วันนี้
นายนั่นนั่งกินข้าวคนเดียวอีกตามเคย
ชายหนุ่มเจ้าของผิวสีแทนผู้ไม่รู้จะละสายตาตัวเองออกจากคนคนหนึ่งอย่างไรได้แต่คิดในใจจนกระทั่งเพื่อนร่วมคณะสะกิดเรียกให้กลับมาสนใจมื้อเที่ยงอีกครั้ง
“มึงเหม่ออะไรอีกแล้ววะ
จงอิน”
คยองซูเพื่อนคนที่สะกิดเอ่ยถามทั้งที่ในปากเต็มไปด้วยหมี่จาจัง เขามองเพื่อนที่เริ่มจะสนิทก่อนส่ายหน้าช้าๆแล้วหันไปสนใจจานจาจังมยอนตรงหน้า...
นั่นเพราะไม่อยากให้คนข้างๆรวมทั้งเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นถามเซ้าซี้ต่อ
ถ้าไอ้พวกนี้รู้ว่าเขาคงกำลังมองผู้ชาย..ผิวขาว..ปากแดงๆ ที่นั่งเยื้องซ้ายไปสองโต๊ะ พวกมันคงร่ายยาวใส่หูอีกแน่นอน ซึ่งคิมจงอินคนนี้ชักอยากจะรู้เต็มที
กับอิแค่อยากทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมคณะคนนั้นบ้าง คุณผู้ชายทั้งหลายที่นั่งร่วมกินมื้อเที่ยงโต๊ะนี้ทำไมต้องรั้งเขาไว้ขนาดนั้น
‘ไอ้นั่นมันหยิ่ง มึงชวนคุยไปเถอะ มันไม่ตอบหรอก’
‘สาวๆต่างคณะแหล่มกว่าเยอะ อย่าไปคุยกับ
ตุ๊ดให้เสียเวลาเลย’
‘ถ้าอยากรู้จักขนาดนั้น... เซฮุน มันชื่อโอเซฮุน’
ถ้าคนๆนั้นจะเป็นตุ๊ดจริงๆ เขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ
#OSมิสเซฮุน
ตอนเรียนชั้นมัธยม คิมจงอินก็อาศัยอยู่กับครอบครัวที่โซลเหมือนกับเพื่อนร่วมห้องเมื่อหนึ่งปีก่อน
แต่ตั้งแต่ที่เขาสอบคัดเสือกเข้าเรียนวิศกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ เพราะเป็นคณะที่หวังไว้เขาเลยมุ่งหน้ามาเมืองแทจอนด้วยใจที่แน่วแน่
ถึงจะไกลบ้านแค่ไหนก็ไม่หวั่น ถ้าได้จบไปทำงานดีๆ คุณวิศกรคิม... ชื่อนี้โก้เก๋ไม่หยอกเลยจริงไหมล่ะ
แต่นั้นมันคืออนาคตที่วางแพลนสวยหรูไว้อย่างคร่าวๆ อันที่จริงการย้ายมาอยู่ต่างจังหวัดด้วยตัวคนเดียวทั้งที่แต่ก่อนเป็นคนในเมือง
นั่นทำให้เขาได้เจออะไรใหม่ๆเยอะเลยทีเดียว เช่นว่าสีเขียวของธรรมชาติที่โซลเหลือน้อยเต็มทน ชีวิตที่ไม่เร่งรีบ ค่าใช่จ่ายที่น้อยกว่าเดิมไปเกือบเท่าหนึ่ง
และวิถีความเป็นอยู่ที่ต่างกับที่เคยเป็นเล็กน้อย
ถ้าเป็นแต่ก่อนส่วนใหญ่มักจะเป็นทางใครทางมัน คนเยอะจนล้น มากหน้าหลายตา เวลาบังเอิญคนรู้จักแต่ละครั้งเพราะความเร่งรีบจึงทำได้แค่ส่งยิ้มทักทาย
ซึ่งไม่ใช่กับที่นี่..
