงหอมแก้มน้องหนึ่งที
“อื้ม ตื่นแล้ว” แบคฮยอนตอบรับ
“เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า งานที่เขตสี่มีมากไปหรือไม่” หลังจากแบคฮยอนลุกขึ้นมานั่ง ชานยอลก็ถามด้วยความห่วงใยทันที
“ไม่เหนื่อยเลย แต่ข้าเบื่อ” เทวดาตอบพลางเบะปาก
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาทำงานกับข้าไหม” ชานยอลจึงเสนอให้คนรักมาอยู่ใกล้ บอกตรงๆ ว่าเขาไม่ไว้ใจนักเวทมิติหรือใครก็ตามที่ลักลอบมาที่นี่เมื่อครู่ เขาไม่อยากให้แบคฮยอนบาดเจ็บหรือไม่สบายอีก
“ไม่เอา ถ้าอยู่กับเจ้าก็ไม่ได้ใช้พลังกันพอดี” แบคฮยอนตอบคล้ายเด็กเอาแต่ใจ
“แล้วเจ้าย้ายไปนอนห้องของข้าดีไหม” ชานยอลลองตะล่อมอีกรอบ แบคฮยอนไปทำงานเขตสี่ไม่ไกลจากเซฮุนเท่าไหร่ก็น่าจะให้เจ้านั่นช่วยดูได้ แต่ห้องนอนนี้มันไม่ปลอดภัย ห้องนอนของเขามีกลไกป้องกันศัตรูแถมยังสามารถใช้พลังของเขากางไว้ได้ตลอดน่าจะไว้ใจได้มากกว่าห้องนี้
“ทำไมจู่ๆ ถึงชวนย้ายล่ะ เจ้าบอกเองว่ารอให้มีพิธีเสกสมรสแล้วค่อยย้ายเข้าไปนี่นา” แบคฮยอนขมวดคิ้ว ร่างเล็กสงสัยในคำชวนของชานยอลไม่น้อย
“ก็... ห้องนอนข้ามีการป้องกันที่ดี มีกลไกป้องกันหลายชั้น จะได้ดูแลเจ้าได้” ชานยอลจึงตอบไพล่ไปถึงเรื่องดูแลเทวดาตัวเล็กแทน
“ป้องกันข้าจากใคร” แต่แบคฮยอนกลับขมวดคิ้วหนักแล้วซักต่อ
ชานยอลอ้ำอึ้ง แม้จะรู้ว่าเทวดาที่รักนั้นฉลาดเป็นกรด แต่ก็ไม่คิดว่าจะจับใจความสำคัญได้เร็วขนาดนี้ เขาจะบอกได้อย่างไรว่าตรวจพบมนุษย์ที่นี่ แถมยังน่าสงสัยว่าเป็นนักเวทมิติที่เก่งกาจด้วย
“ข้าแค่คำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้า กับเอ่อ... มารหรือเทวดาตนอื่น” พญามารไม่อยากให้เทวดารับรู้เรื่องนักเวทมิติจึงใส่ร้ายมารอื่นเอาดื้อๆ ทั้งที่ในนรกนี้แทบจะไม่มีใครกล้าต่อกรกับเขาแล้ว
“หมายความว่าข้าเป็นอันตรายกับมารหรือเทวดาอื่น เจ้าเลยจะขังข้าไว้ในห้องเจ้าแทนอย่างนั้นหรือ” แบคฮยอนกลับเข้าใจผิดเสียอย่างนั้น
ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้แบคฮยอนกำลังอยู่ในอารมณ์สับสนตัวเองเพียงใด ก่อนหน้านี้เขายังเป็นเทวดาขั้นต่ำมีหน้าที่แค่เป็นมัคคุเทศก์สวรรค์ไปวันๆ แต่เพียงไม่นานกลับได้เป็นลัคกี้วันผู้ยิ่งใหญ่ในวัยเพียงหนึ่งร้อยปีเศษ(อายุเฉลี่ยลัคกี้วันอยู่ที่ห้าร้อยปี)
มิหนำซ้ำตอนนี้พลังของแบคฮยอนมีมากจนเกินไป อาจจะมากกว่าชานยอลเสียด้วยซ้ำ
มันทำให้เทวดาตัวเล็กหนักใจไม่น้อย ทั้งเรื่องพลังอาจจะทำให้ตนเองป่วยและพลังอาจจะทำร้ายผู้อื่นได้โดยเฉพาะชานยอลเอง
แบคฮยอนคิดในใจไปร้อยแปดอย่างถึงความเป็นไปได้ที่ชานยอลจะชวนเขาไปอยู่ห้องด้วยกัน ทั้งๆ ที่ห้องนี้ก็เพียบพร้อมแถมยังเป็นตำหนักของวังลูซิเฟอร์อยู่แล้ว หรือเขาอาจจะเป็นอันตรายกับบุคคลสำคัญ คิดไปแล้วถ้าจะมีอะไรสำคัญกว่าแบคฮยอนก็คงเป็นอี้ชิงกับสามสาวลัคกี้วันลำดับก่อนที่เหลือ
บางที...ชานยอลอาจจะกังวลว่าเขาจะทำร้ายพวกนั้นโดยไม่ตั้งใจก็ได้
พอคิดได้ดังนั้นเทวดาตัวน้อยก็น้ำตาไหลไม่รู้ตัว
ชานยอลอึ้งไปเลยกับพฤติกรรมนี้ ด้วยว่าเขาไม่กล้าบอกแบคฮยอนเรื่องนักเวทมิติเพราะอาจจะทำให้อีกฝ่ายเกิดอันตรายได้ ชานยอลจึงหมายจะพูดถึงว่ามารหรือเทวดาตนอื่นอาจจะคิดร้ายกับแบคฮยอนหรืออะไรทำนองนี้ แต่คาดไม่ถึงว่าเทวดาที่รักจะพูดถึงประเด็นว่าพลังของตนเองมีมากจนไปทำร้ายผู้อื่นเข้า จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาแบบว่าชานยอลตั้งตัวแทบไม่ติด
ว่าไปแล้ว ผู้อื่นใช่จะคิดว่าแบคฮยอนไม่อันตรายเสียทีเดียว
ชานยอลนึกถึงช่วงที่พวกเขาเหล่ามารปรึกษากันเรื่องส่งแบคฮยอนไปเขตจัดการวิญญาณที่สี่...
เป็นความคิดของจงอินว่าส่งแบคฮยอนไปทำลายวิญญาณคลั่งจะดีที่สุด หากควบคุมพลังไม่ได้ก็ให้ทำลายวิญญาณไปจะได้ไม่เกิดลูกหลงไปโดนใครบาดเจ็บเข้า ซึ่งแม้ว่าจะเห็นด้วยแต่ชานยอลก็ยังห่วงแบคฮยอนอยู่ดี จึงได้ส่งทหารมารระดับเอและเอสเข้าไปอยู่ในหน่วยที่สี่และในตำหนักนี้ เหตุผลก็เพื่อความปลอดภัยของแบคฮยอนนั่นเอง
แต่เขาหาได้คิดเรื่องการป้องกันไม่ให้แบคฮยอนก่อเรื่องกับมารหรือเทวดาอื่นไม่
พญามารจึงพยายามปลอบไม่ให้แบคฮยอนคิดผิดไปกันใหญ่
“เจ้าคิดมากไปแล้วแบคฮยอน ที่ข้าอยากให้เจ้าไปอยู่ห้องของข้าเพราะเรื่องความปลอดภัยของตัวเจ้าเท่านั้น เพราะมารตนอื่นอาจจะ...”