คนบางตากว่า ยิ่งเป็นคนท้องถิ่นยิ่งคุ้นหน้าคุ้นตา การทักทายบางครั้งถ้าไม่บอกว่าคนรู้จักคงนึกว่าเป็นญาติกันแน่ๆ เขาสนิทกันหมดเลย แถมมากๆด้วย
คิมจงอินแค่กำลังคิดว่าตัวเองยังไม่สนิทกับใครเลยก็เท่านั้น ไม่แน่ใจว่าตัวสร้างกำแพงความรู้สึกขึ้นมาเองหรือเปล่า
แต่ด้วยเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนจะให้ไปเฮฮาปาร์ตี้กอดคอคนอื่นเหมือนรู้จักกันมาสิบปีก็ไม่ใช่อีกใช่ไหมล่ะ แต่เขาก็ไม่ได้เก็บตัวขนาดนั้นนะ
เพื่อนร่วมคณะเกือบร้อยชีวิตเขาเข้าไปทำความรู้จักเกือบครบแล้ว
เหลืออีกแค่สองคน...
คนหนึ่งเป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวในคณะ บยอนแบคฮยอน แรร์ไอเท็มเชียวล่ะ ไม่มีใครไม่รู้จักเธอ แต่คนนี้แฟนหวงหน่อย
เขาเลยหลับหูหลับตาไม่ทักทายทั้งที่มีโอกาสหลายต่อหลายครั้ง... กับอีกหนึ่งคนซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นเพื่อนสนิทของแรร์ไอเท็มหนึ่งเดียวในคณะนี่แหละ...
ชื่อโอเซฮุนอะไรนั่นล่ะนะ
ข้อมูลทั้งหมดนี้มาจากเพื่อนไหล่เล็กที่กำลังออกลวดลายเต้นกลางฟอร์ทั้งที่ถือขวดโซจูทั้งนั้น
ใช่เลย ตอนนี้ว่าที่วิศกรทั้งหลายกำลังเหมาร้านเหล้าร้านหนึ่งซึ่งไม่ได้ไกลกับมหาลัยเท่าไหร่ สาเหตุเลี้ยงฉลองก็ไม่ใช่อื่นไกล
เรามันวิศวะ วิศวะคู่กับขวดเหล้าตั้งแต่สมัยไหน... รุ่นพี่ชวนตอนไหนเราก็พร้อมมาด้วยตลอดอยู่แล้ว เว้นแรร์ไอเท็มไว้หนึ่งก็แล้วกัน
รายนั้นมาให้เห็นหน้าแปบเดียว ปาร์คชานยอลผู้ได้แรร์ไอเท็มไปครอบครองรีบพากลับ จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าจะหวงอะไรขนาดนั้น
และที่แปลกใจคิมจงอินอยู่หนึ่งอีกอย่างคือแบคฮยอนกลับแล้ว ทำไมเพื่อนสนิทแบคฮยอนยังคงนั่งอยู่ตรงที่เดิม
คือไม่ได้จะเหยียดเพศหรืออะไรประเภทนั้น แต่ถ้าเซฮุนที่เป็นตุ๊ดจริงๆ จะชอบสถานที่ที่ผู้ชายชอบอย่างที่นี่หรอ
ถ้าจะใช้คำว่าส่องผู้ชายก็ไม่น่าจะใช่เพราะนายคนนั้นเอาแต่กดโทรศัพท์ตลอด
แล้วนี่ไม่คิดจะคุยกับคนอื่นบ้างเลยหรือไงกันนะ
เจ้าของผิวสีแทนคิดกับตัวเองเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นานขายาวก็ก้าวไปนั่งเยื้องกับผู้ชายปากแดงเสียได้
ซึ่งหย่อนก้นลงนั่งตอนไหนอันนี้เขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน... บางทีอาจเป็นเพราะอยากลองคุยกับคนนั่งตำแหน่งเยื้องเป็นทุนเดิมอยู่ล่ะมั้ง
พยายามตัดความประหม่าและเริ่มประมวลคิดคำถามในสมองคือสิ่งที่คิมจงอินกำลังทำต่อจากนี้
“ไง... หวัดดี”
“...”
คิมจงอินไม่เคยมีปัญหาในการปรับตัวเข้าหาคน แต่คิดว่าหลังจากนี้ต้องเตรียมความพร้อมมากกว่านี้อีกหน่อยถ้าจะชวนผู้ชายตรงหน้าคุย
ฟังดูเหมือนเขาอยากคุยกับคนตรงหน้ามากเลยใช่ไหมล่ะ เอาจริงๆอาจเพราะโดนรั้งบ่อยๆจนทำให้มีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคนตรงหน้ามากขึ้น
มากขึ้นเสียจนเขาอยากต่อบทสนทนาต่อจริงๆ
“เราจงอินนะ คิมจงอิน”
“อือ”
แต่บางทีการพูดอยู่ฝ่ายเดียวมันก็แปลกๆไม่น้อย เขาคงคิดว่าคนตรงหน้าเป็นใบ้แน่ๆถ้าไม่เคยเห็นอีกฝ่ายร้องเพลงกับแบคฮยอน
แต่ระยะห่างตอนนั้นมันไกลและเขาก็ไม่ได้ยินเสียงทั้งคู่
“เอ่อ”
“หือ”
“ขอโทษนะ ทั้งที่เรียนด้วยกันมาตั้งเดือนนึงแล้วแต่เรายังไม่รู้จักนายเลย นายชื่ออะไรหรอ”
เซฮุนเงยหน้าขึ้นมาและเราสบตากัน ชุดเครื่องแบบนักศึกษาที่เหมือนกันทำให้เขาถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้ว นั่นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรจึงโพล่งประโยคนั้นออกไป
จากลักษณะภายนอก โอเซฮุนไม่น่าจะใช่คนหยิ่งขนาดนั้นหรอก....มั้ง
อยากน้อยๆก็ไม่ได้ใช้สายตาไล่คนอื่นล่ะนะ
“
เอาชื่อจริงๆ..หรือชื่อที่พวกนั้น... เรียกล่ะ”
ก็ไม่ได้หยิ่งนี่... คือสิ่งที่สมองประมวลผลได้ ทำไมต้องตื่นเต้นคือคำถามที่ห้อยท้ายตามหลังมาติดๆ
ท่านั่งไขว่ห้างดึงสายตาคิมจงอินได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น นิ้วเรียวเกินผู้ชายชี้ไปยังเพื่อนพวกเราก่อนเบนกลับมาจิ้มตรงปลายจมูกเขา
ซึ่งการกระทำเมื่อกี้สร้างความตื่นเต้นได้ดีกว่าตอนเล่นทรูธออร์แดร์ครั้งอยู่มอปลายเป็นไหนๆ
เดี๋ยวนะ เขากำลังใจเต้นเพราะตุ๊ดหรอ
“เอ่อ..”