ชานยอลกำลังจะพูดว่าอาจจะเข้ามาทำร้ายแบคฮยอนแต่ก็โดนขัดจังหวะ
“อาจจะถูกลูกหลงตอนข้ากำลังละเมอแล้วยิงลำแสงมั่วซั่วใช่ไหม”
เทวดากล่าวพลางน้ำตาไหลมากขึ้นจนตาเรียวแทบจะเป็นแอ่งน้ำตาไปแล้ว นั่นทำให้ชานยอลลำบากใจไปอีก
“ไม่ใช่ แบคฮยอนเจ้าไม่เข้าใจ หากเจ้ากำลังอารมณ์เสีย ถ้าอย่างนั้นเราไปกินข้าวกันไหม” ชานยอลตัดสินใจตัดบท หากแบคฮยอนกำลังงอแง ต้องพาไปกินข้าวดีที่สุด
แต่วันนี้แบคฮยอนเหมือนจะงอแงมากกว่าปกติมากนัก
“ไม่ไปกินข้าว! เจ้าต้องพูดมาให้ชัดเจนก่อนว่าอยากจะพาข้าไปที่ห้องนอนเจ้าเพื่ออะไร เรานอนด้วยกันในห้องนี้มานานหลายวันแล้ว ข้าก็ไม่เห็นมันมีอะไรนี่” เทวดาน้อยขึ้นเสียงพาให้พญามารคิดหนักอีกรอบ
“แต่ตอนนี้มันมี...” ชานยอลพูดแล้วก็ชะงัก เขาจะเอาเรื่องนักเวทมิติไปพูดให้แบคฮยอนฟังไม่ได้
“มีอะไร?”
“มี เอ่อ มีเจ้าไง เพราะเจ้า...” ชานยอลกำลังจะพูดว่าเพราะแบคฮยอนเป็นคนรักของเขา ดังนั้นจึงต้องดูแลอย่างดี แต่ก็โดนขัดอีกครั้ง
“สรุปว่าข้าเป็นตัวอันตรายสินะ ขืนอยู่ในนี้ก็รังแต่จะสร้างความเสียหายให้กับห้อง ใช่สิ อีกร้อยปีเจ้าก็จะมีสนมเป็นลัคกี้วันตนใหม่นี่ เจ้าก็อยากรักษาห้องนี้ให้นางสินะ แล้วก็เอาข้าไปขังไว้ในห้องที่มีกลไกซับซ้อนของเจ้า”
แบคฮยอนพูดแทนชานยอลแถมโยงเรื่องไปไกลอีกร้อยปีอีก หากที่นี่เป็นบนโลก ชานยอลคงจะอดคิดไม่ได้ว่าคนรักของเขากำลังอยู่ในช่วงวันนั้นของเดือนก็เป็นได้
“ไปกันใหญ่แล้วแบคฮยอน ลัคกี้วันและคนรักของข้าก็คือเจ้าเท่านั้น”
“แต่เจ้าก็ไม่บอกข้าว่าต้องการให้ข้าไปนอนห้องเจ้าเพราะอะไร ทั้งๆ ที่เจ้าสัญญาไว้แล้วว่ารอจนกว่าพิธีเสกสมรสจะเสร็จถึงค่อยไปอยู่กันนี่!”
เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ เทวดาจึงตะคอกเสียงดัง พาให้ข้างนอกได้ยินไปหมดทั้งตำหนัก
“ไม่ใช่ แบคฮยอน ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด แต่ข้าบอกเจ้าไม่ได้” ชานยอลพูดเสร็จก็กอดแบคฮยอนไว้ แม้ว่าจะเริ่มหงุดหงิดไม่น้อยเพราะเทวดาเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง พญามารคิดว่ากอดแบคฮยอนไว้แล้วอาจจะดีขึ้น
แต่ชานยอลคิดผิดเมื่อแบคฮยอนผละกอดออก จากนั้นก็รวมพลังสว่างเป็นลำแสงยิงใส่เขา
พญามารรีบสร้างบาร์เรียป้องกันทันที แต่ถึงกระนั้นก็ยังป้องกันไม่ได้ทั้งหมด ลำแสงส่วนหนึ่งพุ่งไปยังประตูแล้วส่งเสียงดัง
บรึ้ม!