คำตอบที่รู้อยู่แล้วกับดวงตาที่สบกันอีกครั้งทำให้เขาทำตัวไม่ถูก คิมจงอินจึงเป็นคนละสายตาเพื่อมองไปยังกลุ่มเพื่อนที่ถูกชี้นิ้วเมื่อครู่แทน
การกระทำ คำถามกลับ เสียง มันทำให้ยากที่จะสบตาเซฮุนต่อไป
เรื่องชี้นิ้วช่างมัน แต่ทำไมถึงถามกลับแบบนั้น... เป็นคนมีหลายชื่อหรือไง
อีกอย่าง... เสียงนี่เล็กเกินเสียงผู้ชายหรือเปล่า ดัดเสียงจนชินแล้วอย่างนั้นหรอ
ชุดนักศึกษากับทรงผมให้ผู้ชายนะ แต่เสียงนี่ไม่ได้จริงๆ
“แต่เหมือนนายจะเข้าใจแบบคนพวกนั้นไปแล้ว ... โอเซฮุน ยินดีที่ได้รู้จัก”
แล้วฝ่ามือตุ๊ดนิ่มแบบนี้ทุกคนมั้ยวะ
#OSมิสเซฮุน
หลังจากเช็กแฮนด์ทำความรู้จักกันเสร็จสรรพ กลายเป็นคนอยากทำความรู้จักเพื่อนใหม่เกิดสมองตื้อกะทันหันเสียอย่างนั้น
คิมจงอินไม่รู้ว่าสมควรสรรหาประโยคไหนมาทำลายความอึดอัดระหว่างเราหรือเปล่า... ความอึดอัดของเขาคนเดียวนั่นแหละ
เหมือนตุ๊ดตรงหน้าไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่ได้คุยกับเขาเลยสักนิด คนรอบตัวมีตั้งมากมาย ทำไมถึงเอาแต่สนใจโทรศัพท์ก็ไม่รู้
และเพราะคิมจงอินแอบสังเกตอีกคนอยู่จึงทำให้ได้เห็นแหวนวงเกลี้ยงสีเงินบนนิ้วนาง... ข้างขวา
ถ้าไม่มีเสียงเอะอะโวยวายจากรุ่นพี่ บางทีเขาอาจใช้เรื่องนี้เป็นหัวข้อบทสนทนาระหว่างเราทั้งคู่ต่อไปก็ได้
“เฮ้พวกมึงฟัง ท่านผู้นำปาร์คจะเปิดเหล้าแพงปิดงานแล้ว เตรียมตัวรับแก้วจากพี่ยองอุน---”
“เฮ้!!”
“
อื้อ ใกล้จะกลับแล้วแม่..”
โทรศัพท์ในมือสวยสั่นก่อนหน้าเสียงหน้าเสียงเฮจากเพื่อนๆของเขานิดเดียว คิมจงอินยังคงนั่งเยื้องผู้ชายปากแดงไม่ได้ไปกระโดดโหยงเหยงดีใจ
เหมือนที่คยองซูเพื่อนเขากำลังทำ เซฮุนกดรับสาย เหมือนในสายจะมาจากที่บ้านด้วยสิ
“พวกมึงดูถุงนี่ มันเคยมีผงอร่อยๆ ที่พอกินเข้าไปทำให้ร่างกายร้อนวูบวาบ---”
“เฮ้!!!!”
“
เปล่า.. ไม่ได้อยู่กับแบคฮยอน ไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง จะกลับแล้วจริงๆ”
ท่าทางลูบตัวประหลาดที่คนทำคงคิดว่าตัวเองเซ็กซี่ที่สุดในโลก จงอินส่ายหน้ากับรุ่นพี่อย่างหน่ายๆก่อนหันไปสนใจเพื่อนร่วมคณะที่นั่งเยื้องกันอีกครั้ง
เซฮุนคงเป็นเพื่อนสนิทกับแบคฮยอนอย่างที่เคยได้ยินมาจริงเพราะในบทสนทนามีบุคคลที่สามซึ่งเป็นแรร์ไอเท็มของคณะอยู่ในประโยคด้วย..
ไม่รู้อะไรดลใจให้อยากฟังเสียงเล็กๆเกินผู้ชายของคนนั่งเยื้องกันต่อ.. ซึ่งก็ทำมาสักพักแล้ว ชนิดหูผึ่งจริงจังเลยล่ะ
จะว่าไปเขาแอบนิสัยแย่ใช่ได้เลยนะเนี่ย
“มาเล่นเกมกันเถอะพวก”
“เฮ้!!!!”
“
เข้าใจแล้ว กลับแล้วเนี่ย....... ขอกลับบ้านก่อนนะพี่จองซู”
คงตัดสายคนจากทางบ้านไปแล้วเพราะมือที่เพิ่งหย่อนโทรศัพท์ลงกระเป๋ากำลังยกหยิบเป้ใบเล็กขึ้นสะพายพาดบ่า
ผู้ชายตรงหน้าสูงมากกว่าที่คิดไว้ คือสิ่งที่คิดได้หลังเห็นเซฮุนยืดตัวขึ้นยืนจนเต็มความสูงในระยะห่างที่ใกล้กว่าทุกครั้ง
และคิมจงอินไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอมองรุ่นพี่จองซูตามสายตาเซฮุนไปด้วย
อีกคนกำลังจะกลับบ้านแล้วกับเขาที่หัวเสียกับตัวเองไม่น้อย... ทั้งที่อยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้
“เดี๋ยวดิน้องตุ๊ด ใครเขาอนุญาตให้กลับก่อนกันเล่า ยองอุนมึงรินของอร่อยมาแก้วดิ๊”
ไม่รู้ว่าความรู้สึกเสียดายในใจเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเขาจ้องใบหน้าเซฮุนสลับกับรุ่นพี่ปาร์คจองซูนานแค่ไหน
แต่เขาคิดว่าเขาเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากรุ่นพี่อีกคนที่เป็นคนรินเหล้าให้เซฮุนด้วยล่ะ
“เอานี่ไป หมดหนึ่งช็อตเท่ากับกลับบ้านได้ สมการนี้ไม่ยากเกินไปสำหรับน้องตุ๊ดผู้น่ารักหรอกใช่มั้ย.... เอาล่ะเด็กๆ ต่อแถว”
#OSมิสเซฮุน
คิมจงอินโดนไปแล้วหนึ่งช็อต ซึ่งเพื่อนร่วมคณะคนอื่นๆโดนเหมือนกัน นั่นหมายถึงตอนนี้งานเลี้ยงของเราได้จบลงแล้ว
แต่ก็ยังมีบ้างที่ยังคงนั่งดื่มต่อ บางคนอยู่ต่อเพราะต้องการร้องคาราโอเกะ บางคนเมาจนกลับบ้านไม่ได้อย่างโอเซฮุน
และบางคนไม่ได้เมาแต่ได้รับภารกิจก่อนกลับบ้านเสียอย่างนั้น
ซึ่งคนโดนรับภารกิจงงๆนั่นก็คือเขาคนนี้
“ฝากแบกมันไปนอนในห้องข้างบนหน่อย เมื่อกี้เพื่อนพี่ชงของน้องตุ๊ดมันแรงใช้ได้เลย...”
“...อ่อครับ”
“ถั่วอื่นได้หมดยกเว้นถั่วดำนะน้อง ฮะฮ่าๆ”
ว่าจบก็ยัดกุญแจใส่มือเขาเสียเฉยๆ คิมจงอินยอมรับว่ามึนกับประโยคทิ้งท้ายเล็กน้อยก่อนเข้าใจหลังจากหันไปมองสภาพอีกคน
คนพวกนี้ตั้งใจจะแกล้งเซฮุนตั้งแต่แรกแล้วรึเปล่าคือสิ่งที่คิดแต่ไม่ได้ถามออกไป ผู้ชายส่วนใหญ่ทำไมชอบแกล้งตุ๊ด
หรือถ้าอยากแกล้งตุ๊ดก็แกล้งไปสิ ทำไมต้องเอาตุ๊ดที่ตัวเองเพิ่งแกล้งโยนมาให้เขารับผิดชอบต่อหน้าตาเฉยแบบนี้
แล้วขานี่จะรีบเดินมาหาตุ๊ดอะไรเร็วขนาดนั้น
“เซฮุน รุ่นพี่เปิดห้องไว้ให้นายอะ”
“อือ... แบก..”
หน้าตาเซฮุนไม่เหมือนคนเมา เอียงไปทางคนเหม่อเสียมากกว่า ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาย่อตัวลงแทนที่จะช่วยพยุงแบบหิ้วปีก
และเซฮุนก็ทำตามเขาอย่างง่ายๆเลยด้วยนะ
ทั้งที่ตัวสูงเกือบเท่าเขา... ทำไมตัวถึงเบาได้ขนาดนี้กันล่ะ
นี่คงเป็นการแบกผู้ชายสูงร้อยแปดสิบที่สบายที่สุดในโลกแล้วล่ะมั้ง
waiting for -2-