พลังสว่างของแบคฮยอนเผาประตูและผนังส่วนหนึ่งจนกลายเป็นช่องว่างขนาดใหญ่
“อะไร เกิดอะไรขึ้น?”
อี้ชิงและสามสาวลัคกี้วันเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว แววตาตื่นตระหนกปรากฏบนใบหน้าของเทวดาทุกตน เมื่อเห็นว่าเป็นแบคฮยอนที่ปล่อยพลังนี้
“ท่านแม่ ฮึก”
แบคฮยอนเมื่อเห็นอี้ชิงก็น้ำตาร่วงแล้วพุ่งตัวหวังจะมากอด
แต่เพราะตั้งตัวไม่ทันและเข้าใจว่าแบคฮยอนจะปล่อยพลังอีกอี้ชิงจึงขยับหลบ
ทำให้เทวดาตัวน้อยชนผนังจนเสียงดังปัง!
เมื่อลุกขึ้นได้แบคฮยอนก็น้ำตานองพร้อมมีรอยเลือดติดอยู่ไม่น้อย พาให้ชานยอลเป็นห่วงยิ่งนัก ร่างสูงของพญามารจึงรีบพุ่งเข้าไปใกล้แต่กลายเป็นว่าแบคฮยอนปล่อยลำแสงใส่เขาอีกครั้ง
คราวนี้พญามารเตรียมตัวไว้แล้ว จึงได้สร้างบาร์เรียป้องกันไปทั่ว คลุมร่างของเขา อี้ชิงและสามสาวลัคกี้วันไว้ทั้งหมด กลายเป็นว่าเทวดาทุกตนอยู่หลังชานยอลและมีวงกลมเรืองแสงป้องกัน ยกเว้นแบคฮยอน
เหมือนการกระทำนี้จะทำให้แบคฮยอนโกรธหนักขึ้นไปอีก
“พวกเจ้าทุกตนกลัวข้าสินะ ใช่สิ ข้ามันเป็นตัวอันตรายนี่ ขนาดชานยอลยังคิดจะขังข้าไว้ในห้องเลยนี่”
แบคฮยอนกล่าวทั้งน้ำตา แม้ว่าใบหน้าจะมีเลือดไหลรวมถึงแผลฟกช้ำจากการชนผนังเมื่อครู่ แต่เทวดาตัวเล็กเหมือนจะเสียสติและพาลโกรธจึงไม่ใส่ใจจะทำแผลใดๆ ทั้งสิ้น แววตาสิ้นหวังส่งมาให้อี้ชิงซึ่งหลบจนทำให้แบคฮยอนชนเมื่อครู่ แม้อี้ชิงจะรู้สึกผิดแต่เพราะเห็นว่าเทวดาน้อยยังอันตรายจึงไม่กล้าทำอะไรอีก ชานยอลเองไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน ได้แต่ยืนอึ้งกับพฤติกรรมคนรักอยู่อย่างนั้น
กลายเป็นนาอึนที่ได้สติแล้วออกมาจากบาร์เรียเพื่อเดินไปปลอบแบคฮยอนก่อนผู้อื่น
“ไม่เป็นไรนะแบคฮยอน พวกเราไม่ได้กลัวเจ้าเสียหน่อย เด็กน้อย” นาอึนพยายามยื่นมือมาลูบศีรษะแบคฮยอนด้วยความอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง เมื่อตอนซาร่าฝึกหนักจนแบคฮยอนร้องไห้เธอก็มักจะมาปลอบเช่นนี้
นั่นทำให้แบคฮยอนคิด นาอึนเป็นหญิงสาวหน้าตาดีและความอ่อนโยนของเธอก็มีมากที่สุด หญิงสาวน่ารักจนเทวดาแอบเทใจให้ ถ้าเทวดาที่ชานยอลปกป้องคือนาอึนล่ะ…
บรึ้ม!
เทวดาตัวเล็กจู่ๆ ก็เผลอปล่อยพลังออกมาด้วยความโกรธ ส่งผลให้นาอึนกระเด็นออกมาอย่างแรง ชานยอลจึงพุ่งตัวไปรับเธอไว้ พบว่าเทวดาสาวบาดเจ็บไม่น้อยจึงส่งให้อี้ชิงรักษาทันที จากนั้นเขาก็หันหน้ามามองเทวดาตัวเล็กราวกับตำหนิ
“มากไปแล้วนะแบคฮยอน สงบสติอารมณ์ได้แล้ว!”
ชานยอลตวาดเมื่อเห็นแบคฮยอนราวกับคลุ้มคลั่ง แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ก็คิดว่าตวาดแล้วแบคฮยอนจะได้สงบลงสักที
เขาไม่รู้หรอกว่านั่นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย
“งั้นเจ้ายอมรับมาสิว่าตกลงเจ้ากำลังปกป้องใครอยู่ ข้า! หรือพวกเขา!”
แบคฮยอนยังคงน้ำตานองหน้า มือสวยยกมาชี้ตนเองและพวกอี้ชิงแถมเสียงดังไม่น้อยกว่าชานยอลเลยด้วยซ้ำ
“ข้า...” ชานยอลตอบไม่ได้ เขาไม่เข้าใจแบคฮยอนเลยสักนิด จู่ๆ คนรักก็คลุ้มคลั่งอาละวาดหนักแถมยังถามอะไรแปลกๆ เขาเป็นผู้ปกครองนรกก็ต้องปกป้องมารและเทวดาทุกตนอยู่แล้ว เหตุใดเทวดาที่เขารักมากที่สุดจึงถามเช่นนี้
“ไม่ใช่ข้า เพราะข้ามันอันตรายต่อพวกเจ้าสินะ...”
แบคฮยอนเห็นชานยอลเงียบไปก็ยิ้มเยือกเย็นออกมาหนึ่งครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นก็...ลาก่อน!”
จากนั้นก็ร่ายเวทเคลื่อนย้ายซึ่งพญามารเป็นผู้สอนให้ด้วยตนเองเมื่อไม่กี่วันก่อนขึ้นมา ชานยอลค้นสติได้กำลังจะเข้าไปคว้าแขนของคนรักไว้ก็พบว่าไม่ทัน เมื่อแบคฮยอนระเบิดพลังก็พลันมีแสงสว่างจ้า แสบตาไปหมด
จนสุดท้ายก็ทิ้งไว้เพียงซากที่เคยเป็นห้องนอนของพวกเขา ซึ่งตอนนี้สภาพไม่เหลือชิ้นดี...
และใจชานยอลที่พังเป็นเสี่ยงๆ ด้วย
talk
ตื่นๆ เกิดเรื่องแหล่ววววววววว โอ๊ยยยยย แบคฮยอนลู๊กกกกกกก
เกร็ดเล็กน้อย : ทหารมารมีระดับต่ำสุดที่D ไต่ขึ้นไปเป็น C, B, A และระดับสูงสุดคือ S ดังนั้นทหารมารที่ชานยอลเอามาคุ้มครองแบคฮยอนคือระดับสูงสุดนั่นเอง
ปล.แบคฮยอนอาละวาดเพราะอะไร? เอาจริงคำตอบมีแทรกเรื่อยๆ ให้ลองอ่านแล้วเป็นแบคฮยอนดูจะเข้าใจเขา แต่ถ้ามองจากมุมของชานยอล ยังไงก็จะไม่เข้าใจ 55555
สปอยล์ ตอนหน้าแฟนพี่จะมาแล้ว
#luckyonecb
@noeybaekbd